หนิงเซ่าชิงส่ายศีรษะไปมาและไม่ได้คิดถึงเรื่องเหล่านี้อีก เขาก้มหน้าก้มตากินอาหาร
มั่วเชียนเสวี่ยเองก็อารมณ์ดีขึ้นมา นางเติมข้าวให้กับตนเองอย่างลืมไปเสียสนิทว่ามีคนอยู่ในห้องครัว
ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังกินอยู่นั้น อาซ้อจ้าวเอ้อร์ก็เดินออกมาจากห้องครัวแล้วกล่าวอย่างเกรงอกเกรงใจกับพวกเขาทั้งสองให้ค่อยๆ กินไม่ต้องรีบร้อน จากนั้นนางก็เดินออกไปรวดเร็วดุจนกบิน
มั่วเชียนเสวี่ยยังไม่ได้ทันได้ตั้งตัวก็พบว่าร่างของนางหายลับตาไปแล้ว นางกินพลางบ่นกับหนิงเซ่าชิง “อาซ้อจ้าวเอ้อร์นี่ไม่รู้รีบร้อนอะไร ท่าทางดูวิตกกังวลนัก”
เมื่อพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า สายลมยามค่ำคืนพัดโชยมาอ่อนๆ กลิ่นหอมของอาหารบ้านแซ่จ้าวก็ลอยออกมาทั่วบริเวณ
“เอ๋! เหนียงจื่อ วันนี้เหตุใดจึงมีเนื้อสัตว์ด้วย” จ้าวเอ้อร์ที่เพิ่งกลับมาจากท่าเรือ เมื่อเดินตรงเข้ามาแล้วพบมีเนื้อวางอยู่บนโต๊ะอาหารดวงตาก็เบิกกว้าง
“เจ้าว่าอย่างไรล่ะ” อาซ้อจ้าวเอ้อร์มองไปทางสามีของตนด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง ก่อนจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเย็นออกมาพร้อมกับใส่สีตีไข่เข้าไป เมื่อกล่าวจบก็เอ่ยเสริมขึ้น
“หนิงเหนียงจื่อนั่นช่างโง่เขลาเหลือเกิน ถูกข้าหลอกเสียง่ายๆ นางเป็นคนบอกให้ข้าหั่นมาเองนะ ต่อให้พูดจนท้องฟ้าทะลุก็ไร้ประโยชน์ นางเพิ่งเป็นสะใภ้ใหม่ที่ตบแต่งเข้ามาในบ้าน คาดว่าคงไม่กล้าออกมาเรียกร้องอะไร อีกอย่างท่านอาจารย์หนิงก็ยังเป็นเพียงบัณฑิต เป็นคนเงียบๆ คงไม่กล้ามาหาเรื่องเราถึงที่บ้านหรอก ดังนั้นนางคงต้องยอมถูกเอาเปรียบเช่นคนใบ้ที่ไม่อาจโต้เถียงได้ ไม่แน่ว่ายามนี้นางคงกำลังนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่ก็ได้ ฮ่าๆ”
อาซ้อจ้าวเอ้อร์กล่าวพลางหัวเราะออกมาอย่างสะใจ
“ไชโย! มีเนื้อกินด้วย เรามีเนื้อกิน” บุตรชายทั้งสองคนเมื่อพบว่ามีเนื้อสัตว์วางอยู่ในจานก็ดีใจจนแทบจะมุดศีรษะลงไปในจาน
“อย่าแย่งกันสิ ยังมีอีกมากมาย วันนี้ไม่ต้องกลัวหมด”
เมื่ออาซ้อจ้าวเอ้อร์เห็นลูกๆ ทั้งสองคนเข้ามาแย่งเนื้อกินจนเหลือชิ้นสุดท้าย นางจึงได้รีบลุกเข้าไปในครัว
จ้าวเอ้อร์ทำท่าทางกินอย่างตะกละ เขารินสุรามาเล็กน้อยแล้วตะโกนเข้าไปในครัวด้วยเสียงดัง “เหนียงจื่อ ข้าว่าต่อแต่นี้เจ้าไปที่บ้านท่านอาจารย์หนิงบ่อยๆ ก็ดีนะ หากไม่รีบฉวยโอกาสเช่นนี้ไว้ก็นับว่าบ้าไปแล้ว…”
ด้านนี้กำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนอีกด้านหนึ่ง ณ บ้านเก่าแก่ของฟางอู่กลับมีเสียงถกเถียงกันดังขึ้น
