น้ำฝนในซีจิงมีไม่มากเท่าเมืองอู๋
หลังจากที่ดวงอาทิตย์อันเร่าร้อนตกลงไป ไอร้อนที่หลงเหลืออยู่บนพื้นทำให้เมืองที่อยู่ห่างไกลดุจดั่งภาพลวงตา
องครักษ์ด้านหน้าหันหัวม้ากลับมายังด้านข้างรถม้าคันหนึ่ง ข้างรถมีคนขับและสาวรับใช้คนหนึ่งนั่งอยู่
องครักษ์ถามภายในรถ “คุณหนูสี่จะเข้าเมืองหรือกลับจวนก่อนขอรับ”
“ย่อมต้องเข้าเมือง” เสียงหญิงสาวดังขึ้นด้วยความหงุดหงิด อาจเป็นเพราะออกจากเมืองอู๋ที่อบอุ่น หรืออาจเป็นเพราะอากาศร้อนเดินทางลำบาก “จวนข้าอยู่ในเมือง เจ้าจะให้กลับจวนใด”
องครักษ์ตอบรับอย่างไม่กล้าพูดมาก รถม้าเร่งความเร็วมากขึ้น หลุมบ่อบนทางทำให้รถม้าสั่นไหว ภายในรถมีเสียงเด็กร้องไห้ดังขึ้น…
“ดูทาง!” เสียงหญิงสาวภายในรถหงุดหงิดมากขึ้น
คนขับรถม้าหวาดกลัวจนใบหน้าซีดเผือด เขาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ก่อนจะชะลอความเร็วลง…แต่เสียงหญิงสาวในรถดังขึ้นอีกครั้ง “ทางแค่นี้ คิดจะเดินทางถึงเวลากลางคืนหรือ ประตูเมืองจะปิดอยู่แล้ว เจ้าคิดว่าที่นี่คือเมืองอู๋? ผู้ใดก็เข้าได้”
คนขับรถม้าคุกเข่าลงพลางยอมรับผิด
“รีบเดินทาง” เสียงของหญิงสาวดังขึ้น
สาวรับใช้ที่นั่งอยู่บนรถพูดขึ้น “ลุกขึ้นเถิด คุณหนูรีบกลับจวน”
องครักษ์ด้านข้างส่งสายตาให้คนขับรถม้า คนขับรถม้ารีบลุกขึ้น ไม่กล้าที่จะนั่งอยู่บนรถอีก เขาจูงม้าวิ่งไปด้านหน้า
เด็กเล็กภายในรถกำลังร้องไห้ เสียงอ่อนโยนของหญิงสาวปลอบ “เด็กดีไม่ร้อง ท่านแม่ร้องเพลงให้เจ้าฟัง” ก่อนจะมีเสียงเพลงดังขึ้นมาเบาๆ ไพเราะเสนาะหู…
เด็กเล็กค่อยๆ หลับลงไปภายใต้การปลอบ คนขับรถม้าที่อกสั่นขวัญแขวนก็ราวกับถูกปลอบประโลม
รถม้าเดินทางมาถึงหน้าประตูเมืองอย่างรวดเร็ว ทหารยามเดินขึ้นหน้าตรวจดูอย่างเคร่งครัด องครักษ์ยื่นทะเบียนสีเหลืองไปให้ แต่ทหารยามก็ยังคงสั่งให้เปิดประตูรถเพื่อตรวจ
องครักษ์ทำได้เพียงเปิดประตูรถออก ท่ามกลางแสงอาทิตย์ในเวลาเย็น เห็นเพียงแต่ภายในมีหญิงสาวอายุราวยี่สิบนั่งอยู่ภายใน ก้มหน้าเล็กน้อยอุ้มเด็กเล็กคนหนึ่งส่ายไปมาเบาๆ ประตูรถเปิดออก นางเหลือบหางตากวาดผ่านทหารยาม…
ในเวลานี้ ภายในเมืองที่คนเดินทางมา ถามเสียงดัง “คุณหนูสี่มาถึงแล้ว?”
