คนที่อยู่ในสถานการณ์มองสบตากัน ไม่สมเหตุสมผลสักนิด จากที่นี่ถึงสวนดอกไม้ของเรือนหน้าบริเวณใจกลางยังมีสวนต่างๆ มากมาย สวนดอกไม้ภายในและเรือนนอกอีกหนึ่งหลัง หากสาวใช้ผู้นั้นวิ่งออกไปจากที่นี่เมื่อยามเกิดการลอบสังหาร วิ่งยังไม่ถึงเรือนหน้าก็คงถูกดักเอาไว้ จะไปเจอเกาอี้ปั๋วฮูหยินที่กำลังเดินเล่นอยู่ในสวนของเรือนหน้าได้อย่างไร หากสิ่งที่เกาอี้ปั๋วฮูหยินเอ่ยเป็นความจริง เช่นนั้นก็หมายความว่ามีคนล่อนางให้มาที่นี่
“เป็นถึงจวนเยี่ยนอ๋อง ไยจึงมีเรื่องลอบสังหารได้” เกาอี้ปั๋วฮูหยินจับบุตรีเอาไว้แน่น จ้องสามคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเขม็ง เอ่ย “ไม่ได้ อวี้เอ๋อร์ เจ้าจะอยู่ที่จวนเยี่ยนอ๋องแห่งนี้อีกไม่ได้แล้ว พวกเขา…ต้องเป็นพวกเขาแน่ที่คิดจะทำร้ายเจ้า”
เมื่อเอ่ยจบ ใบหน้าของเซียวเชียนเหว่ยพลันทะมึนขึ้น เอ่ยเสียงเข้ม “เกาอี้ปั๋วฮูหยิน ระวังวาจาด้วย”
เกาอี้ปั๋วฮูหยินคิดว่าตนเองไม่ผิด กัดฟันเอ่ย “จวนเยี่ยนอ๋องของพวกเจ้าไม่ได้ยินดีกับการแต่งงานครั้งนี้ตั้งแต่แรก ใครจะรู้ว่าพวกเจ้าตั้งใจทำร้ายอวี้เอ๋อร์หรือไม่”
“ท่านแม่” จูชูอวี้เอ่ยเสียงดัง มองท่าทีงงงวยของเกาอี้ปั๋วฮูหยิน ลอบถอนหายใจอยู่ในใจ กัดฟันเอ่ย “ท่านอย่าเอ่ยเหลวไหล จวนเยี่ยนอ๋องจะทำเรื่องเช่นนี้ได้เยี่ยงไร” นางรู้ดีว่ามารดาของตนนั้นไม่ฉลาด แต่สถานการเช่นนี้ยังเอ่ยไม่ระมัดระวัง ทำให้นางปวดหัวอยู่ไม่น้อย อย่าว่าแต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับจวนเยี่ยนอ๋อง ต่อให้เป็นฝีมือของจวนเยี่ยนอ๋องก็ไม่อาจเอ่ยต่อหน้าพวกเขาเยี่ยงนี้ได้
เซียวเชียนเหว่ยใบหน้าทะมึน เอ่ยเสียงเย็น “ที่แท้จวนเกาอี้ปั๋วก็มองจวนเยี่ยนอ๋องเยี่ยงนี้นี่เอง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ซั่นจยาจวิ้นจู่ยังแต่งเข้ามาทำไมกันเล่า ไม่กลัวคนจวนเยี่ยนอ๋องทรมานจนตายหรือ”
สีหน้าของจูชูอวี้ซีดลงเล็กน้อย กัดริมฝีปากเบาๆ เอ่ย “ท่านแม่ข้าเพียงตกใจจนพลั้งปาก ขอจวิ้นอ๋องอย่าถือสา” เซียวเชียนเหว่ยถูกแต่งตั้งเป็นซุ่นอี้จวิ้นอ๋องแล้ว จูชูอวี้จึงเรียกเขาเป็นจวิ้นอ๋อง สถานการณ์ตอนนี้หากเรียกท่านพี่ก็คงกระอักกระอ่วนไม่น้อย
สีหน้าของเซียวเชียนเหว่ยเปลี่ยนไปเล็กน้อย ไม่เอ่ยสิ่งใด
หนานกงมั่วนวดหัวคิ้ว เงยหน้าขึ้นไปมองเว่ยจวินมั่ว เว่ยจวินมั่วกำลังก้มหน้าลงมามองนางอยู่พอดี เมื่อสบเข้ากับดวงตาไร้หนทางของนาง ดวงตาของเว่ยจวินมั่วจึงมีรอยยิ้มบางๆ วาดผ่าน เงยหน้าขึ้นมา เว่ยจวินมั่วเอ่ยกับเกาอี้ปั๋วฮูหยินด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เกาอี้ปั๋วฮูหยิน เดินมาจากเรือนด้านนอกนั่นช่างราบรื่นเสียจริง”
