หนานกงมั่วกะพริบตาเบาๆ แสดงให้เห็นว่านางเข้าใจในสิ่งที่เขาเอ่ย แน่นอนว่าเป็นการหลีกเลี่ยงการปะทะกับชาวเป่ยหยวน เพราะในยามที่พวกนางกำลังปะทะกับชาวเป่ยหยวนอย่างเมามันอยู่นั้น เบื้องหลังของค่ายทหารก็อาจจะถูกเซียวเชียนเยี่ยหักเงินเดือนอยู่ก็เป็นได้ ถึงเวลานั้น เกรงว่าที่ที่จะร้องไห้ก็ยังไม่มีเสียด้วยซ้ำ
“เราจะไปลอบสังหารฮ่องเต้เป่ยหยวนกันหรือ” หนานกงมั่วเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น คุณชายเว่ยขัดจังหวะความตื่นเต้นของนางด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “แม้แต่ราชสำนักของพวกเป่ยฮั่นเราก็หาไม่เจอเสียด้วยซ้ำ”
“ก็ได้ ข้าก็แค่คิดไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น” นางมิใช่คนแรกที่คิดเรื่องลอบสังหารฮ่องเต้เป่ยหยวนอย่างแน่นอน ตอนนี้ฮ่องเต้เป่ยหยวนยังอยู่ดีมีสุข ก็แสดงว่าความคิดนี้ไม่สามารถสำเร็จลุล่วงได้ ยิ่งไปกว่านั้น…หากฮ่องเต้องค์ปัจจุบันสวรรคตก็จะมีฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นมาแทน ไม่แน่บางทีอาจจะสามารถกระตุ้นจิตวิญญาณของชาวเป่ยหยวนให้กลับมาฮึกเหิมอีกครั้งก็เป็นได้ ถึงแม้ว่าตอนนี้ชาวเป่ยหยวนจะค่อนข้างน่าเวทนา แต่ก็ไม่มีใครกล้าปฏิเสธได้อย่างเต็มปากว่ากองทัพม้าเหล็กของชาวเป่ยหยวนนั้นไม่ใช่ทหารที่ยอดเยี่ยมที่สุด
เว่ยจวินมั่วเอื้อมมือไปสัมผัสแก้มแดงระเรื่อของนางอย่างเบามือ เอ่ยว่า “เราก็แค่ออกมาดูลาดเลาก็เท่านั้น หาไม่เจอก็ไม่เป็นไร” ไม่ว่าใครก็ไม่อาจคาดหวังได้ว่าจะสามารถค้นพบแหล่งข่าวอันมีค่ายิ่งโดยอาศัยเพียงแค่การออกมาตระเวนดูลาดเลานอกด่านเขตชายแดนนี้เท่านั้น หนานกงมั่วอิงศีรษะลงบนไหล่ของเขาอีกครั้ง เอ่ย “แล้วเราจะไปทางไหนกัน”
ในมือของเว่ยจวินมั่วมีแผนที่ธรรมดาที่ค่อนข้างหยาบฉบับหนึ่ง ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ไร้ขอบเขต แต่ไม่มีสิ่งที่บ่งบอกตายตัวมากมายเท่าใดนัก แม้แต่คนท้องถิ่นก็อาจจะพลัดหลงทางได้ เลิกหวังไปได้เลยว่าจะมีแผนที่ที่ละเอียด เว่ยจวินมั่วมองแผนที่ในมือพลางเอ่ย “เราหลีกเลี่ยงกองทัพทหารที่อยู่ในบริเวณใกล้ๆ แล้วมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ กงอวี้เฉินเองก็ปรากฏเคยตัวที่เป่ยหยวนมิใช่หรือ ลองไปสืบดูเรื่องเขาด้วย ว่าเขากำลังคิดจะทำสิ่งใด”
หนานกงมั่วยักไหล่เบาๆ พลางมองดูแผนที่ในมือของเขา “ข้าคิดว่า การตามหากงอวี้เฉินคงจะยากกว่าการตามหาฮ่องเต้เป่ยหยวนกระมัง”
