อาอวิ้นนึกย้อนไปถึงเรื่องในวันนั้นที่เลือนรางไปบ้างแล้ว หญิงสาวคนนี้เหมือนปรากฏขึ้นมากลางอากาศ
“เนื่องจากเรื่องของคุณหนูจง เวยเวยหนีกลับบ้านไปด้วยความโศกเศร้า ข้าไปรับนางกลับมา” อาอวิ้นพูด นึกถึงหญิงสาวที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน “นางดูคุ้นเคยกับเวยเวย เมื่อเห็นเวยเวยโศกเศร้า นางก็แสดงความห่วงใยอย่างมาก อีกทั้งยังมอบข้าวเหนียวเคลือบงาให้นาง อืม นางยื่นให้ข้าด้วย แต่ข้าไม่ได้รับ”
นางยังแอบหัวเราะว่าหญิงสาวคนนี้ที่ทำตัวตีสนิท…นางคิดว่าหญิงสาวคนนี้แค่อยากคุยด้วย จึงไม่ได้สนใจ
ดังนั้นตอนที่หญิงสาวนั้นถามนางว่าสามารถมางานเลี้ยงได้หรือไม่ นางจึงปฏิเสธไป
“ข้าบอกว่าผู้ใหญ่ในตระกูลเป็นผู้แจกจดหมายเชิญ หากนางอยากมาให้นางกลับไปให้ผู้ใหญ่ในตระกูลมาถาม” อาอวิ้นยิ้มเจื่อน “นางเห็นว่าข้าปฏิเสธจึงซักถามข้า”
มีเพียงแค่การพบหน้าในครั้งนั้นที่หญิงสาวคนนี้ดูมีอารมณ์
เวลานั้นนางอารมณ์ไม่ดี คิดจะชี้นิ้วตำหนิ…
พี่น้องด้านข้างที่ได้ยินจึงอดกังวลไม่ได้ “จากนั้นเล่า”
อาอวิ้นมองนาง “จากนั้นนางจึงหลบออกไป บอกว่าจะกลับไปถามคนในตระกูล”
ดังนั้นตระกูลฉางจึงได้รับจดหมายจากเฉินตันจูอย่างกะทันหัน จากนั้นก่อเกิดความคึกคักไปทั่วทั้งเมืองหลวง
เหล่าคุณหนูตระกูลฉางได้ยินต่างรู้สึกเหลือเชื่อ “เหตุใดเวยเวยจึงไม่บอกพวกเรา”
เวลานี้อาอวิ้นมีสติอย่างมาก ดูจากปฏิกิริยาของหลิวเวยสามารถมั่นใจได้ “เวยเวยไม่รู้ว่านางคือ
เฉินตันจู คิดว่าเฉินตันจูปิดบังตัวตนตอนไปร้านยาของหลิว…ของท่านลุง ท่านลุงเป็นคนซื่อ ร้านยาก็ไม่ใหญ่ ผู้ใดจะคิดว่าเฉินตันจูจะไป”
เมืองหลวงมีร้านยาชื่อดังมากมาย คงจะเดินเข้าไปด้วยความบังเอิญ
“หมายความว่าเฉินตันจูไม่ได้สนิทกับท่านลุงและเวยเวยมาก” คุณหนูใหญ่ตระกูลฉางกระจ่างถึงความหมายที่แฝงอยู่ นางมองอาอวิ้น “นางมาครานี้บอกว่ามาหาเวยเวย อันที่จริงเพราะขุ่นเคืองที่เจ้าปฏิเสธนางกระมัง”
ดังนั้นนางกำลังขุ่นเคือง
อาอวิ้นก็คิดเช่นนี้ ภายในใจกังวล “การกระทำเช่นนี้ดีกว่าตีข้าเสียอีก”
