กู้หนานวางจานข้าวลงบนโต๊ะ แล้วนั่งลงข้างๆ หนุ่มอ้วน
“พี่สาวนายโอเคขึ้นหรือยัง?”
“ดีขึ้นมากเลย” กู้หนานตอบ
“ถ้างั้นก็ดีแล้ว” เด็กหนุ่มร่างอ้วนยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “เธอจะกลับเมืองจีนเมื่อไหร่ เดี๋ยวฉันเลี้ยงข้าวเอง”
“ไม่ต้องหรอก กินของนายไปเถอะ” กู้หนานทำหน้ารำคาญ
ความเคลื่อนไหวของพวกเขาดึงดูดสายตาตู้หยู่ จนต้องรีบสะกิดเสี่ยวหมิ่น
“ดูคนโต๊ะข้างๆ สิ หน้าเหมือนเซียงเซียงเลย”
เสี่ยวหมิ่นมองตาม “จะบ้าเหรอ ไม่เห็นเหมือนตรงไหนเลย!”
“เหมือนจริงๆ นะ!” ตู้หยู่พูดด้วยความตื่นเต้น “ไม่ไหวแล้ว หน้าเหมือนกันเป๊ะเลย”
“คิดจะทำอะไรอีก?” เสี่ยวหมิ่นถาม
“ฉันคิดว่าเขาน่าจะเป็นรักแท้” ตู้หยู่หรี่ตามองกู้หนาน “พรหมลิขิตรักไง ไม่เคยได้ยินเหรอ?”
หลังจากค่ำคืนของเทศกาลชีซี มลทินต่างๆ ของกู้เซียงก็ถูกล้างจนสิ้น
เธอได้ให้สัมภาษณ์ไว้ครั้งหนึ่ง บอกว่าไม่มีใครบนโลกนี้สมบูรณ์แบบ ตัวเธอเองก็มีส่วนไม่ดีและบกพร่องเหมือนกัน แต่กับเรื่องการแสดงซึ่งเป็นเสมือนชีวิต จะไม่มีวันใช้วิธีสกปรกเด็ดขาด
คำตอบนี้สร้างความประทับใจให้กับผู้ฟังอย่างมาก ไม่นานหลังจากนั้น เฝิงเหวินก็ออกมาแถลงข่าวอีกคน
เธอพูดถึงกู้เซียงไว้อย่างชัดเจนว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ศัตรูหัวใจ กับจ่านหยางก็ไม่เคยมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาว เป็นเพียงเพื่อนที่โตมาด้วยกันเท่านั้น
หลังจากที่ต้นเรื่องออกมาพูด ต่อให้มีช่องโหว่อยู่หลายจุด คนฟังก็ถือว่าได้รับคำตอบที่พึงพอใจแล้ว
เจี่ยงลี่ลี่ที่ยังตะขิดตะขวงใจอยู่ รีบส่งข้อความหากู้เซียง
“ทำเป็นมาพูดหลังเรื่องจบ ก่อนหน้าไม่เห็นจะพูด พอสถานการณ์คลี่คลายถึงได้ออกมาเคลียร์ เลือกเวลาได้เหมาะเจาะจริงๆ”
กู้เซียงไม่ติดใจอะไรอีก แค่เฝิงเหวินออกมาอธิบาย เธอก็พอใจมากแล้ว
ดูเหมือนเฝิงเหวินจะเติบโตจากเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ความงี่เง่าของเธอลดดีกรีลงมาก เพราะกู้เซียงไม่อยากทำงานกับคนที่อคติด้วยตลอดเวลา
เฝิงเหวินพูดกับแอนนา ผู้จัดการส่วนตัวอย่างปลงตก
“ฉันเหนื่อยมากแล้ว ไม่อยากวิ่งตามใครอีก อยากโฟกัสแค่เรื่องตรงหน้า ตั้งใจทำงานให้ดีที่สุด เพราะมีแค่เรื่องนี้ที่พอจะสู้กู้เซียงได้”
วินาทีที่เฝิงเหวินเห็นจ่านหยางลุกขึ้นปกป้องอีกฝ่าย เธอก็เข้าใจทุกอย่าง
ดวงตาของจ่านหยางไม่มองใครอีกนอกจากกู้เซียง กังวลและร้อนใจอย่างไม่เสแสร้ง พร้อมที่จะเป็นเดือดเป็นแค้นแทน แม้วันข้างหน้าเขาจะกลายเป็นของเธอจริงๆ แต่ลึกๆ ก็คงมีบางอย่างกั้นอยู่