เว่ยจวินมั่วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “การจะตามหากงอวี้เฉินนั้นมิใช่เรื่องง่าย แต่ว่า…ลูกน้องของเขาใช่ว่าจะซ่อนตัวเก่งกันทุกคนเสียหน่อย อีกอย่างตอนนี้กงอวี้เฉินก็เพิ่งได้รับบาดเจ็บมา เขาไม่มีทางออกมาข้างนอกตัวคนเดียวอย่างแน่นอน”
หนานกงมั่วพยักหน้าเบาๆ นางยิ้มพลางเอ่ยว่า “ก็ได้ เอาตามที่ท่านว่า แล้วเราจะเริ่มออกเดินทางเมื่อใดหรือ”
เว่ยจวินมั่วก้มหน้ามองนาง นัยน์ตาแฝงไปด้วยรอยยิ้มบางๆ “คืนนี้เรานอนค้างกันที่นี่ก่อน พรุ่งนี้ค่อยเริ่มออกเดินทาง”
หนานกงมั่วกวาดสายตามองดูรอบๆ บนทุ่งหญ้ากว้าง ริมทะเลสาบ ถือเป็นสถานที่ที่ไม่เลวทีเดียว นางหันไปมองม้าที่อยู่ไม่ไกลจากเว่ยจวินมั่วเท่าใดนัก เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด บนหลังม้ามีกระโจมและสัมภาระห้อยอยู่ด้วย ตอนแรกนางก็ยังแอบรู้สึกสงสัยอยู่เลยว่าข้างในใส่สิ่งใดเอาไว้
ท่ามกลางทุ่งหญ้าเงียบสงบ ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับมากมาย กลุ่มดวงดาวแพรวพราวที่ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าอย่างไร้ซึ่งจุดสิ้นสุด ริมทะเลสาบที่สงบเงียบและกองไฟที่กำลังลุกไหม้ ไม่ไกลจากกองไฟ คนสองคนกำลังนอนดูดวงดาวบนฟากฟ้าอยู่บนทุ่งหญ้า และด้านหลังไม่ไกลจากพวกเขามีกระโจมที่พึ่งกางเสร็จตั้งอยู่
หนานกงมั่วที่ซบอยู่ในอ้อมกอดของเว่ยจวินมั่วกำลังฟังเสียงลมพัดผ่านทุ่งหญ้าในยามค่ำคืน นางหัวเราะเสียงเบาพลางเอ่ย “เงียบสงบทีเดียว สบายใจไม่น้อยเลย”
เว่ยจวินมั่วก้มหน้ามองหนานกงมั่ว ทว่าไม่ได้เอ่ยอันใดออกมา ปล่อยให้นางซบอยู่ในอ้อมกอดของเขาตามอำเภอใจอย่างเงียบๆ จากนั้นก็แหงนหน้าไปเชยชมดวงดาวบนท้องฟ้าอีกครั้ง
หนานกงมั่วเอื้อมมือชี้ไปยังกลุ่มดวงดาวบนท้องฟ้าพลางยิ้ม เอ่ยว่า “นั่นคือกลุ่มดาวไถ”
เว่ยจวินมั่วดึงมือของนางกลับมากุมไว้ หนานกงมั่วพลิกตัวหันมาประจันหน้ากับเขาพลางเอ่ยถาม “ท่านว่า…หากในตอนนั้นไม่มีคำทำนายนั่น ตอนนี้ท่านและข้าจะเป็นอย่างไร”
เว่ยจวินมั่วหลุบตาลงต่ำ เงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า “หลังจากที่ได้พบกับอู๋สยาแล้ว ข้าก็รู้สึกว่าโชคดีที่มีคำทำนายนั่น”