“ท่านพ่อ เป็นเพราะท่านเชียว หากท่านไม่รั้งข้าเอาไว้ บัดนี้ข้าคงได้เป็นภรรยาของท่านอาจารย์หนิงไปแล้ว” ฟางเถาเอ๋อร์ดึงแขนเสื้อของผู้เป็นบิดาแล้วบิดไปมาราวกับเด็ก
ฟางอู่มีบุตรชายห้าคนและบุตรสาวเพียงคนเดียว บัดนี้บุตรชายทั้งห้าได้แต่งงานแยกเรือนออกไปแล้ว เหลือเพียงบุตรสาวคนเดียวที่ยังทำให้เขาปวดหัวได้ทุกวี่ทุกวัน
นางมีบิดามารดาคอยเอาอกเอาใจ ทั้งยังมีพี่ชายทั้งห้าคอยปกป้อง แน่นอนว่าแม่นางฟางเถาเอ๋อร์ผู้นี้ย่อมมีนิสัยเอาแต่ใจ ไร้เหตุผล ขยันกินแต่ขี้เกียจทำงาน
บัดนี้อายุย่างเข้าสิบแปดปีแล้ว กลับยังหาสามีไม่ได้เลย
ก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือน ครั้นที่หนิงเซ่าชิงเพิ่งจะเข้ามาอาศัยอยู่ที่นี่ ฟางเถาเอ๋อร์ก็ดูชื่นชอบเขายิ่งนักและให้ฟางอู่ไปสู่ขอแต่กลับถูกหนิงเซ่าชิงปฏิเสธ อีกทั้งยังกล่าวว่าจะเดินทางจากไป ดังนั้นฟางอู่จึงไม่อาจทำสิ่งใดได้
เมื่อได้ยินฟางเถาเอ๋อร์หยิบยกเรื่องเก่าขึ้นมาเล่าใหม่อีกครั้ง จึงได้เคาะปล้องยาสูบลงบนโต๊ะอย่างแรงเสียจนฟางเถาเอ๋อร์สะดุ้งโผเข้าไปในอ้อมกอดของมารดา
“ข้าเข้าไปขวางเจ้าไว้หรือ ในตอนนั้นหัวหน้าหมู่บ้านและเหล่าผู้อาวุโสก็ได้ปรึกษากันถึงความต้องการจะทำพิธีชงสี่ให้แก่ท่านอาจารย์หนิง แต่เมื่อเจ้าได้ยินว่าเขาแทบหมดลมหายใจแล้วต่อให้ตายเจ้าก็ไม่ยินยอมมิใช่หรือ”
ฟางเถาเอ๋อร์พบว่าบิดาของนางเพียงแต่ทำท่าทางดุดัน นางจึงลดมือลงแล้วทำใจกล้ากว่าเดิม ผละออกจากอ้อมอกมารดาพลางตะโกนใส่ผู้เป็นบิดา
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรเล่าว่าอาการป่วยของเขาเมื่อทำพิธีแล้วจะหายได้ ในตอนนั้นแม่หมอนั่นกล่าวว่าไร้ทางรักษาแล้ว ได้แต่รอฟังการตัดสินใจของเบื้องบนว่าให้ลองจัดพิธีแต่งงานเพื่อสะเดาะเคราะห์ดู หรือท่านพ่อต้องการให้ข้าแต่งงานแล้วกลายเป็นหม้ายทันทีเล่า”
“เจ้า! เจ้านี่มัน เฮ้อ…เจ้าทำตัวดีๆ ไว้เถิด พ่อจะหาคู่ครองที่เหมาะสมให้เจ้า” ฟางอู่ตะเบ็งเสียงออกมา จากนั้นจึงนึกได้ว่าบุตรสาวของตนยังไม่ได้ออกเรือนเลยช่างน่าสงสารนางยิ่งนัก ด้วยความเหนื่อยหน่ายจึงได้ลดเสียงลง
“ข้าไม่เอา ข้าจะเอาท่านอาจารย์หนิงเท่านั้น นางนั่นเขาเพียงเก็บมาจากข้างทาง ท่านพ่อ! เพียงท่านลดตำแหน่งนางไปเป็นทาส จากนั้นข้าก็จะได้แต่งงานกับท่านอาจารย์หนิง…”
นางมักหาเรื่องอยู่เสมอ จะให้เรียกว่าอย่างไร มองดูแล้วคงจะเป็นดั่งที่คำโบราณว่า ‘เมื่อบุตรสาวเติบใหญ่จงอย่ารั้งนาง รั้งไปรั้งมาอาจกลับกลายเป็นศัตรูได้!’