ดวงตาของเกาอี้ปั๋วฮูหยินมีความสงสัยพาดผ่าน เห็นชัดว่าไม่เข้าใจความหมายของเว่ยจวินมั่ว จูชูอวี้และเซียวเชียนเหว่ยกลับเข้าใจ จูชูอวี้ลูบหลังมือเกาอี้ปั๋วฮูหยินเบาๆ เอ่ยเกลี้ยกล่อม “ท่านแม่ ท่านกลับไปก่อน เรื่องที่นี่…อย่าพึ่งเอ่ยอันใดเลย”
“แต่ว่า…” เกาอี้ปั๋วฮูหยินเห็นชัดว่ายังไม่วางใจ
จูชูอวี้ถอนหายใจ สายตาอ้อนวอนมองไปยังเกาอี้ปั๋วฮูหยิน เกาอี้ปั๋วฮูหยินชะงัก สุดท้ายจึงพยักหน้า ยอมให้สาวใช้กลับไปส่งตามคำขอของจูชูอวี้
เมื่อเห็นว่าไม่มีอันใดแล้ว หนานกงมั่วจึงพาเว่ยจวินมั่วเอ่ยลาออกไป
ในห้องหอ ห้องหอที่ถูกตกแต่งงดงามเวลานี้เหลือเพียงจูชูอวี้และเซียวเชียนเหว่ย ด้านนอกประตู องครักษ์ของจวนเยี่ยนอ๋องกำลังเก็บกวาดร่างเหล่านั้น แม้แต่ในเรือนหอยังได้กลิ่นคาวเลือดจางๆ
จูชูอวี้มองไปยังเซียวเชียนเหว่ย เอ่ยเสียงเบา “ท่านพี่…เมื่อครู่ท่านแม่ของข้า ขอท่านพี่อย่าได้ถือสา”
มองใบหน้างดงามภายใต้แสงเทียนของหญิงสาว สีหน้าของเซียวเชียนเหว่ยจึงอ่อนลง เอ่ยเสียงเรียบ “วาจานั้นหากเพียงข้าได้ยินก็ช่างเถิด หากได้ยินไปถึงหูเสด็จพ่อและเสด็จแม่…” มุมปากของจูชูอวี้เผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา พยักหน้า เอ่ย “ข้ารู้เจ้าค่ะ ครั้งนี้มารดาข้าผิดเอง ต่อไปจะไม่มีเรื่องเช่นนี้แล้ว ข้า…ข้าไม่เคยคิดเช่นนี้ต่อจวนเยี่ยนอ๋อง ข้ารู้…การแต่งงานครั้งนี้จวนเยี่ยนอ๋องมิได้ยินยอม…”
“เรื่องมาถึงขึ้นนี้แล้ว ไม่จำเป็นต้องเอ่ยอีก” เซียวเชียนเหว่ยโบกปัดมือเอ่ยเสียงเรียบ
จูชูอวี้พยักหน้า เอ่ยว่า “ต่อไปข้าจะเชื่อฟังบิดามารดาของสามี รักพี่รักน้อง เป็นสะใภ้ที่ดีเจ้าค่ะ”
เซียวเชียนเหว่ยไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอีก เพียงบอก “เจ้ารีบพักผ่อน กินอันใดสักหน่อย ข้ายังมีธุระ”
“เจ้าค่ะ เชิญท่านพี่” จูชูอวี้เองไม่ได้เอ่ยถามอันใดมาก หลุบตาลงอย่างนอบน้อม เซียวเชียนเหว่ยหันตัวเดินออกไป ไม่นานหน้าประตูก็มีเสียงฝีเท้าของเขาที่เดินห่างออกไป
มองห้องหอว่างเปล่าที่ถูกตกแต่งด้วยสีแดง ใบหน้าที่มีรอยยิ้มประดับของจูชูอวี้พลันเลือนหาย ทว่ามีความร้ายกาจเพิ่มขึ้นมาหลายเท่า
ในห้องหนังสือ เยี่ยนอ๋องและเซวียเจินเฉินอวี้กำลังนั่งพูดคุยกันอยู่ มองเห็นหนานกงมั่วทั้งสี่คนเดินเข้ามาก่อนจะหยุดและเงยหน้าขึ้นไปเอ่ยถามทั้งสี่คน “มีเบาะแสใดหรือไม่”
เซียวเชียนจย่งหันกลับไปมองหนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่ว เซียวเชียนเหว่ยหลุบตาลง เอ่ยอย่างละอายใจ “ลูกไร้ความสามารถ ยังไม่มีพ่ะย่ะค่ะ…” เฉินอวี้ยิ้ม เอ่ย “ท่านอ๋อง นี่เพิ่งเท่าไรกัน ยังไม่มีอันใดก็ไม่แปลก” เยี่ยนอ๋องมองไปยังหนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่ว “ชิงสิง อู๋สยา บอกตัวตนของมือสังหารเหล่านั้นได้หรือไม่”
เว่ยจวินมั่วขมวดคิ้ว เอ่ย “เป็นมือสังหารที่ได้รับการฝึกฝนมา แต่เป็นคนของใคร ไม่อาจบอกได้พ่ะย่ะค่ะ” แม้พวกเขาจะสงสัยเซียวเชียนเยี่ยเป็นอันดับแรกแต่ก็ไม่มีหลักฐาน อีกทั้งใช่ว่าจะไม่มีความเป็นไปได้อย่างอื่น
