เว่ยจวิยมั่วกำลังจะเอ่ยปาก ทว่าถูกหนานกงมั่วลอบดึงชายเสื้อเอาไว้ หนานกงมั่วเอ่ยด้วยท่าทีนอบน้อม “เพคะ เสด็จลุง”
“…พ่ะย่ะค่ะ เสด็จลุง”
สีหน้าของเยี่ยนอ๋องจึงคลายลง ถอนหายใจออกมา เอ่ย “ช่างเถิด ข้าเองก็มิได้อยากจะดุพวกเจ้า แต่ละคนต่าง…” มองเห็นคิ้วที่ขมวดมุ่นและสีหน้าอ่อนล้าของเยี่ยนอ๋อง หนานกงมั่วพลันเข้าใจ เพียงแต่เรื่องเหล่านี้พวกเขาเป็นผู้น้อยไม่อาจเอ่ยอันใดได้ ทำได้เพียงเปลี่ยนหัวข้อ “เสด็จลุงเรียกหม่อมฉันและจวินมั่วมา มีเรื่องสั่งการอันใดหรือไม่เพคะ”
เยี่ยนอ๋องพยักหน้า เอ่ย “การส่งเจ้าไปอยู่กับเซี่ยลี่ข้าเองก็มิได้ตัดสินใจเพียงชั่ววูบ เซี่ยลี่เกิดในตระกูลสูงศักดิ์ มีผลงานการรบมากมาย มีใจซื่อสัตย์ต่อราชสำนัก เดิมทีเขาอยู่ที่โยวโจวเสด็จพ่อไว้วางใจ ข้าเองก็วางใจ แต่ว่ายามนี้…ข้าจะไม่ป้องกันไม่ได้ ข้าต้องการคนที่สามารถช่วยข้าควบคุมกองทัพนี้ไว้ได้ พวกเฉินอวี้ไม่ว่าจะส่งใครไปเซี่ยลี่คงไม่ยอมรับ เชียนเหว่ยและเชียนจย่งเองก็อ่อนแอเกินไป มิใช่คู่ต่อสู้ของเซี่ยลี่อย่างแน่นอน ข้าคิดไปคิดมา คงมีเพียงเจ้าที่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้แล้ว”
เว่ยจวินมั่วพยักหน้า แม้ไม่ได้เอ่ยปากทว่าเยี่ยนอ๋องก็เข้าใจความหมายของเขาดี แม้เว่ยจวินมั่วจะอายุยังน้อยเช่นกัน แต่หลายๆ เรื่องเมื่อส่งถึงมือเขาแล้ว เขาไม่เคยทำให้ต้องผิดหวัง
เยี่ยนอ๋องเอ่ย “ในกองทัพไม่เหมือนกับอยู่ในยุทธภพ เซี่ยลี่ได้รับความไว้วางใจจากเสด็จพ่อให้มาประจำที่โยวโจวได้นับว่ามิใช่คนธรรมดา พวกเจ้าไปต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก จวินเอ๋อร์พูดน้อย นิสัยเย็นชาไม่ข้องแวะกับใคร เดิมทีข้าไม่วางใจ โชคดีที่มีอู๋สยาอยู่ อู๋สยา ลำบากเจ้าแล้ว” หนานกงมั่วยิ้มบาง “เสด็จลุงล้อเล่นแล้ว หม่อมฉันเองก็มิได้ช่วยอันใดได้”
เยี่ยนอ๋องเอ่ย “เจ้ากับจวินเอ๋อร์อยู่มาได้ถึงทุกวันนี้ ข้าเองก็เห็นอยู่ตลอด มิต้องเกรงอกเกรงใจ ข้าคาดการณ์ว่า ราชโองการจากจินหลิงคงต้องใช้เวลาสักหน่อยจึงจะมาถึง ช่วงนี้เจ้าก็ลองไปเลือกคนที่จะเอาติดตามไปด้วยเถิด ไปอยู่ที่โน่น…คงไม่เหมือนกับอยู่ที่นี่แล้ว ระวังตัวด้วย” ทั้งสองคนพยักหน้า แน่นอนว่าพวกเขาเข้าใจความหมายของเยี่ยนอ๋อง ยามนี้พวกเขาอยู่ในกองทัพ ต่อให้จูหงจะไม่ชอบเว่ยจวินมั่วเพียงใด อย่างไรเว่ยจวินมั่วก็เป็นหลายชายที่เจ้านายของตนรัก ไม่เห็นแก่หน้าพระสงฆ์ก็ต้องเห็นแก่หน้าพระพุทธเจ้า ดังนั้น ขอเพียงเว่ยจวินมั่วไม่ทำผิดพลาดเอง จูหงก็ไม่มีทางจะหยิบกระดูกออกมาจากเปลือกไข่ได้ แต่เมื่อไปอยู่ในกองทัพของเซี่ยลี่แล้วคงไม่เหมือนกัน