ฟางอู่ทอดถอนหายใจออกมายาวเหยียด ก่อนจะส่ายหน้าแล้วหันไปกำชับภรรยาของตน ให้นางคอยอบรมสั่งสอนบุตรสาวให้ดี
เขาคงต้องไปหาท่านหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อปรึกษาหารือเรื่องนี้ดู ไม่รู้ว่าหากต้องแบกหน้าอันเหี่ยวย่นนี้ไป จะสามารถแลกมากับคู่ครองที่ดีของบุตรสาวได้หรือไม่
“เถาเอ๋อร์ ดวงใจของแม่ หยุดร้องไห้เถิดลูก…”
“ท่านแม่ เถาเอ๋อร์เพียงต้องการแต่งงานกับท่านอาจารย์หนิง เขาหน้าตาหล่อเหลาอีกทั้งยังเป็นผู้มีการศึกษา ไม่แน่ว่าในอนาคตข้าอาจได้เป็นฮูหยินของขุนนางชั้นสูงก็เป็นได้”
คำพูดของฟางเถาเอ๋อร์ เห็นได้ชัดว่าดึงดูดความสนใจจากผู้เป็นมารดาอย่างมาก ดวงตาของนางเป็นประกาย สีหน้าเคร่งขรึมดูเหมือนกำลังตัดสินใจเรื่องใหญ่โตล้นฟ้า ปากของนางยื่นเข้าไปใกล้บุตรสาวของตน “หากว่าลูกตัดสินใจแน่วแน่แล้ว แม่มีวิธีทำให้เจ้าสมปรารถนา”
“จริงหรือ”
……
เมื่อเก็บช้อนชามเรียบร้อยแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยเดินกลับเข้าไปในครัวจึงได้รู้ว่าอาซ้อจ้าวเอ้อร์ทำอะไรอยู่ในครัวกันแน่
ขาหมูส่วนท้ายนั้น บัดนี้ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นขาหมูอีกต่อไป เรียกได้เต็มที่ก็คงเป็นกระดูกหมูเท่านั้น
ทักษะการใช้มีดของนางช่างเก่งกาจเสียจริง!
ละเอียดประณีตยิ่งกว่าพ่อครัวในภัตตาคารอีก ต่อให้มั่วเชียนเสวี่ยเก่งกาจเพียงใดก็ไม่อาจหาเศษเนื้อติดกระดูกนั้นได้แม้แต่นิดเดียว
ก็แค่เนื้อหมู
เพียงแค่อาซ้อจ้าวกล่าวออกมา นางก็สามารถยกขาหมูทั้งขาให้ไปได้ แล้วจะเป็นอะไรไปเล่า เหตุใดจึงต้องทำตัวน่าเกลียดเพียงนี้
เมื่อมองไปยังกระดูกอันเกลี้ยงเกลาชิ้นนั้น มั่วเชียนเสวี่ยก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาแทนความโกรธ
ยอดเยี่ยม เล่นงานนางเสียจนได้สินะ
มั่วเชียนเสวี่ยไม่กลัวจะเสียเปรียบหรอก แต่นางนั้นเกลียดยิ่งนักสำหรับคนที่จะจ้องเล่นงานนางลับหลัง
แน่นอนว่านางคงจะไม่ไปหาเรื่องถึงที่บ้าน เนื่องจากอีกฝ่ายคงจะคิดหาวิธีรับมือไว้แล้ว การเดินทางไปจึงเท่ากับดิ้นรนหาความอับอายใส่ตัว!
