มีเพียงพวกเซวียปินไม่กี่คนที่นั่งขมวดคิ้วมองเนื้อย่างมันเยิ้มในมืออยู่ด้านข้าง เซวียปินบ่นเสียงเบา “เหล้าก็ไม่มี เนื้อนี่จะอร่อยได้เยี่ยงไร”
เฉินซิวยัดชิ้นเนื้อในมือใส่เข้าไปในปากของเขา เอ่ยอย่างเบื่อหน่าย “กินเข้าไปเถิด ดื่มเหล้าในกองทัพมีโทษหนัก เจ้านึกว่าที่นี่เป็นเมืองโยวโจวหรืออย่างไร”
จูเหมิงนั่งกินเนื้อในมือของตนหมดไปแล้วสองสามรอบ เช็ดริมฝีปาก เอ่ย “เจ้าไม่กินให้ข้ากินก็ได้” ของแบบนี้หากอยู่โยวโจวเพียงชายตามองพวกเขายังไม่คิดจะมอง แต่เข้ามาอยู่ในกองทัพหนึ่งเดือนกว่าก็ต้องคิดถึงแล้ว เซวียปินตอบสนองทันควันรีบยัดเนื้อเข้าปากตนเอง
หันไปมองสองสามีภรรยาที่นั่งกินเนื้อย่างด้วยท่าทีสบายๆ คุณชายทั้งสามรู้สึกละอายใจขึ้นมาทันใด คนสง่างามจริงๆ เขาสามารถกินเนื้อด้วยท่างท่าที่งดงามท่ามกลางนายทหารนับหมื่น ไหนเลยจะเหมือนพวกเขา เข้ามาอยู่ในกองทัพได้ไม่ถึงสองเดือนก็ลืมสิ้นถึงความสง่างามไปเสียแล้ว แน่นอน ไม่อาจลบเหตุผลที่ว่าไม่มีใครกล้าแย่งสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของคุณชายเว่ย
มองท่าทีสบายอกสบายใจของทั้งสอง เซวียปินเกิดความกล้าหาญขึ้นมา คว้าเนื้อย่างที่วางอยู่ตรงหน้าเว่ยจวินมั่วไปอย่างรวดเร็ว เห็นเพียงคุณชายเว่ยที่ทำราวกับมองไม่เห็น ก้มลงไปกินชิ้นเนื้อที่วางอยู่บนจานในมือของตนด้วยรอยยิ้ม คุณชายเว่ยยกมือขึ้นมานิ่งๆ ฉับ แสงสีเงินปรากฏ เซวียปินตื่นตกใจ… ข้าเพียงแย่งเนื้อเท่านั้น ท่านคงไม่คิดจะใช้กระบี่ตัดคอข้าหลอกใช่หรือไม่
ฉับ ฉับ ฉับ!
แสงสีเงินสว่างวาบขึ้นมาหลายเส้น เนื้อที่ถูกเซวียปินแย่งไปถูกหั่นเป็นชิ้นบางๆ เรียงตัวกันเป็นระเบียบงดงามแม้แต่พ่อครัวยังต้องชื่นชม ที่สำคัญก็คือ ชิ้นเนื้อเหล่านี้วางเรียงรายสวยงามอยู่บนหน้าอกของเซวียปิน เซวียปินล้มลงไปบนพื้น ยังไม่ทันลุกขึ้นชิ้นเนื้อก็หล่นลงมา ทำให้เขาล้มลงไปอีกครั้ง
“คนที่ยังไม่อิ่มก็กินเถิด”
ทุกคนโห่ร้องดีใจ พุ่งเข้าหาเซวียปินราวกับฝูงหมาป่าหิวโหย
“ช่วยด้วย” เสียงคุณชายเซวียปินร้องขอความช่วยเหลือดังออกมาจากกลุ่มคนเหล่านั้น น่าเสียดายไม่มีใครสนใจเขา แม้แต่พี่น้องที่รักของเขา จูเหมิงเองก็รุมเข้าไปด้วย วันนี้ไม่กินวันหน้าก็ไม่รู้เมื่อใดจะได้กินอีก แย่ง!