เซี่ยลี่ขึ้นตรงต่อราชสำนัก หลายปีมานี้เกรงว่ามีปัญหากับเยี่ยนอ๋องที่เขตชายแดนอยู่ไม่น้อย เมื่อครั้งที่อดีตฮ่องเต้ยังอยู่นับว่ายังดี ขอเพียงอดีตฮ่องเต้เชื่อมั่นในพระโอรส เยี่ยนอ๋องอยู่ในกรอบอย่างเคร่งครัด ทั้งสองไม่เกี่ยวข้องกัน ยามนี้ความสัมพันธ์ของเยี่ยนอ๋องและเซียวเชียนเยี่ยเปราะบางไม่ว่า เว่ยจวินมั่วยังเป็นก้อนเนื้อในสายตาของเซียวเชียนเยี่ยอีก หากเซี่ยลี่ภักดีต่อประเทศจนไม่สนใจชีวิตแล้วละก็ ยอมตายเพื่อทำให้เว่ยจวินมั่วตายก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ต่อให้สุดท้ายเยี่ยนอ๋องสังหารเขาแล้วจะมีประโยชน์อันใด
ดังนั้น สุดท้ายจะส่งเว่ยจวินมั่วไปหรือไม่ เยี่ยนอ๋องเองก็ลังเลอยู่นาน แต่ว่า…หากไม่ส่งเว่ยจวินมั่วไป ภายในโยวโจวก็ไม่มีใครที่จะจัดการกับเรื่องนี้ได้แล้ว แน่นอนว่าหากไม่รู้ถึงฝีมือของเว่ยจวินมั่วและหนานกงมั่วรวมไปถึงวิชาการแพทย์ของหนานกงมั่ว เกรงว่าต่อให้ลำบากเพียงใดเยี่ยนอ๋องก็ไม่มีทางตัดสินใจเช่นนี้
ณ ห้องลับในสถานที่แห่งหนึ่ง กงอวี้เฉินนั่งอยู่หลังโต๊ะหนังสือมองลูกน้องที่มีท่าทางอกสั่นขวัญแขวนตรงหน้า แม้ว่าจะสวนหน้ากากทำให้คนไม่เห็นถึงสีหน้าของเขาในตอนนี้ แต่เพียงมองดวงตาเย็นยะเยือกคู่นั้นก็พอรู้แล้วว่ายามนี้เจ้านายของตนนั้นอารมณ์ไม่ดีเป็นอย่างยิ่ง
“เจ้ากำลังบอกข้าว่า…เว่ยจวินมั่วและหนานกงมั่วตระเวนไปทั่วเขตนอกด่านกำแพง ยังไปสังหารคนไม่น้อยที่ค่ายของฮูตุน และพวกเจ้า…ไม่อาจทำร้ายพวกเขาได้แม้เพียงปลายเส้นขนอย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงเย็นของกงอวี้เฉินถูกเอ่ยขึ้น
ชายชุดดำตรงหน้าสันหลังเย็นวูบ เอ่ยเสียงเบา “เว่ยจวินมั่วและหนานกงมั่วกลับไปยังในด่านแล้วขอรับ…เจ้าสำนักโปรดอภัยด้วย”
“ไร้ประโยชน์สิ้นดี” กงอวี้เฉินยิ้มเย็น “ให้อภัยตอนนี้แล้วจะมีประโยชน์อันใด พวกเจ้ามีหูตาอยู่ทั่วนอกด่าน เว่ยจวินมั่วปลอมตัวเป็นคนของตนเองแฝงตัวเข้าไปอยู่ในกองทัพก็ยังไม่รู้”
ชายชุดดำก้มหน้า รู้สึกละอายอยู่ในใจ
เนิ่นนาน กงอวี้เฉินนับว่าสะกดข่มอารมณ์โกรธของตนเองได้แล้ว น้ำเสียงสงบนิ่งขึ้นมาก เอ่ยเสียงเรียบ “ช่างเถิด ในเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว มาเอ่ยตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์”
ชายชุดดำดีใจ รีบยกมือขึ้นประสาน เอ่ย “ขอบคุณเจ้าสำนักที่เมตตา”
กงอวี้เฉินส่งเสียงหยัน เล่นที่ทับกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะ เอ่ย “สองพ่อลูกตระกูลหลูนั่นว่าอย่างไร” ชายชุดดำเอ่ยตอบ “หลูฉี่หลินบอกว่าพวกเขาเจอคุณชายเว่ยและซิงเฉิงจวิ้นจู่ระหว่างทาง พวกเขาบอกว่าเป็นพี่น้องแซ่กง ดังนั้นจึงไม่ได้ใส่ใจมากนัก หลังจากนั้นเจอกับกองโจรจึงได้แยกกัน ต่อมา…”