หากว่าไม่มีคำทำนายนั่น บางทีเว่ยจวินมั่วก็อาจจะไม่ใช่เว่ยจวินมั่วคนนี้ก็เป็นได้ เขาเป็นบุตรชายอันเป็นที่รักขององค์หญิงฉังผิงและจิ้งเจียงจวิ้นอ๋อง บางทีเขาอาจจะไม่ได้ต่างไปจากผู้ดีในเมืองจินหลิงเลย บางทีเขาอาจจะเป็นคนหนุ่มอนาคตก้าวไกลที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ไม่มีทางที่เขาจะใช้ชีวิตโดยที่ไม่แต่งงานทั้งที่อายุยี่สิบสองแล้ว และเขาก็คงไม่มีทางที่จะรอคอยสตรีที่ชื่อหนานกงอู๋สยาอยู่นอกเมืองตานหยางอย่างใจเย็นและสบายใจแน่นอน
“ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยดีนัก แต่ข้าเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน” หนานกงมั่วเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
หากไม่มีคำทำนายนั่น เว่ยจวินมั่วคงจะแต่งงานตั้งแต่อายุไม่ถึงสิบขวบเลยกระมัง และไม่แน่บางทีหากเว่ยจวินมั่วแต่งงานไปก่อน ใต้หล้านี้ก็คงจะไม่มีคนที่ชื่อหนานกงมั่ว
เว่ยจวินมั่วยกมือขึ้นมาลูบผมของนางอย่างทะนุถนอม
“ได้พบเจออู๋สยา คือสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตข้าแล้ว”
“ข้าเองก็เช่นกัน”
การได้พบเจอซึ่งกันและกัน ถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของทั้งสอง
ทันใดนั้นเอง ม้าที่อยู่ไม่ไกลจากทั้งสองก็ค่อยๆ ก้าวเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ พร้อมกับร้องเสียงเบา ม้าของหนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วนั้นนำมาจากจินหลิง โดยเฉพาะม้าของเว่ยจวินมั่ว ถือว่าติดตามเขามานานหลายปี ตอนกลางคืนก็จะปล่อยให้พวกมันไปกินหญ้าหรือพักผ่อนอยู่นอกกระโจมตามอัธยาศัยโดยที่ไม่ต้องไปดูแล
เว่ยจวินมั่วประคองหนานกงมั่วลุกขึ้นนั่งพลางเอ่ยขึ้นเสียงเบา “มีคนมา”
หนานกงมั่วขมวดคิ้วแน่นพลางหันไปมองทิศทางที่ม้ากำลังเดินมา “เวลานี้ยังมีคนเดินทางอีกหรือ คงไม่ใช่ชาวเป่ยหยวนหรอกกระมัง”
เว่ยจวินมั่วส่ายหน้าเบาๆ “ดูไม่เหมือนชาวเป่ยหยวน”
หนานกงมั่วก้มหน้าสำรวจเสื้อผ้าของตัวเอง เพราะมั่นใจตั้งแต่แรกว่าจะต้องเดินทางไปยังอาณาจักรของชาวเป่ยหยวน หนานกงมั่วก็เลยเปลี่ยนจากชุดที่สวมใส่เป็นประจำไปสวมใส่ชุดสตรีของชาวเป่ยหยวนแทน ชาวเป่ยหยวนชอบสีที่ฉูดฉาด นางจึงเลือกใส่ชุดสีชมพูลูกท้อขอบสีทองและรองเท้าปักลายสีเดียวกันกับเสื้อผ้า เปียผมด้วยทรงที่เรียบง่าย ที่เอวมีแส้ยาวพันรอบ ดูทะมัดทะแมงเหมือนเช่นสตรีชาวเป่ยหยวนไม่น้อย ส่วนเว่ยจวินมั่วนั้นไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าของชาวเป่ยหยวนเลย เขาสวมชุดจิ้นจวงสีดำของชาวจงหยวนทางภาคกลางทั้งชุด