โลกนี้มีคนที่ไม่สมหวังมากมาย เฝิงเหวินเริ่มเหนื่อยล้ากับชีวิตที่ต้องวิ่งตามคนอื่น หากรู้ผลลัพธ์อยู่แล้ว ก็ควรปล่อยวางและพาตัวเองออกจากความทุกข์ให้เร็วที่สุด
แอนนามองเฝิงเหวิน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงตำหนิ
“เธอไม่ควรออกหน้าไปอธิบายเลยจริงๆ”
“มาเริ่มต้นใหม่กันเถอะ” เฝิงเหวินยิ้มอย่างขมขื่น “ฉันจะไม่ใช้การแสดงเพื่อหาประโยชน์เข้าตัวอีกแล้ว แต่จะเป็นสิ่งที่อยู่เคียงข้างฉันตลอดไป” เฝิงเหวินพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
หลังจากที่ภาพตอนคัดตัวนักแสดงของกู้เซียงถูกเผยแพร่ออกไป เธอก็ได้รับการยอมรับจากวงการฮอลลีวูด
ทุกคนมีวิสัยทัศน์และมีความคิด ย่อมวิเคราะห์และแยกแยะเรื่องจริงกับข่าวลือได้อยู่แล้ว
หากเทียบกับเฝิงเหวิน กู้เซียงมีเอกลักษณ์แบบสาวตะวันออกอย่างชัดเจน คือสิ่งที่เพิ่มความโดดเด่นให้เธอหลายเท่าตัว
เมื่อสเก็ตเชอร์สแนะนำเธอให้สังคมรู้จักอีกครั้ง บรรยากาศตึงเครียดก่อนหน้านี้ก็เริ่มผ่อนคลายลง
ต้นเหตุของความวุ่นวายทั้งหมดอย่างซ่งจูเสียน ไม่ปรากฏตัวออกสื่ออีกเลยหลังใช้วิธีสกปรกกับกู้เซียง
ฝีมือการแสดงของเธอไม่ได้โดดเด่นอะไร แถมนิสัยยังก้าวร้าวอีก ในที่ที่คนแข็งแกร่งกลืนกินคนอ่อนแอ โอกาสที่ซ่งจูเสียนจะเติบโตก็น้อยลงเรื่อยๆ
หลังตกลงเรื่องสัญญากับสเก็ตเชอร์สเรียบร้อย กู้เซียงก็ได้รู้เกี่ยวกับกระบวนการถ่ายทำทั้งหมด
ในตอนนั้นเอง กู้หนานโทรหาเธอด้วยน้ำเสียงระแวดระวัง
“พี่กับพี่เขยสบายดีไหม?” เขาถาม
“ก็ดีนี่ มีอะไรก็รีบว่ามา”
จ่านหยางบินมาอยู่เป็นเพื่อนเธอ เพราะกว่าจะเริ่มงานใหม่ก็อีกสองเดือน
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ซูเปอร์สตาร์จ่านถึงกระตือรือร้นในการทำงาน บทภาพยนตร์ที่รับเล่น ก็ยังท้าทายกว่าที่ผ่านมาอีกด้วย
จากที่รู้อนาคต เธอมั่นใจว่าภาพยนตร์เหล่านี้จะกลายเป็นหนังคลาสสิกในตำนาน ต้องยอมรับว่าวิสัยทัศน์ของจ่านหยางเยี่ยมยอดมาก
“ไม่รู้จริงๆ เหรอ?” กู้หนานถามด้วยความลังเล “บ้านแฟนจะมาหา ก็คือมา… สู่ขอ… นั่นแหละ”
เขาพูดคำว่า ‘สู่ขอ’ แบบตะกุกตะกัก
“พี่ไปตกลงปลงใจตั้งแต่เมื่อไหร่? ไหนครั้งที่แล้วบอกว่านักข่าวเขียนมั่วไง”
เรื่องการขอแต่งงาน กู้เซียงอุตส่าห์พูดจนน้องชายเชื่อว่าเป็นการเข้าใจผิด แต่ก็ต้องขอบคุณนักข่าวที่เขียนมั่วจนกลายเป็นเรื่องจริงในวันนี้
แต่กู้หนานกลับบอกว่าพ่อแม่ของจ่านหยางจะกลับประเทศ เพื่อขอพบกู้ฉางชุน
“ล้อฉันเล่นหรือเปล่า?” กู้เซียงถาม
“ใครจะกล้าล้อเล่น!” กู้หนานทำเสียงหงุดหงิด “พ่อกำลังกอดพ่อของพี่เขยร้องไห้อยู่เนี่ย!”
