ยามบิดามารดาป่วยไข้ พิสูจน์ความกตัญญูของบุตรหลาน
ยามไร้ผลประโยชน์ พิสูจน์คุณธรรมน้ำมิตรของใจคน
ครั้งก่อนที่หนิงเซ่าชิงป่วย หัวหน้าหมู่บ้านและผู้อาวุโสต่างก็ตึงเครียดกันหมด เวลานี้นอกจากพ่อแม่ของนักเรียนที่มีน้ำใจจะพาลูกหลานมาเยี่ยมเมื่อเย็นวานแล้ว จนถึงเดี๋ยวนี้พวกหัวหน้าหมู่บ้านไม่มีแม้แต่ถามไถ่ข่าวคราว อาจเป็นเพราะกลัวว่านางจะโวยวายให้ไปเชิญหมอและคงเกรงว่าจะเข้าเนื้อตัวเองล่ะมั้ง
มั่วเชียนเสวี่ยคิดแล้วก็โมโห แต่พอคิดว่าเดิมทีหนิงเซ่าชิงสุขภาพไม่แข็งแรงอยู่แล้ว คงไม่ดีนักที่จะตอกหน้ากลับไปอย่างโจ่งแจ้ง จึงระงับความโกรธแล้วพูดอ้อมค้อมด้วยความเป็นห่วง
“เซียนเซิง ไม่ต้องไปสอนที่โรงเรียนแล้วดีไหม กิจการเต้าหู้ของข้าค้าขายได้ไม่เลวเลย เราเอาเนื้อเค็มตากแห้งไหว้ครูเหล่านั้นไปคืน อย่าให้ตัวเองต้องเหนื่อยเลยนะ…” เกือบพลั้งปากพูดว่า ‘ข้าเลี้ยงท่านไหว’ แล้วเชียว
พอเห็นหนิงเซ่าชิงหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย เหงื่อของนางพลันไหลออกมา โชคดีที่สังเกตเห็นสีหน้าเขาเร็ว มั่วเชียนเสวี่ยจึงเปลี่ยนคําพูดที่กำลังจะออกจากปากได้ทัน มิฉะนั้นเขาต้องโกรธนางอีกแน่
เกือบลืมไปว่านี่เป็นยุคโบราณ ค่านิยมชายเป็นใหญ่นั้นเป็นสิ่งที่คนสมัยนี้ให้ความสำคัญมาก ถ้าชายใดให้สตรีเลี้ยงดูถือเป็นสิ่งที่น่าอายที่สุด แม้ว่าหลายครั้งเป็นความจริงก็ไม่สามารถประกาศได้เต็มปากว่าการที่สตรีทำงานนั้นเป็นสิ่งที่เหมาะสม
หนิงเซ่าชิงเห็นท่าทางตกใจของนาง สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยและผ่อนคลายลง นางพยายามปกป้องเขาอย่างสุดกําลัง ระมัดระวังการใช้คำพูดเพราะเกรงว่าจะทำให้เขารู้สึกด้อยกว่า นั่นก็ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นจนหัวใจร้อนผ่าว เมื่ออยู่ต่อหน้านางแล้วเขาไม่ได้สนใจอะไรกับค่านิยมชายเป็นใหญ่เลย
แม้ว่าครั้งนี้เรื่องหญิงแพศยาผู้นั้นจะทำให้เขารู้สึกเกลียดไปถึงขั้วหัวใจ แต่ที่สุดแล้วบรรดาผู้อาวุโสในหมู่บ้านก็เป็นผู้มีบุญคุณที่ช่วยชีวิตเขาไว้ ทั้งเด็กๆ ในหมู่บ้านก็บริสุทธิ์ เขาไม่อาจไร้คุณธรรมได้
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง หนิงเซ่าชิงสงบสติอารมณ์ลงแล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “มนุษย์เมื่อไร้ความเชื่อมั่นก็ไม่อาจยืนหยัดได้! เมื่อรับปากแล้วก็ต้องทำอย่างซื่อสัตย์ จะทำลายสัญญากลางคันได้อย่างไร สอนจบปีนี้ค่อยว่ากัน!”