หญิงสาวนั่งตัวตรง มองไปด้านนอก “ข้าเอง…ฝูชิงเจ้ามาแล้ว”
คนที่เดินทางมาเป็นชายชราที่มีอายุ สวมชุดที่ทำจากผ้า ไม่โดดเด่นหากเดินอยู่ในฝูงชน แต่ทหารยามที่ไม่ยอมปล่อยผู้ที่ถือทะเบียนสีเหลืองแห่งชนชั้นสูงผ่านไปอย่างง่ายดายต่างหลีกทางให้เขา
ฝูชิงมองเข้าไปในรถ หญิงสาวเผยใบหน้าต่อหน้าเขา หน้าตางดงาม มีเสน่ห์ เป็นหญิงงามอย่างแท้จริง
ฝูชิงยกยิ้มให้นาง “ไม่เจอคุณหนูสี่มาเป็นเวลานานมากเสียจริง” สายตาของเขาตกอยู่ในอ้อมกอดของหญิงสาว สายตาเมตตารักใคร “นี่คือคุณชายน้อยหรือ โตเพียงนี้แล้ว”
ไม่รอหญิงสาวพูดอะไร เขาปิดประตูรถลง
“อย่าได้รบกวนคุณชายน้อย พวกเรารีบกลับจวน”
…
ทหารยามบริเวณประตูเมืองมองดูคนเหล่านี้จากไป ภายในมีคนที่ถูกย้ายมาใหม่ ถามขึ้นด้วยความฉงนใจในเวลานี้ “เหตุใดจึงไม่ตรวจพวกเขา ถึงแม้หญิงสาวคนนี้จะมีทะเบียนสีเหลือง แต่องค์รัชทายาทมีคำสั่ง เชื้อสายราชวงศ์ก็ต้องตรวจ…”
เพราะว่าเหล่าท่านอ๋องทำให้อวี้สื่อต้าฟูโจวชิงตาย ฝ่าบาทโกรธเคืองอย่างมากจึงเดินทางออกรบด้วยตนเอง ราชสำนักให้องค์รัชทายาทบัญชาการ องค์รัชทายาทเคร่งครัดต่อกฎระเบียบอย่างมาก
ทหารยามด้านข้างมองเขา “เพราะฝูชิงกงกงท่านนี้เป็นคนของจวนรัชทายาท”
ทหารยามคนก่อนเงียบลงทันที เขาเป็นคนของจวนรัชทายาท?
เขามองรถม้าที่จากไปไกลด้วยความสงสัย รัชทายาทแต่งงานแล้ว มีโอรสมีองค์หญิง พระชายาอ่อนโยน หญิงสาวที่อุ้มเด็กคนนี้เป็นอะไรกับจวนรัชทายาท
แต่ความสงสัยนี้ไม่อาจถามออกมาได้
หากทหารยามนี้ติดตามไป ก็จะพบว่ารถม้าคันนี้ที่มีขันทีของจวนรัชทายาทอย่างฝูชิงติดตาม ไม่ได้เคลื่อนเข้าไปในจวนรัชทายาท หากแต่เคลื่อนที่ไปยังจวนใหญ่แห่งหนึ่งทางตะวันตกของเมือง
จวนแห่งนี้มีพื้นที่ไม่เล็ก ผู้ที่มีจวนขนาดใหญ่เพียงนี้ในเมืองหลวงได้ หากมิได้เป็นเศรษฐีย่อมต้องเป็นชนชั้นสูง
จวนแห่งนี้คือจวนของหงหลูซื่อชิง[1]เหยาซู ส่วนบุตรสาวคนโตของเหยาซื่อชิงคือพระชายาขององค์รัชทายาท
เวลานี้ประตูใหญ่ของจวนตระกูลเหยาเปิดออก บ่าวรับใช้จำนวนหนึ่งกำลังมองออกไปด้านนอก เมื่อเห็นรถม้า…สิ่งสำคัญคือเห็นฝูชิงกงกง พวกเขาต่างรีบวิ่งเข้ามาต้อนรับ
“ฝูชิงกงกง ใต้เท้ารอท่านอยู่”
“ฝูชิงกงกง ท่านล้างมือดื่มชาก่อนหรือไม่”
พวกเขาถามด้วยความเคารพ ปฏิบัติต่อขันทีท่านนี้ราวกับปฏิบัติต่อนายท่านของตนเอง
ฝูชิงกล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้ม ชี้ไปที่รถด้านหลัง “คุณหนูสี่มาถึงแล้ว ไปพบใต้เท้าก่อนเถิด”
เหล่าบ่าวรับใช้ราวกับเพิ่งเห็นรถด้านหลังของฝูชิง รีบตอบรับ รถเคลื่อนที่เข้าจวนของตระกูลอย่างเชื่องช้า ประตูจวนปิดลง แสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์สลายหายไปในยามค่ำคืน
สาวรับใช้หลายคนรอคอยอยู่ภายในจวน มองดูหญิงสาวอุ้มเด็กลงมาจากรถ