“หา?” กู้เซียงทำเสียงตกใจ
หลังวางสาย จ่านหยางเดินถือของกินเข้ามาในห้องพอดี
“เป็นอะไรหรือเปล่า?”
เขาถามเพราะกู้เซียงกำลังเหม่อลอยอยู่
“จ่านหยาง…” กู้เซียงมองอีกฝ่ายด้วยแววตาเลื่อนลอย “คุณรู้เรื่องพ่อกับแม่หรือเปล่า?”
จ่านหยางยื่นมือไปลูบศีรษะกู้เซียง “สงสัยจะอ่านบทจนมึน กินข้าวกันดีกว่า”
“ฉันอยากกลับจีน” เธอพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “พ่อกับแม่ของพวกเราท่าจะไปกันใหญ่แล้ว”
จ่านหยางชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบตกลง
บ้านตระกูลกู้ในเมือง G ยังคงเปิดไฟสว่าง
ทั้งแขกและเจ้าบ้านต่างดื่มกินกันอย่างสนุกสนาน ใบหน้ายิ้มแย้มตลอดเวลา
กู้ฉางชุนและจ่านฉางเฟิงกอดคอกันร้องไห้ ทำจ้าวจวนและหลัวจิ้งงงไปตามๆ กัน
“ขอโทษนะคะ เหล่าจ่านชอบเป็นแบบนี้เรื่อยเลย คงดีใจมากไปหน่อย” จ้าวจวนเอ่ยด้วยความเกรงใจ
“ไม่เป็นไรค่ะ” หลัวจิ้งรีบโบกมือ “เหล่ากู้ต่างหาก ทำขายหน้าหมดแล้ว!” หลัวจิ้งถูมือไปมา
เธอวางตัวไม่ถูก เพราะจู่ๆ ครอบครัวของจ่านหยางก็มาเยี่ยม
ด้วยความที่บ้านนี้ไม่ถือตัวอยู่แล้ว แถมได้แอลกอฮอล์บนโต๊ะช่วยให้เกิดผลลัพธ์ที่เหนือความคาดหมายอีก
ไม่มีใครรู้ว่าชายสูงวัยสองคนกอดคอกันร้องไห้ทำไม อายุสองคนรวมกันน่าจะร้อยกว่าปีแล้ว
“พี่กู้ ผมอยากดื่มขอโทษ ตอนเห็นข่าวยังนึกสงสัยอยู่ว่าทำไมผู้หญิงที่หยางหยางชอบถึงนิสัยแย่ แต่เมื่อไตร่ตรองนิสัยของลูกชาย ก็รู้ว่าต้องมีการเข้าใจผิด พอรู้ข่าวว่าเซียงเซียงถูกใส่ร้าย ผมก็รู้สึกละอายมาก”
จ่านฉางเฟิงทอดถอนใจด้วยความละอาย
“เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของนาย” กู้ฉางชุนพูดปลอบ “ลูกสาวของฉันจิตใจเข้มแข็ง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเธอไม่เคยบ่นให้ฟังสักครั้ง แถมยังไม่เอาข่าวปลอมพวกนั้นมาใส่หัวเพื่อให้สุขภาพจิตเสียอีก ฉันยังแอบกลัวว่าจะเป็นโรคซึมเศร้าหรือเปล่า โชคดีที่ได้หยางหยางคอยดูแล ไม่ใช่แค่สุขภาพจิตดี เธอยังนิสัยดีขึ้นด้วย ต้องขอบคุณที่นายเลี้ยงลูกชายมาดี ลูกสาวของฉันจึงรู้ประสาและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น”
ถ้ากู้เซียงได้ยินคงกระอักเลือดแน่ การกลับชาติมาเกิดพร้อมด้วยประสบการณ์ชีวิตที่ติดตัวมา ทำให้เธอกลายเป็นคนใหม่ที่ดีกว่าเดิม แต่ในสายตาของผู้เป็นพ่อ มันคือความดีความชอบของจ่านหยาง
เขาช่วยดูแลและเป็นที่ปรึกษาจนเธอดีขึ้น แต่ไม่ใช่ตัวนำโชคขนาดนั้น!