คุณหนูคนอื่นของตระกูลฉางต่างกระจ่าง ทั้งโล่งใจทั้งกังวล “นางจะก่อเรื่องเพื่อระบายความโกรธหรือไม่”
เรื่องนี้ไม่แน่นอน คุณหนูใหญ่ตระกูลฉางมองออกไปด้านนอก เหล่าคุณหนูในห้องรับรองแขกไม่ได้สนทนากันอย่างเป็นธรรมชาติเหมือนก่อนหน้านี้ บ้างพูดคุยเสียงเบา บ้างนั่งเงียบ ภายในห้องรับรองแขกมีคนไม่น้อย แต่บริเวณตรงกลางมีคนนั่งเพียงสองคน รอบด้านราวกับมีฉากกั้นตั้งไว้ ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้…เอ๊ะ ไม่ใช่ มีคุณหนูคนหนึ่งเดินผ่าน หยุดลงพูดคุยกับเฉินตันจู
นางเป็นคุณหนูตระกูลใด คุณหนูใหญ่ตระกูลฉางไม่รู้จัก ถึงแม้จะเป็นบุตรสาวคนโตในตระกูล ติดตามมารดาเข้าร่วมงานเลี้ยงจำนวนมาก แต่งานเลี้ยงใหญ่เพียงนี้นางก็เข้าร่วมเป็นครั้งแรก เมืองอู๋ใหญ่ แต่เมืองอู๋ที่กลายเป็นเมืองหลวงยิ่งใหญ่มากขึ้น คนจำนวนมากเกินไป
“อาอวิ้น เจ้าไปบอกเรื่องนี้แก่เหล่าฮูหยิน” คุณหนูใหญ่ตระกูลฉางรับมืออย่างใจเย็น “พี่น้องคนอื่นรับรองแขกต่อกับข้า คุณหนูตันจู อย่าได้เข้าใกล้นาง นางอยากทำสิ่งใดก็ให้นางทำ”
เหล่าพี่น้องพยักหน้าอย่างกังวล
“เอาเถิด พวกเราออกไปกัน มิฉะนั้นทุกคนคงมีการคาดเดาไปมากกว่านี้”
คุณหนูใหญ่ตระกูลฉางนำเหล่าพี่น้องออกไป พร้อมทั้งหิ้วกระเช้าดอกไม้ที่ให้สาวรับใช้เตรียมเอาไว้เดินเข้าห้องรับรองแขกอีกครั้ง
“พี่น้องทุกท่าน” คุณหนูใหญ่ตระกูลฉางพูดด้วยรอยยิ้ม “ดอกไม้นี้มาจากแปลงดอกไม้ในตระกูลของพวกข้า ทุกท่านรับไปถือเล่นเถิด ตอนที่ล่องเรือสามารถถือเอาไว้ได้”
เหล่าหญิงสาวอายุน้อยไม่มีผู้ใดไม่ชอบดอกไม้ ทันใดนั้นรับไปด้วยความคึกคัก อาอวิ้นอาศัยจังหวะเดินเข้าไปหาเหล่าฮูหยินตระกูลฉางอย่างเงียบๆ
คุณหนูใหญ่ตระกูลฉางนำดอกไม้ตะกร้าหนึ่งมาให้เฉินตันจูด้วยตนเอง พร้อมทั้งมาดูคุณหนูเพียงหนึ่งเดียวที่กล้าเดินเข้ามาพูดคุย
คุณหนูท่านนี้สวมชุดสง่างาม ในมือถือพัดโบกไปมาเล็กน้อย ท่าทางเป็นกันเอง นางกำลังพูด “…ยานั้นข้าใช้แล้วรู้สึกดีมาก เจ้าดูว่าสะดวกเวลาใด ข้าจะไปซื้อเพิ่มที่อารามดอกท้อ?”
