หนานกงมั่วยิ้มพลางเอ่ย “มิกล้า ล้วนเดินทางทำมาหากินทั้งนั้น”
เมื่อเห็นรอยยิ้มของนาง ชายวัยกลางคนก็อึ้งไปชั่วครู่หนึ่ง เขาเดินทางมาทั่วสารทิศ ประสบการณ์ก็ถือว่ามีไม่น้อย แต่น้อยนักที่จะเห็นสตรีที่มีใบหน้างดงามและบุคลิกโดดเด่นเช่นนี้ บุตรีของเขาเองก็มีรูปโฉมที่งดงามมาก แต่กลับดูแตกต่างราวกับราชินีแห่งดอกไม้เช่นโบตั๋นและดอกไม้ป่าริมทางก็ไม่ปาน
ทันใดนั้นเอง จู่ๆ ความเย็นยะเยือกก็วิ่งผ่านใบหน้าของเขาไป ชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อย จากนั้นก็รีบดึงสติกลับทันที ยิ้มพลางเอ่ย “ก็ยังต้องรบกวนพวกท่านอยู่ดี ข้าคิดว่าเดี๋ยวจะให้คนของข้าค้างแรมที่นี่ ไม่ทราบว่า…”
“เชิญตามสบายเจ้าค่ะ” หนานกงมั่วตอบกลับ
“ขอบคุณแม่นางแล้ว” ชายหนุ่มหันไปโบกมือพลางตะโกนเรียกกลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังอยู่ครู่หนึ่ง กลุ่มคนเหล่านั้นก็จัดการผูกม้าและวางข้าวของสัมภาระ จากนั้นก็พากันกางกระโจมปักหลักตั้งค่ายที่ริมทะเลสาบ ส่วนคนอีกกลุ่มก็แยกตัวไปเตรียมหุงต้มอาหาร
งานยิบย่อยเหล่านี้มีลูกน้องคอยดูแลจัดการ ส่วนคนที่ดูเหมือนเป็นหัวหน้าทั้งสามคนก็ไม่มีอันใดต้องทำเลย ชายคนที่ยังดูหนุ่มแน่นยิ้มพลางเอ่ยว่า “ไม่ทราบว่าท่านทั้งสองมาทำอันใดนอกเขตป้อมปราการหรือ ข้า ลูกสาว และบิดาของข้า ออกเดินทางค้าขายอยู่นอกด่านชายแดนเหนือมาหลายปี ค่อนข้างคุ้นชินกับถนนหนทางพอตัว”
เว่ยจวินมั่วหลุบตาลงมองหนานกงมั่วไม่ได้เอ่ยอันใดออกมา หนานกงมั่วจึงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มสดใส “ข้าและพี่ชายออกมาเดินทางท่องเที่ยว อยากจะเชยชมความกว้างใหญ่ไพศาลนอกด่านชายแดนเหนือ ได้ยินมาว่าที่ทุ่งหญ้าเหิงชวนสามารถเดินทางข้ามไปยังดินแดนตะวันตกอันไกลโพ้นได้ พี่ชายของข้าอยากจะไปดูสักหน่อยว่าพอจะสามารถนำของหายากกลับไปขายที่จงหยวนได้หรือไม่ จะได้ไม่ไปเสียเที่ยว ท่านถือเป็นผู้อาวุโสที่มีประสบการณ์การเดินทางข้างนอกนี้มานาน เห็นทีต้องรบกวนขอคำแนะนำจากท่านผู้อาวุโสแล้วเจ้าค่ะ”
ชายวัยกลางคนได้ยินแล้วก็ฉีกยิ้มกว้าง “แม่นางเกรงใจไปแล้ว” ถึงแม้ว่าเสื้อผ้าที่ชายหญิงคู่นี้สวมใส่นั้นจะเรียบง่ายไม่สะดุดตา แต่แค่เห็นสีหน้าท่าทีที่สง่างามของชายหนุ่มและรอยยิ้มไร้เดียงสาของหญิงสาวแล้วก็สามารถรู้ได้ในทันที เกรงว่าคงจะเป็นคุณชายกับคุณหนูของตระกูลผู้ดีที่หนีออกมาทำมาหากินโดยที่ไม่รู้ลึกตื้นหนาบาง “เพียงแต่ว่า นอกด่านชายแดนเหนือไม่ได้เหมือนเช่นภายในด่าน อยากจะทำการค้าขายข้างนอกนี้ถือว่าอันตรายเป็นอย่างมาก”