ได้ยินที่กู้ฉางชุนพูด จ่านฉางเฟิงก็ปล่อยโฮออกมา
“พี่กู้ไม่รู้อะไร หยางหยางไม่พูดและไม่เข้าใกล้ผมด้วยซ้ำ ตั้งแต่ที่แม่ของเขาตาย ก็เอาแต่โทษผมตลอด ที่บ้านไม่มีใครเอาอยู่ วันดีคืนดีก็กลับมาเป็นดาราที่นี่โดยไม่บอกให้ใครรู้ ผมมืดแปดด้านมานาน มีแฟนก็ไม่เคยพาไปแนะนำ เลยต้องบุกมาดูด้วยตัวเอง ฮือๆๆ”
เห็นจ่านฉางเฟิงร้องไห้ กู้ฉางชุนก็ร้องตาม
“ไม่ใช่นายคนเดียวหรอก ฉันกับลูกสาวก็ไม่สนิทกัน หลังหย่ากับแม่ของเซียงเซียง เธอก็โกรธที่ฉันเอาแต่ลูกชายไม่เอาเธอไปด้วย พอได้เจอกันที่เมือง G แทนที่ความสัมพันธ์จะดีขึ้น กลับมีเส้นบางๆ กั้นอยู่ การจะฟื้นฟูความสัมพันธ์ของพ่อกับลูกสาวไม่ใช่เรื่องง่าย ถึงฉันจะพยายามแค่ไหนก็เหมือนจะไม่มีประโยชน์”
จ่านฉางเฟิงยังคงร้องไห้ต่อ “ผมผิดเอง ผมผิดเองทั้งหมด ขอแค่ได้ลูกกลับมาก็พอ”
กู้ฉางชุนรีบพูดเสริม “ฉันผิด ฉันไม่ดีเอง ฉันมันเลว ฉันยอมชดใช้ทุกอย่าง ขอเพียงลูกสาวกลับมาก็พอ ฮือๆๆ”
ชายสูงวัยสองคนนี้มีหน้ามีตาในสังคม แต่กลับนั่งร้องไห้ราวกับเด็กน้อย เหมือนกำลังแข่งว่าใครจะอาภัพกว่ากัน พูดไปร้องไห้ไป ผลัดกันเล่าถึงปมในใจ แล้วยังโทษตัวเองซ้ำๆ อีก
นั่งฟังไปได้สักพัก กู้หนานก็เก็บโทรศัพท์ที่ใช้ถ่ายวิดีโอ แล้วส่ายหน้าด้วยความระอา
เขาแอบคิดไปว่าที่กู้เซียงกับจ่านหยางลงเอยกันได้ เพราะความเหมือนของผู้เป็นพ่อหรือเปล่า?
“หนานหนาน ช่วยมายกจานผลไม้หน่อย” หลัวจิ้งเรียกลูกชาย
จ่านลู่กับจ้าวจวนต้องคอยดูแลชายขี้เมาสองคน ไม่สามารถปลีกตัวไปช่วยได้
กู้หนานเบ้ปาก แล้วถือจานผลไม้ไปที่ห้องรับแขกอย่างจำใจ
ภายในห้องรับแขก จ่านลู่กำลังดูโทรทัศน์ด้วยความเบื่อหน่าย แต่จู่ๆ ช่องข่าวก็มีฉายบทสัมภาษณ์ของเฝิงเหวิน