“โจร…ดูเหมือนว่าคนในเขาต้าชิงของเราคงไม่อยู่แล้ว” กงอวี้เฉินเอ่ยเสียงเข้ม
“เขาต้าชิงหรือขอรับ”
กงอวี้เฉินเอ่ยเสียงเย็น “จนตอนนี้พวกเจ้าคงไม่ใช่ยังไม่รู้ว่าที่นั่นเกิดเรื่องอันใดใช่หรือไม่”
ชายชุดดำก้มหน้าไม่เอ่ยวาจา พวกเขาส่งคนของตนไปแฝงตัวอยู่หลายแห่งทั่วเขตนอกด่าน แต่ไม่ได้เปิดเผยตัวตนนอกจากยามที่มีเรื่องจึงเปิดเผย หลายวันไม่ได้รับข่าวคราวถือว่าเป็นเรื่องปกติ ก่อนจะมารายงานข่าวแก่เจ้าสำนักพวกเขายังไม่ทันได้สืบให้ชัดถึงที่มาของกองโจรที่จับตัวคุณชายเว่ยและซิงเฉิงจวิ้นจู่ไปจริงๆ
“ช่างเถิด ครั้งนี้สูญเสียไปมากเพียงใด” กงอวี้เฉินนั่งเอนหลังพิงเก้าอี้ เอ่ยถามอย่างเหนื่อยอ่อน ช่วงเวลาเพียงสั้นๆ วรยุทธ์ของเขาไม่อาจฟื้นคืนมาได้ ไม่มีวรยุทธ์แน่นอนว่ากำลังก็ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว
ชายชุดดำเอ่ย “ตัวแทนของจอมทัพฮูตุนตายแล้ว นอกจากนั้น ยังมีแม่ทัพอีกสามคน รองแม่ทัพสองคนต่างก็ตายเพราะฝีมือของคุณชายเว่ยและซิงเฉิงจวิ้นจู่ขอรับ ราชสำนักเป่ยหยวนกำลังโกรธแค้น ฮ่องเต้เป่ยหยวนเชิญเจ้าสำนักกลับไปทันที”
“ไม่กลับ” กงอวี้เฉินยิ้มเย็น “ในเมื่อพวกเขาไม่เชื่อข้า ก็ปล่อยให้พวกเขารับมือกับเว่ยจวินมั่วและหนานกงมั่วเอาเองเถิด”
“เกิดเรื่องครั้งนี้แล้ว พวกเขาคงไม่กล้าที่จะประมาทเลินเล่ออีก”
กงอวี้เฉินโบกมือ เอ่ย “ไม่ต้องพูดแล้ว ราชสำนักมีฮูตุนอยู่ ไม่พังง่ายๆ หรอก เรื่องที่นี่ของข้านั้นค่อนข้างสำคัญ”
ชายชุดดำเองก็รู้ เพียงเจ้านายตัดสินใจแล้วใครก็ไม่อาจเกลี้ยกล่อมได้ เพียงเอ่ย “ในด่านมีอันตรายมากมาย เจ้าสำนักต้องระวังตัวด้วยนะขอรับ”
กงอวี้เฉินโบกมือไม่เอ่ยสิ่งใดอีก ชายชุดดำทำความเคารพ จากนั้นเดินออกไปจากห้องหนังสือ
“เจ้าเตรียมตัวสักหน่อย พรุ่งนี้ก็ออกเดินทาง” ห้องหนังสือเงียบลง เสียงเรียบนิ่งของกงอวี้เฉินเอ่ยขึ้น
“พี่…” ในมุมมืด ร่างผอมเพรียวเดินเข้ามา ใบหน้างดงามซีดเซียวและหวาดกลัว กงอวี้เฉินลืมตา กวาดตามองนาง เอ่ย “มีอันใด”
“ข้า…ข้าไม่ไปได้หรือไม่” หญิงสาวเอ่ยถามเสียงสั่น
กงอวี้เฉินยิ้มหยัน “ไม่ไปหรือ เช่นนั้นเจ้าอยากทำอันใด”
“ข้า…ข้าไม่อยากทำอันใด” หญิงสาวกัดริมฝีปาก เอ่ยเสียงเบา “มิได้หรือ ให้ข้าอยู่ด้วยตัวเอง…”
“สำนักหอธาราไม่เลี้ยงคนไร้ประโยชน์” กงอวี้เฉินราวกับมองไม่เห็นใบหน้างดงามน่าสงสารของหญิงสาว เพียงจ้องนางนิ่ง “ข้าเลี้ยงเจ้ามานานเพียงนี้ เจ้าบอกว่าเจ้าไม่อยากทำอันใด เช่นนั้นไยเจ้าจึงไม่รีบบอกตั้งแต่แรกเล่า”