เฉินตันจูพูด “ระยะนี้ไม่มีแล้ว รออีกสามวันเถิด”
คุณหนูท่านนั้นตอบรับ ก่อนจะพูด “หากข้าไม่สะดวกออกจากจวน ข้าจะให้สาวรับใช้ไปรับ”
เฉินตันจูไม่สนใจ “เพียงแค่มีเงินก็พอ”
คุณหนูท่านนั้นใช้พัดปิดปากหัวเราะ “วางใจ สิ่งนั้นไม่มีทางลืม”
สนทนาอย่างเป็นกันเองเช่นนี้ หรือว่าคุณหนูนี้จะรู้จักเฉินตันจูเหมือนกัน ไม่ใช่ทุกคนที่จะเกรงกลัวเฉินตันจูหรือ นางกล้าหยอกล้อกับเฉินตันจูได้อย่างไร
“คุณหนูฉาง” คุณหนูคนนั้นมองไปยังนาง ก่อนจะคารวะด้วยรอยยิ้ม “ข้าคือหลี่เหลียน บิดาข้าคือจวิ้นโส่วเมืองอู๋เดิม”
คุณหนูใหญ่ตระกูลฉางรีบตอบรับพร้อมเรียกขานคุณหนูหลี่ ก่อนจะบอกชื่อของตนเอง พร้อมยื่นตะกร้าให้นาง “คุณหนูหลี่ถือไว้สักดอก”
คุณหนูหลี่ก็ไม่เกรงใจ นางเลือกขึ้นมาหนึ่งดอกก่อนจะติดไว้บนปกเสื้อ จากนั้นพูดกับพวกนาง “ข้าไปพบคนทางนั้นก่อน”
นางเดินจากไปอย่างสง่างาม
เวลานี้หลิวเวยเฉลียวฉลาดกว่าก่อนหน้านี้มาก ไม่รอคุณหนูใหญ่ตระกูลฉางบอก นางลุกขึ้นรับตะกร้าไปยื่นให้เฉินตันจู “เจ้าถือไว้เล่น”
เฉินตันจูตอบรับ ก่อนจะเลือกขึ้นมาหนึ่งดอก นางสูดดมลึกๆ ก่อนจะยิ้มตาหยี “หอมจริง”
หลิวเวยเพียงแค่ยิ้มไม่พูดอะไร เฉินตันจูก็ไม่พูด ดมดอกบัวมองหน้าคุณหนูใหญ่ตระกูลฉาง ดวงตาของนางดุจดั่งเมล็ดแปะก๊วย ด้านในประกายด้วยแสงระยิบระยับ ทำให้คนรู้สึกหวั่นใจ…คุณหนูใหญ่ตระกูลฉางรีบพูด “พวกเจ้าเล่นกันต่อเถิด” ก่อนจะหิ้วตะกร้าจากไป
หลิวเวยมองเฉินตันจู เฉินตันจูยิ้มให้นางแล้วเอ่ยถาม “ทะเลสาบในจวนท่านมีดอกบัวหรือ”
หลิวเวยพยักหน้า “มี ตอนเด็กข้ายังเคยขุดรากบัว”
เฉินตันจูตะลึงอย่างมาก “ท่าทางจะสนุกมาก?”
หลิวเวยพยักหน้า นางก้มหน้ามองผิวโต๊ะ ก่อนหน้านี้พวกนางพูดคุยเรื่องการกินการเล่น ไม่ได้พูดถึงเรื่องของอีกฝ่าย หลังจากสนทนากัน จิตใจของนางก็กลับมาสงบลง ก่อนจะนึกถึงเรื่องมากมาย นางไม่ใช่คุณหนูที่ถูกเลี้ยงอยู่แต่ในจวนไม่รู้เรื่องภายนอก หากแต่เป็นคุณหนูที่มาอาศัยจวนของญาติเป็นประจำ เรื่องความสัมพันธ์นางต่างรู้ดี
“คุณหนูตันจู” นางพูด “เรื่องในวันนั้น ข้าและอาอวิ้นเสียกิริยา ขอให้เจ้าให้อภัยพวกข้าด้วย”
เวลานี้นางก็คิดได้แล้ว คุณหนูตันจูไม่ได้ต้องการมาหานางจริง หากแต่มาเพื่อเรื่องในวันนั้น
เฉินตันจูยิ้ม “หากข้าบอกว่าไม่ใช่เหมือนที่ท่านคิด ไม่รู้ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่ เพราะอย่างไรชื่อเสียงของข้าก็ไม่ดีนัก”