สีหน้าของเยี่ยนอ๋องเข้มขึ้น เอ่ยเสียงหยัน “เป็นถึงจวนเยี่ยนอ๋อง ปล่อยให้มือสังหารมากมายเพียงนั้นเข้าไปถึงเรือนด้านหลังโดยไม่มีใครรู้ตัว ข้าว่า…คนพวกนี้คงจะเบื่อกับการใช้ชีวิตแล้ว” จวนเยี่ยนอ๋องมีการคุ้มกันแน่นหนา หากบอกว่าไม่มีคนในเปิดทางให้มือสังหารพวกนั้นบุกเข้าไปยังเรือนหลังอย่างราบรื่น อีกทั้งยังมุ่งตรงไปยังเรือนหอได้อย่างแม่นยำ คนที่อยู่ตรงนี้เกรงว่าคงไม่มีใครเชื่อ
เฉินอวี้และเซวียเจินสีหน้าตึงเครียด สุดท้ายจึงเป็นเฉินอวี้เอ่ยปาก “ท่านอ๋อง ท่านหมายถึง…”
เยี่ยนอ๋องเอ่ยเสียงเย็น “ยังมีอันใดต้องเอ่ยอีก นี่ไม่ชัดเจนหรือ ดี ดูเหมือนข้าจะใจดีเกินไป สืบให้ละเอียด อย่าได้หลุดรอดไปแม้เพียงคนเดียว ข้าเองก็อยากรู้ว่าสุดท้ายแล้วมีกี่คนที่ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว”
“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง” รู้ว่าเยี่ยนอ๋องโกรธไม่เบา เฉินอวี้สองคนเอ่ยตอบรับโดยพร้อมเพรียง ความจริง…การสืบเรื่องราวในจวน ไม่ต้องถึงมือพวกเขาสองคนก็ได้
เมื่อความโกรธปะทุออกมาแล้ว สีหน้าของเยี่ยนอ๋องจึงผ่อนคลายลง นั่งลงอีกครั้ง พิงตัวกับพนักเก้าอี้พลางครุ่นคิด เอ่ย “พวกเจ้าว่า…เรื่องในครั้งนี้จะเป็นฝีมือของฮ่องเต้ผู้นั้นของเราก่อขึ้นหรือไม่” เซวียเจินไม่เข้าใจนัก “ฮ่องเต้หรือพ่ะย่ะค่ะ พิธีแต่งงานเป็นฝ่าบาทที่พระราชทานด้วยตนเอง ไยต้องทำเรื่องเช่นนี้เล่า เกิดเจ้าสาวตายขึ้นมาจริงๆ สมราชพระราชทานครั้งนี้ไม่สูญเปล่าหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยนอ๋องหัวเราะหยัน ปรายตามองเซวียเจินอย่างไม่พอใจนัก เฉินอวี้ยิ้มตาหยี เอ่ย “นั่นก็ไม่แน่ จวนเยี่ยนอ๋องคุ้มกันแน่นหนา ความสำเร็จนั้นน้อยอยู่แล้ว นอกเสียจากพวกเรา…ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ หากโยนเรื่องนี้มาไว้ที่หัวของเราแล้ว อย่างไรก็เป็นการขัดต่อราชโองการ อย่างไรก็มีโทษต่อหน้าอีกอย่างลับหลังอีกอย่าง หากเป็นเรื่องเล็กคงไม่เป็นไร เกรงว่าเมื่อเป็นเรื่องใหญ่แล้วจะไม่ดีต่อชื่อเสียงของท่านอ๋อง” สิ่งที่เฉินอวี้ไม่ได้เอ่ยก็คือ ฮ่องเต้หาเหตุผลแต่งตั้งเซียวเชียนเหว่ยและเซียวเชียนจย่งขึ้นเป็นจวิ้นอ๋อง เป้าหมายเกรงว่าคงสำเร็จไปกว่าครึ่งแล้ว แม้ไม่พระราชทานสมรสก็สามารถแต่งตั้งขึ้นเป็นจวิ้นอ๋องได้ แต่คงไม่สมเหตุสมผล ทำให้ผู้คนคิดเชื่อมโยงไปได้หลายอย่าง ยามนี้ใช้โอกาสพระราชทานสมรสแก่คุณชายทั้งสองแต่งตั้งขึ้นเป็นจวิ้นอ๋อง ต่อให้ในอนาคตสามพี่น้องแตกกันเละเทะก็ไม่มีใครว่าเซียวเชียนเยี่ยได้ ความคิดนี้…แน่นอนว่าเซียวเชียนเยี่ยไม่ได้คิดเอง เพียงมองก็รู้ว่าเป็นความคิดของเหล่าปัญญาชนคร่ำครึพวกนั้น