หนานกงมั่วจึงกอดแขนของเว่ยจวินมั่วพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร พี่ชายของข้าฝีมือเก่งกาจเป็นอย่างมาก”
ชายวัยกลางคนก็เป็นผู้ที่มีประสบการณ์การเดินทางมานานหลายปี สายตาย่อมแหลมคมเป็นธรรมดา จึงมองออกว่าที่เอวของเว่ยจวินมั่วมีกระบี่อ่อนเหน็บอยู่ และแซ่ที่พันรอบเอวของหนานกงมั่วก็ไม่ใช่เล่นๆ เลย อดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้างกว่าเดิม “หากทั้งสองท่านไม่รังเกียจ พวกข้าเองก็กำลังจะเดินทางไปทางทิศตะวันตกเหมือนกัน พวกท่านสามารถร่วมเดินทางกับพวกข้าได้”
หนานกงมั่วกะพริบตาพลางหันไปมองเว่ยจวินมั่วด้วยความลังเลใจ เว่ยจวินมั่วจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไม่เป็นไร พวกข้าจะเดินทางกันเอง” หนานกงมั่วเองก็พยักหน้าตาม จากนั้นก็หันกลับไปเอ่ยกับชายวัยกลางคนผู้นั้นว่า “ขอบคุณน้ำใจของท่าน พวกข้าเดินทางกันเองดีกว่าเจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นทั้งสองปฏิเสธอย่างสุภาพ เขาเพียงแค่ยิ้มตอบและไม่ได้คะยั้นคะยอแต่อย่างใด กองไฟข้างๆ ที่พึ่งจุดติดมีทั้งหมดสองกอง กองหนึ่งเอาไว้ให้ลูกน้องราวสิบกว่าคนใช้ ส่วนอีกกองก็ให้สามพ่อลูกใช้ สามคนพ่อลูกที่กำลังนั่งอยู่ข้างๆ กองไฟจู่ๆ ก็หันมายิ้มให้กับหนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วพลางเอ่ย “พวกข้าอยู่ที่นี่ด้วยก็มีแต่จะเสียงดังรบกวนพวกท่าน สู้เรามาดื่มสุราด้วยกันสักจอกดีหรือไม่”
หนานกงมั่วดึงแขนเสื้อของเว่ยจวินมั่วเบาๆ ด้วยสีหน้าท่าทางขอร้องวิงวอน คุณชายเว่ยจึงพยักหน้าเบาๆ ด้วยสีหน้าเฉยเมย จากนั้นก็จูงมือของหนานกงมั่วเดินไปนั่งข้างๆ พวกเขา
เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มและเด็กสาวที่นั่งเงียบมาตลอดนั้นรู้สึกแปลกใจไม่น้อย เพียงแต่ว่าตอนนี้ท่านพ่อของพวกเขากำลังคุยกับหนานกงมั่ว ทั้งสองจึงไม่ได้เอ่ยถามแต่อย่างใด ยามนี้เมื่อเห็นเว่ยจวินมั่วและหนานกงมั่วนั่งลง เด็กสาวก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “ไม่ทราบว่าท่านทั้งสองมีนามว่าอย่างไร”
หนานกงมั่วยิ้มพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เป็นกันเอง “ข้ามีนามว่ากงมั่วหลาน ส่วนพี่ชายของข้ามีนามว่ากงจวินชิง แล้วแม่นางล่ะ มีนามว่าอันใดหรือ”
เด็กสาวตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ข้ามีนามว่าหลูเซียงเซียง นี่คือพี่ใหญ่ของข้านามว่าหลูอวิ๋นเฟิง ส่วนท่านพ่อของข้าชื่อหลูฉี่หลิน”