หลิวเวยเห็นนางหยอกล้อตนเอง ไม่รู้จะพูดสิ่งใดในเวลาหนึ่ง ครุ่นคิดก่อนจะส่ายหัว “เท่าที่ข้าเห็น คุณหนูตันจูไม่ร้ายแม้แต่น้อย”
สายตาของเฉินตันจูกวาดมองภายในโถง “ใช่ คนอื่นร้ายกับข้า ข้าจึงร้ายตอบ หากคนอื่นดีต่อข้า ข้าย่อมไม่มีทางร้ายตอบ หลิวจั่งกุ้ยดีต่อข้ามาก คุณหนูเวยเวยเป็นคนอ่อนโยน ข้าไม่บอกกล่าวตัวตนของตนเองเพราะกลัวทำให้พวกท่านกลัว เช่นนั้น ข้าคงหมดที่ไปอีกที่ หมดคนที่พูดคุยได้อีกคน…”
นางพูดถึงตรงนี้ก็มองไปยังหลิวเวย ก่อนจะยิ้มขึ้นมา
“ดูจากเวลานี้ พี่เวยเวยยังคงตกใจกลัวข้า”
เมื่อนางยิ้มครานี้ แสงในดวงตาแหลกสลาย เต็มไปด้วยความโศกเศร้า ราวกับนาทีถัดมาน้ำตาจะหลั่งไหลลงมา หลิวเวยรีบพูด “ไม่ใช่ ไม่ใช่”
“ข้ามาครั้งนี้เพราะไม่อยากปิดบังอีกแล้ว” เฉินตันจูพูดต่อ “ได้รับจดหมายงานเลี้ยง ดังนั้นข้ามาเพื่อพบคุณหนูหลิวเวย เมื่อพบกันครานี้ ต่อจากนี้ข้าก็ไม่ทำให้ท่านตกใจกลัวแล้ว”
ฟังดูเหมือนบอกลา ภายในรอยยิ้มน่าเอ็นดูบนใบหน้านี้พยายามปิดบังความโศกเศร้า หลิวเวยรีบส่ายหัว “ข้าไม่ได้กลัว เจ้าพูดให้กระจ่าง ข้าก็เข้าใจแล้ว” ก่อนจะยื่นมือไปจับมือของเฉินตันจู “วันนั้นพวกข้าไม่ได้เชิญเจ้า ท่าทางก็ไม่ดี เจ้าไม่โกรธ ข้าก็วางใจ”
“อะไรกัน” เฉินตันจูพูดอย่างดีใจ “วันนั้นข้าเสียกิริยา ข้าบุ่มบ่ามเกินไป หากข้าเป็นพวกท่าน ข้าก็ปฏิเสธ”
พูดถึงตรงนี้ก็ส่งเสียงในลำคอออกมา
“ตามชื่อเสียงเลวร้ายของเฉินตันจู ไม่เพียงปฏิเสธ ยังต้องถูกตีอีกครั้ง”
หลิวเวยหัวเราะออกมา เฉินตันจูก็หัวเราะตาม
มองดูหญิงสาวสองคนทั้งพูดทั้งหัวเราะ เหล่าหญิงสาวที่เดิมทีแสร้งทำเป็นพูดคุยในห้องต่างเงียบลง บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร ไม่ถือว่าดีใจ แต่ทั้งอิจฉาทั้งโศกเศร้าทั้งไม่พอใจ
“ได้ใจอะไรกัน” คุณหนูคนหนึ่งพูดเสียงเบา “วันนี้ยังมีองค์หญิงเดินทางมาด้วย”
หากองค์หญิงเดินทางมาถึง เฉินตันจูถือเป็นอะไร มีอะไรให้ได้ใจ ไม่แน่ว่าอาจถูกองค์หญิงตำหนิก็เป็นได้…
ทันทีที่สิ้นเสียงของนาง ด้านนอกห้องรับรองแขกมีเหล่าสาวรับใช้วิ่งกันวุ่นวาย
“องค์หญิงมาแล้ว”
“องค์หญิงมาแล้ว”
ทุกคนทั้งตกตะลึงทั้งดีใจ เฉินตันจูและหลิวเวยก็หยุดการพูดคุยลงพร้อมมองไปด้านนอก
องค์หญิงไม่ได้เดินเข้ามา หากแต่เป็นสาวรับใช้สองคน
“เหล่าคุณหนู องค์หญิงนั่งอยู่ในโถงหลัก ทุกคนไปเข้าเฝ้าเถิด”