“เว่ยจวินมั่ว เจ้ามันคนถ่อย”
“…” ที่แท้คุณชายเซวียได้รับความหวาดกลัวเว่ยจวินมั่วไปแล้วหนึ่งครั้งยังต้องมีครั้งที่สองอีก
หนานกงมั่วมองเฉินซิวที่นั่งนิ่งอยู่อีกฝั่ง “เจ้าไม่ไปกินด้วยหรือ”
เฉินซิวฝืนยิ้มออกมา ก้มหน้าคิดเงียบๆ คนพวกนั้นลืมไปแล้ว…คุณชายเว่ยเพิ่งกลับมาจากสนามรบ กระบี่ที่ใช้หั่นเนื้อนั่นเป็นกระบี่ที่หั่นเนื้อคนในสนามรบมาก่อนมิใช่หรือ
คุณชายเว่ยยังคงท่าทีเย็นชา หยิบผ้าสีเข้มออกมาเช็ดกระบี่อ่อนของตนเองอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นโยนผ้าเข้าไปในกองไฟ ประกายไฟลุกโชนขึ้นมาตรงหน้า
เขตทุ่งหญ้านอกเขต บรรยากาศในกระโจมตึงเครียด ชายที่ดูเหมือนจะเป็นแม่ทัพหลายคนนั่งอยู่เงียบๆ ไม่เอ่ยวาจา ไห่รื่อกู่ที่เกือบยิงธนูสังหารผู้นำทัพของอาณาจักรเซี่ยเมื่อตอนกลางวันก็นั่งอยู่อีกฝั่ง มือขวาที่พึ่งได้รับการช่วยเหลือมาถูกพันผ้าหนาแน่น ด้านบนนั้นยังมีคราบเลือดซึมให้เห็น เห็นชัดว่าระยะนี้นักยิงธนูมือหนึ่งของเป่ยหยวนผู้นี้คงไม่อาจยิงธนูได้
“ตอนนี้พวกท่านเชื่อแล้วหรือไม่” เสียงชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้นในกระโจม เสียงเข้มเอ่ยว่า “ข้าเคยบอกแล้ว…ยามนี้ไม่ใช่เวลาเปิดศึกกับโยวโจว ทุกท่านยังไม่เชื่อ หึๆ…อีกฝ่ายสตรีเพียงคนเดียว ก็สามารถสังหารผู้นำทัพไปถึงสองคน อีกทั้งยังทำลายมือของนักยิงธนูมือหนึ่งได้อีก”
มีบางคนจ้องเขม็งไปยังที่นั่งรองลงมาอย่างไม่พอใจ ชายในชุดคลุมสีดำยังคงเผยใบหน้าเพียงครึ่งเดียวให้เห็น
“ต่อให้กองทัพโยวโจวมีคนเก่งกาจเพิ่มขึ้นมาอีกสองคนแล้วเยี่ยงไร ทำสงครามไปแล้วหลายครั้งพวกเราก็ไม่ได้พ่ายแพ้” ช่วงระยะนี้ต่อสู้กันหลายครั้ง ต่างฝ่ายต่างก็ผลัดกันแพ้ชนะ พวกเขาต้องล่าถอยเพียงเพราะเหตุผลน่าละอายเช่นนี้หรือ
ชายในชุดสีดำส่งเสียงหยัน “ทำสงครามกับโยวโจวครานี้ พวกท่านมีกำลังทหารกี่ส่วน แล้วโยวโจวมีกี่ส่วน ยิ่งไปกว่านั้น กองกำลังของโยวโจวเป็นเพียงส่วนหนึ่งของอาณาจักรเซี่ยเท่านั้น พวกท่านเองก็อาศัยความไม่คุ้นเคยเขตทุ่งหญ้าของกองกำลังโยวโจว ต่อให้พ่ายแพ้ก็สลายตัวหนีไปก็เท่านั้น”
ทุกคนมีสีหน้าไม่เห็นด้วย คิดว่าเช่นนี้ไม่ถูกนัก ทิศเหนือของเป่ยหยวนติดกับพื้นที่หนาวเหน็บ ทิศตะวันตกติดกับทะเลทรายกว้างใหญ่นับหมื่นลี้ ทิศตะวันออกกลับถูกอาณาจักรเซี่ยล้อมรอบ ไม่ตีโยวโจวแล้วพวกเขาจะเอาสิ่งใดกินเล่า
ชายชุดดำแสยะยิ้มเย็น เอ่ย “ช่างเถิด ในเมื่อสิ่งที่ข้าเอ่ยทุกท่านไม่ฟัง ข้าก็คงต้องกลับสู่ราชสำนักแล้ว รอเมื่อพ่ายแพ้จริงๆ คิดว่าพวกท่านคงจะเข้าใจได้อย่างถ่องแท้”