รูปลักษณ์ภายนอกเช่นพวกเขา หากคิดอยากจะแต่งตัวเป็นชาวเป่ยหยวนก็จะต้องลงทุนลงแรงไม่น้อย แต่ทว่า การจะแต่งตัวให้เหมือนชาวเป่ยหยวนในที่ของชาวเป่ยหยวนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งคู่จึงวางแผนแต่งตัวเป็นชาวจงหยวนที่มาทัศนาจรอาณาจักรเป่ยหยวนแทน
ตลาดการค้าของอาณาจักรเป่ยหยวนมีชาวจงหยวนมาเคลื่อนไหวไม่น้อย ถึงแม้ว่าอาณาจักรเป่ยหยวนและต้าเซี่ยจะต่างฝ่ายต่างมองว่าเป็นศัตรูกัน แต่ขอแค่เป็นการค้าขายที่มีกำไรก็ย่อมมีร่องรอยการเข้าออกของพ่อค้าอย่างแน่นอน ตระกูลผู้ดีของเป่ยหยวนเสพสุขอยู่ในอาณาจักรจงหยวนมานานหลายทศวรรษ จึงติดนิสัยแย่ๆ มาไม่น้อย ผ้าไหม ใบชา ใบยาสูบ เกลือและอื่นๆ อีกมากมาย ล้วนแล้วแต่เป็นสินค้าที่ชาวเป่ยหยวนชื่นชอบเป็นอย่างมาก ถึงแม้สินค้าของอาณาจักรเป่ยหยวนจะไม่อุดมสมบูรณ์เท่าใดนัก แต่ก็ยังสามารถลักลอบนำทองคำ หนังสัตว์ และสมุนไพรออกมาจากอาณาจักรจงหยวนไม่น้อย อาณาจักรจงหยวนไม่ได้สั่งห้ามทำการค้าอย่างสมบูรณ์ เพียงแต่ตรวจค้นค่อนข้างเข้มงวดเท่านั้น แต่ก็ยังมีคนไม่น้อยที่กล้าออกนอกด่านเขตแดนอย่างไม่กลัวตาย ไม่ใช่แค่เฉพาะชาวเป่ยหยวนเท่านั้น แต่ยังเป็นสถานที่ค้าขายที่ดีของชนเผ่าหว่าชื่อและชนเผ่าต๋าต๋าอีกด้วยมิใช่หรือ
ทั้งสองพึ่งจะพากันลุกขึ้น ก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังขี่ม้ามุ่งหน้ามายังทิศทางที่ทั้งสองยืนอยู่ เมื่อคนเหล่านั้นเห็นกองไฟก็รีบดึงบังเหียนให้ม้าหยุดเดินด้วยความแปลกใจ คนกลุ่มนั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงค่อยตัดสินใจควบม้าตรงมาหาทั้งสอง กลุ่มคนมีจำนวนสิบกว่าคนเห็นจะได้ หัวหน้าที่ขี่ม้านำหน้ามากลับเป็นชายสองคนและสตรีอีกหนึ่งคน คนหนึ่งเป็นชายที่ร่างกายกำยำอายุราวสี่สิบกว่าปี อีกคนเป็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบต้นๆ และเด็กสาวที่อายุราวสิบกว่าปี คนที่ติดตามอยู่ด้านหลังดูเหมือนจะเป็นลูกน้องใต้บังคับบัญชา ทุกคนต่างก็สวมใส่ชุดของชาวเป่ยหยวนทั้งสิ้น แต่รูปลักษณ์หน้าตาดูเหมือนชาวจงหยวนเสียมากกว่า ในรถม้าและหลังของม้าเต็มไปด้วยข้าวของไว้มากมาย เห็นได้ชัดว่าเป็นกลุ่มคาราวานพ่อค้าชาวจงหยวนที่เดินทางมายังอาณาจักรเป่ยหยวน
เมื่อเห็นเว่ยจวินมั่วสองสามีภรรยา พวกเขาก็อึ้งไปชั่วขณะ ชายที่ร่างกายกำยำก็ได้ประสานมือคารวะพร้อมกับเอ่ยว่า “พวกข้าเร่งเดินทาง ก็เลยดึกไปเสียหน่อย ทำพวกท่านตกใจแล้ว”