เมื่อได้ยินชื่อสกุลกง ชายหนุ่มก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางหันมาสังเกตหนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วด้วยสีหน้าเรียบเฉย ในใจกำลังไล่เรียงชื่อสกุลของตระกูลในอาณาจักรต้าเซี่ยว่ามีตระกูลไหนบ้างที่สกุลกง จากนั้นเขาก็เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ที่แท้แล้วท่านทั้งสองก็เป็นคนสกุลกงนี่เอง ไม่ทราบว่ามีความเกี่ยงข้องกับต้นตระกูลของซีอานกงซื่อหรือไม่”
หนานกงมั่วส่ายหน้าพลางตอบกลับไปว่า “คาดว่าน่าจะไม่มีความเกี่ยวข้องกัน ข้าเป็นคนหลิงโจว ห่างจากซีอานนับพันลี้เชียว”
“ที่แท้แล้วก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ข้าน้อยเห็นว่าทั้งสองดูมีสง่าราศีเป็นอย่างมาก ก็เลยคิดว่า…พวกข้าเสียมารยาทแล้ว”
หนานกงมั่วตัดสินใจเอ่ยถามทั้งสองไปตรงๆ โดยที่ไม่อ้อมค้อม “แม่นางหลูและคุณชายหลูติดตามท่านพ่อออกมาค้าขายตั้งแต่อายุยังน้อยเช่นนี้ เก่งกว่าพวกข้าเป็นไหนๆ ตอนอยู่ที่บ้านท่านแม่ข้ามักจะบ่นอยู่เป็นประจำว่าพี่ใหญ่ของข้าวันๆ เอาแต่อ่านหนังสือตำราและฝึกฝนวรยุทธ์ ผ่านไปครึ่งค่อนวันแต่เอ่ยวาจาเพียงไม่กี่คำเท่านั้น เกรงว่าถึงแม้จะสอบได้ตำแหน่งมาก็คงจะไร้ประโยชน์ สู้ออกมาเปิดหูเปิดตาหาประสบการณ์เสียยังดีกว่า”
“ความคิดของมารดาท่านเหนือชั้นยิ่งนัก” ชายวัยกลางคนเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม จากนั้นจึงหันไปมองเว่ยจวินมั่วที่นั่งอยู่ข้างๆ ซึ่งมีสีหน้าเคร่งขรึม เพียงแต่จ้องมอง ‘น้องสาว’ อย่างเงียบๆ เท่านั้น ถือว่าเป็นคนที่เอ่ยน้อยคำเป็นอย่างมาก ดูไม่ค่อยเหมาะกับสังคมของขุนนางข้าราชการเท่าใดนัก
หนานกงมั่วยิ้มกว้างพลางเอ่ย “ดังนั้น พวกข้าสองพี่น้องก็เลยพากันออกเดินทาง หากไม่ได้สู้สักปีสองปี พวกข้าก็จะไม่กลับไปอย่างแน่นอน”
หลูเซียงเซียงจ้องมองหนานกงมั่วอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “แม่นางกงอายุเท่าใดหรือ ถึงวัยที่ต้องแต่งงานออกเรือนแล้วกระมัง เหตุใดถึงยังออกมาเที่ยวเล่นอยู่อีก”
“ดังนั้นพวกข้าก็เลยต้องพากันแอบหนีออกมาอย่างไรเล่า” หนานกงมั่วยิ้มตาหยี “ยิ่งไปกว่านั้น ข้าจะแต่งงานออกเรือนตอนไหนก็ควรเป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ถึงแม้ว่าทั้งชีวิตนี้ข้าจะไม่ได้แต่งงานออกเรือน พี่ใหญ่ของข้าก็ยังเลี้ยงดูข้าอยู่ดีใช่หรือไม่” คุณชายเว่ยที่นั่งอยู่ข้างๆ หันมามองนางอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าเบาๆ ด้วยสีหน้าเฉยชา
ทว่าคุณชายหลูกลับดูไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่นัก “คุณชายกงรักและทะนุถนอมน้องหญิงเช่นนี้ จะไม่กลายเป็นผลร้ายกับน้องหญิงเอาหรือ”
“ห้ามต่อว่าพี่ใหญ่ของข้านะ” หนานกงมั่วถลึงตาใส่หลูอวิ๋นเฟิงด้วยความไม่พอใจ “พี่ใหญ่ของข้าดีที่สุดแล้ว ห้ามใครว่าร้ายพี่ใหญ่ของข้าเป็นอันขาด”
จู่ๆ บรรยากาศก็เปลี่ยนเป็นตึงเครียดโดยฉับพลัน หลูเซียงเซียงและหลูอวิ๋นเฟิงไม่ทันได้สังเกตว่าแววตาของบิดาที่นั่งอยู่ข้างๆ พวกเขานั้นมีรอยยิ้มผ่อนคลายปรากฏขึ้นบนใบหน้า สายตาที่จ้องมองหนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วนั้นแลดูอ่อนโยนกว่าเดิมมาก
คุณชายที่หยิ่งทะนงไร้ซึ่งประสบการณ์และแม่นางที่โอหังเอาแต่ใจไร้ซึ่งมารยาท ถือว่ายากที่จะปลุกความหวาดระแวงของผู้อื่นมิใช่หรืออย่างไรกัน
สุดท้ายกลับเป็นอีกฝ่ายที่แยกย้ายกลับไปด้วยความฉุนเฉียว หนานกงมั่วดึงแขนของ ‘พี่ใหญ่’ ของนางกลับไปยังกระโจมของตนเอง หลังจากที่เข้ากระโจมไปแล้ว ยังไม่ทันที่หนานกงมั่วจะได้จุดตะเกียง จู่ๆ เอวของนางก็ถูกมือคู่หนึ่งรวบไว้แน่น ลมหายใจอุ่นๆ พ่นลงบนต้นคอจนทำให้นางรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวขึ้นมา “อย่าดิ้น”
“พี่ใหญ่หรือ หืม” น้ำเสียงที่ทุ้มต่ำของคุณชายเว่ยดังขึ้นมาจากด้านหลัง
หนานกงมั่วหันเข้าหาอ้อมแขนของเขาพลางกระซิบด้วยน้ำเสียงที่จนใจว่า “ทำเช่นนี้ไม่ปลอดภัยกว่าหรือ ท่านอย่าลืมว่านอกด่านชายแดนเหนือนี้มีคนของกงอวี้เฉินเต็มไปหมด”
คุณชายเว่ยกระแอมเสียงเบา เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ค่อยพอใจกับคำตอบนี้นัก หนานกงมั่วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ก็ได้ ข้ารู้สึกว่าคนเหล่านี้ค่อนข้างแปลก ก็เลยคิดว่าใช้ความสัมพันธ์เชิงพี่น้องเข้าหาจะเป็นการดีกว่า” แน่นอนว่านางไม่สามารถตอบว่าเป็นเรื่องบังเอิญได้อยู่แล้ว
“อย่างเช่น?”
“อย่างเช่น หลูฉี่หลินผู้นั้นอาจอยากจะได้ท่านไปเป็นลูกเขย” หนานกงมั่วที่นอนทาบบนตัวเขาเอ่ยขึ้นพลางหัวเราะเสียงเบา
จู่ๆ แขนที่รวบเอวของนางอยู่ก็รัดแน่นยิ่งขึ้นกว่าเดิม หนานกงมั่วกะพริบตาเป็นพัลวัน “หรือว่า อยากได้ข้าเป็นลูกสะ…” ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยจนจบ ริมฝีปากก็ถูกประกบอย่างรุนแรง จนหนานกงมั่วรู้สึกว่านางแทบจะหายใจไม่ออกอยู่แล้วจึงรีบผลักเขาออกพลางกระซิบเสียงเบา “อย่าแกล้งข้าสิ หากท่านยังแกล้งข้าต่อ มีหวังจะถูกคนเหล่านั้นสงสัยเอาได้” คุณชายเว่ยจึงค่อยๆ คลายอ้อมแขนออก จากนั้นจึงเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “อู๋สยา ข้าไม่ชอบใจ”