เห็นเขาลุกขึ้นเตรียมออกไป แม่ทัพที่นั่งประจำอยู่ที่นั่งเหนือสุดรีบเอ่ย “ไยท่านต้องรีบร้อนเพียงนี้ มีอันใดก็ค่อยๆ คุยกันเถิด” แม้ว่าแม่ทัพเหล่านี้จะไม่พอใจต่อการชี้นำของผู้มาใหม่ผู้นี้ ทว่าอย่างไรเขาก็เป็นคนที่ฮ่องเต้เป่ยหยวนส่งมาเอง ไม่อาจล่วงเกินไป ว่ากันว่าชนเผ่านอกกำแพงไม่รู้จักปากหวานก้นเปรี้ยว ทว่าเพียงเป็นคนล้วนทำได้ ยิ่งไปกว่านั้นเข้าไปปกครองที่ราบภาคกลางนั้นหลายสิบปี สิ่งที่ควรเรียนไม่ควรก็เรียนรู้มาไม่น้อย
ชายชุดดำหยุดอยู่กับที่ ทว่าไม่ได้เอ่ยสิ่งใด
แม่ทัพจึงถอนหายใจ เอ่ย “ไม่ใช่ข้าไม่ฟังคำชี้แนะจากท่าน เพียงแต่สถานการณ์ของเป่ยหยวนนั้นยากลำบาก พวกเราไม่ได้ต้องการเพียงเสบียงอาหารของโยวโจว เราต้องเพิ่มความขวัญกำลังใจให้กองทัพเราด้วย”
“ทำศึกพ่ายแพ้ไปหลายต่อหลายครั้งเช่นนั้นสามารถเพิ่มขวัญกำลังใจได้หรือ”
“ท่านจะดูถูกกองทัพเป่ยหยวนเกินไปแล้ว” แม่ทัพเริ่มไม่พอใจขึ้นมา
ชายชุดดำถอนหายใจ โบกมือ เอ่ย “ช่างเถิด เรื่องของที่นี่เชิญท่านแม่ทัพจัดการไปเถิด ข้ามาก็เพียงเพื่อยืนยันบางอย่างเท่านั้น ยังมีเรื่องสำคัญต้องหารือกับฮ่องเต้ คงต้องขอตัวลาแล้ว” เอ่ยจบ ไม่สนใจคำขอร้องของแม่ทัพ สะบัดแขนเสื้อเดินออกจากกระโจมไป
“ท่านแม่ทัพ คนผู้นี้เป็นใครกันแน่ โอหังเสียจริง” นายทหารชั้นสูงที่นั่งอยู่อดไม่ได้ลุกขึ้น เอ่ยเสียงหนัก
แม่ทัพถอนหายใจ ส่ายศีรษะ “ข้าเองก็ไม่รู้ เพียงแต่ฝ่าบาทให้ความสำคัญกับคนผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง”
แม่ทัพที่เอ่ยส่งเสียงหยันในลำคอ เอ่ยเหยียดหยัน “คนที่ไม่เคยทำศึกสงคราม จะมาเที่ยวออกคำสั่งได้เยี่ยงไร ท่าทางอ่อนแอเช่นนั้น เพียงมองก็รู้แล้วว่ามันเป็นพวกทางใต้ของอาณาจักรเซี่ย ตอนนั้นก็เพราะอดีตฮ่องเต้ใช้งานคนทางใต้ทำให้สถานที่อุดมสมบูรณ์ถูกคนยึดไป”
แม่ทัพนวดขมับ เอ่ย “เอาล่ะ เรื่องนี้ไม่ต้องพูดอีกแล้ว มาคิดเรื่องสงครามตรงหน้าเสียดีกว่า ไม่ว่าอย่างไร…จะให้กองกำลังของโยวโจวมาเอาเปรียบเราไม่ได้”
มีคนทนไม่ได้ เอ่ยว่า “กองทัพโยวโจวเองก็คงนับวันยิ่งไร้ประโยชน์ ถึงขั้นต้องให้สตรีมาออกรบแล้ว”
“พวกเจ้าอย่าลืมสิ สตรีผู้นั้นเกือบจะ…” แม่ทัพเงียบไป สายตาของทุกคนหันไปมองไห่รื่อกู่โดยไม่รู้ตัว เห็นผ้าพันแผลหนาๆ นั่นของเขา มีคนเอ่ยพึมพำ “นั่นเป็นเพราะความเจ้าเล่ห์ของคนทางใต้”
ไห่รื่อกู่นิ่งเงียบ ก้มลงไปมองมือขวาที่บาดเจ็บของตนเองสีหน้าเคร่งขรึมทะมึนขึ้น
กระโจมใหญ่ ชายชุดดำเดินพ้นออกมาจากกระโจมและถอดหมวกคลุมศีรษะออก เผยให้เห็นใบหน้าภายใต้หน้ากากงดงามทว่าให้ความรู้สึกแปลกประหลาด ภายใต้หน้ากากนั้น ริมฝีปากซีดขาวเล็กน้อย ชายชุดดำสองคนมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเขา ยกสองมือขึ้นประสานตรงหน้า “เจ้าสำนัก”