โวยวายอย่างนั้นหรือ กลัวจะขายหน้าหรือ ต้องการทำสงครามเย็นหรือ ยามนี้คาดว่าคงยังไม่เหมาะนัก หากว่าสุดท้ายนางอึดอัดใจเสียเองจนร่างกายย่ำแย่ลง คงจะไม่คุ้มค่า
ทว่า มั่วเชียนเสวี่ยไม่ต้องการให้จบเพียงเท่านี้ ภูเขาและแม่น้ำยังมีทางมาบรรจบกัน ชีวิตนี้ยังอีกยาวไกล! คนนิสัยเช่นอาซ้อจ้าวเอ้อร์ นางจะรับมือไม่ไหวเชียวหรือ
ลมฤดูใบไม้ร่วงพัดใบไม้ปลิวเสียงดังกรอบแกรบ ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มลง
เมื่อจัดการกับอารมณ์ของตนเรียบร้อยแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยจึงอาบน้ำสระผมแล้วหยิบผ้าห่มที่ซื้อมาใหม่ออกมาจากห่อผ้าพร้อมกับปูลงไปบนที่นอน
“เจ้าเอามาจากที่ใดกัน” สีหน้าของหนิงเซ่าชิงเปลี่ยนไปทันที พลางชี้ไปยังผ้าห่มผืนใหม่ที่ถูกนำออกมาก่อนมองไปทางมั่วเชียนเสวี่ยอย่างไม่พอใจ
“ข้าเพิ่งซื้อมาใหม่ในวันนี้ นับจากนี้ไปจะไม่มีใครแย่งผ้าห่มกับท่านอีก” มั่วเชียนเสวี่ยที่กำลังคิดเรื่องอื่นอยู่ขณะปูผ้าห่ม จึงไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าขุ่นเคืองของเขาพร้อมกับนำผ้าห่มผืนเก่าย้ายไปข้างๆ แล้วกล่าว-ขึ้น “นั่นคือผ้าห่มของท่าน ส่วนนี่คือของข้า น้ำบ่อไม่ผสมกับน้ำคลอง นับจากนี้เราจะได้ไม่ต้องก้าวก่ายกันอีก!”
หลังกล่าวจบ มั่วเชียนเสวี่ยที่มีสีหน้าดูมีพิรุธก็ถอดเสื้อผ้าออกมาพลางซุกตัวเข้าไปในผ้าห่ม
มั่วเชียนเสวี่ยไม่กล้าบอกกับเขาตรงๆ ว่าหลายวันมานี้จากความคิดอันสับสนของนาง หากว่ายังห่มผ้าห่มผืนเดียวกันเช่นนี้ต่อไป ถึงเขาจะไม่มีปฏิกิริยาใดๆ แต่นางกลับแทบทนไม่ไหวแล้ว
ทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมา นางมักพบว่าตนอยู่ในอ้อมอกของหนิงเซ่าชิง ทำให้นางอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี
ชายผู้นี้ช่างหัวโบราณและเข้าใจยากเหลือเกิน ครั้นเขานอนอยู่บนเตียงแข็งทื่อไม่ต่างจากท่อนไม้เอาเสียเลย ดังนั้นคงจะไม่เข้ามากอดนางเองเป็นแน่ คงเป็นสาวบริสุทธิ์เช่นนางที่มักหน้าไม่อายเข้าไปซุกในอ้อมอกของเขาเอง