“คุณหนูสี่” พวกนางเดินขึ้นหน้าคารวะ “ห้องจัดเตรียมไว้แล้ว ท่านจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนหรือไม่เจ้าคะ”
คุณหนูสี่ส่ายหัว “ไม่ต้อง ข้าไปพบท่านลุงก่อน” …นางรู้ดีแก่ใจ สาวรับใช้เหล่านี้ปฏิบัติต่อนางเหมือนคุณหนู แต่นางไม่อาจทำตัวเป็นคุณหนูได้จริงๆ
นางเรียกขานอาชิ่น สาวรับใช้เดินขึ้นหน้ารับเด็กที่หลับสนิทไปจากอ้อมกอดของนาง
“เจ้าพาเล่อเอ๋อร์ไปพักผ่อนเถิด”
อาชิ่นตอบรับ ก่อนจะเดินตามเหล่าสาวรับใช้เข้าไปด้านใน ส่วนคุณหนูสี่เดินทางไปโถงหลักอย่างรีบร้อน
ภายในโถงหลัก เหยาซื่อชิงกำลังสนทนากับฝูชิง “ท่านมาด้วยตนเอง ถึงเวลาข้าพานางไปก็พอแล้ว”
“พระชายาเป็นกังวลอย่างยิ่ง” ฝูชิงพูด “ให้ข้ามาดู ใต้เท้าท่านก็รู้ องค์รัชทายาทเวลานี้มีงานมาก ไม่ว่าที่ใดล้วนมีเรื่องที่ต้องจัดการ ไม่ว่าส่วนใดก็ผิดพลาดไม่ได้”
เมื่อนึกถึงความสำคัญที่ฮ่องเต้มีต่อองค์รัชทายาท เหยาซื่อชิงปิดบังความดีใจได้ยาก “ฝ่าบาทอย่าได้เป็นกังวลมาก แต่ละเรื่องล้วนจัดการได้ดี ต้องระวังร่างกายให้มาก อย่าเหน็ดเหนื่อยเกินไป”
“ฝ่าบาทออกรบด้วยตนเองยังไม่เหน็ดเหนื่อย คนอื่นจะกล้าพูดได้อย่างไร” ฝูชิงพูด
เหยาซื่อชิงกระแอมไอเสียงเบา ก่อนจะพูดอย่างดีใจ “ฝ่าบาทออกรบเองมีข่าวดีอย่างต่อเนื่อง ล้มท่านอ๋องโจวก่อน จากนั้นทำให้ท่านอ๋องอู๋มอบเมืองให้ เหล่าท่านอ๋องก็เหลือเพียงเมืองฉี ท่านอ๋องฉีร่างกายอ่อนแอ…”
เมื่อเขาพูดถึงตรงนี้ ก็เห็นหญิงสาวอายุน้อยหลุบตาต่ำก้มหน้ายืนอยู่บริเวณประตู ทันใดนั้นหน้าดำลง
“อาฝู เกิดอันใดขึ้น เหตุใดหลี่เหลียงจึงถูกสังหาร เจ้ารู้หรือไม่ว่าเกือบทำลายเรื่องใหญ่ขององค์รัชทายาท!”
เหยาฝูมองท่านลุงตรงหน้า อันที่จริงอีกฝ่ายไม่ใช่ท่านลุงแท้ๆ ของตนเอง ภายในตระกูลเหยา นางเป็นเชื้อสายที่ห่างไกล ฮ่องเต้พระราชทานงานแต่งขององค์รัชทายาทกับตระกูลเหยาซื่อชิง เหยาซื่อชิงจึงคัดเลือกหญิงสาวที่อายุเหมาะสมมาเป็นเพื่อนบุตรสาว…คุณหนูใหญ่อ่อนโยนเมตตา หากแต่รูปลักษณ์ธรรมดา เหยาซื่อชิงเกรงว่าบุตรสาวจะไม่ได้รับความรักใคร่จากองค์รัชทายาท
เหยาฝูได้รับคัดเลือกเนื่องจากรูปลักษณ์ที่งดงาม แต่ก็เป็นเหตุผลที่ถูกองค์รัชทายาทส่งกลับมา
องค์รัชทายาทบอกว่า เขาเลือกคุณหนูเหยาเพราะนิสัยของนาง ดังนั้นมีคุณหนูใหญ่คนเดียวก็เพียงพอ
ในเวลาหนึ่งจึงกลายเป็นเรื่องเล่าอันงดงามภายในเมืองหลวง เหยาซื่อชิงทั้งดีใจทั้งได้ใจ ต่อมาองค์รัชทายาทรักใคร่กับคุณหนูเหยา แต่งงานห้าปีมีบุตรสามคน
เพียงแต่สงสารเหยาฝู
[1] หงหลูซื่อชิง หมายถึง ตำแหน่งขุนนางในสมัยโบราณ ทำหน้าที่ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง เทียบเท่ากับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