มั่วเชียนเสวี่ยเห็นว่าหนิงเซ่าชิงไม่ได้โกรธจึงแอบยิ้มเจ้าเล่ห์ แต่กลับถูกหนิงเซ่าชิงจับได้ เขายกยิ้มมุมปากแล้วเอ่ยขึ้น “เจ้ารีบไปแจ้งท่านหัวหน้าหมู่บ้านเถิด จำไว้ว่าอย่าเป็นเหมือนครั้งก่อนอีก”
มั่วเชียนเสวี่ยหันกลับมาแลบลิ้นอย่างซุกซน ที่แท้คนผู้นี้ก็เดาออกแล้วว่าคราวที่แล้วตนเป็นผู้ก่อเรื่องวุ่นวาย
ก่อนออกจากบ้าน ไม่ลืมหันไปดูที่ห้องครัวอีกรอบและที่คาดเอาไว้ก็ไม่มีผิด เนื้อและขิงหายไปอย่างไร้ร่องรอย คืนนี้มีละครสนุกๆ ให้ดูแล้ว ดูซิว่าต่อไปมนุษย์ป้าน่ารำคาญนั่นจะยังกล้ามือไวอีกไหม มั่วเชียนเสวี่ยเดินพลางฮัมเพลงออกจากบ้านไป
เมื่อได้ยินว่าหนิงเซ่าชิงไม่เป็นไรแล้ว หัวหน้าหมู่บ้านดีใจเป็นอย่างมาก พูดโน้มน้าวด้วยความหวังดีว่าควรพักผ่อนอีกสักระยะก่อนดีไหม แต่มั่วเชียนเสวี่ยกลับปฏิเสธไปเสียดื้อๆ
รอจนมั่วเชียนเสวี่ยกลับมา หนิงเซ่าชิงกำลังพิงหัวเตียงนั่งอ่านหนังสืออยู่
รอยยิ้มจางๆ ประดับบนริมฝีปาก เส้นผมหนานุ่มดําขลับกระจายบางๆ เสื้อคลุมแบบจีนสีน้ำเงินถูกรัดด้วยเข็มขัดสีน้ำเงินสด ประกอบกับผ้าปูที่นอนสีขาวเรียบ เป็นภาพที่งดงามยิ่ง
ราวกับว่าความสุขุมเยือกเย็นและความห่างเหินในตัวเขาถูกถอดออกภายในคืนเดียว
มั่วเชียนเสวี่ยตะลึงงัน!
หนิงเซ่าชิงที่เห็นนางเดินเข้ามาก็ปิดหนังสือพร้อมกับลุกออกจากเตียง พลางก้าวเดินอย่างสง่างามแล้วยิ้มทักทาย “เจ้ากลับมาแล้วหรือ หนังสือที่ซื้อมาใหม่นี้ดีมาก!”
เมื่อพูดถึงหนังสือพวกนั้น มั่วเชียนเสวี่ยพลันนึกถึงชาชั้นดีกานั้น นึกถึงชุดน้ำชาที่แตกร้าว…
ตอนแรกคิดจะใช้มือช่วยพยุงเขาขึ้นไปนอนก็ชักมือกลับ นึกถึงประโยคนั้นขึ้นมาอีกครั้ง ก็ยิ่งโมโห จากนั้นหมุนตัวเตรียมจะออกจากห้อง
เมื่อวานเห็นแก่เขาที่เพิ่งฟื้นจึงไม่อยากถือสาหาความอะไรมากนัก แต่คิดหรือว่านางไม่พูดถึงแล้วเขาจะถือว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ ในเมื่อต่อไปยังต้องอยู่ด้วยกันจะปล่อยให้เขาเป็นเช่นนี้ไม่ได้
เมื่อเห็นมั่วเชียนเสวี่ยชักสีหน้า หนิงเซ่าชิงก็หมุนตัวตามไปทันที รู้ว่าสถานการณ์ไม่ดีจึงรีบเข้าไปรั้งนางไว้
หญิงสาวคนนี้จริงใจต่อเขานัก ช่วงเวลาที่เขาฟื้นขึ้นมาก็ได้ยืนยันความเข้าใจตรงนี้แล้ว ตอนนั้นเขาอยากจะตะโกนออกมาด้วยความดีใจ ยามนี้บาดแผลบนหน้าอกของเขาที่เคยถูกญาติพี่น้องทรมานมาก็ค่อยๆ ซึมซับความรู้สึกนี้เข้าไป บาดแผลนั่นค่อยๆ หายสนิท…
แต่ก่อน ความรู้สึกที่อยากจะยอมรับแต่ไม่กล้ายอมรับนั้นแกว่งไกวไปมา ความขัดแย้งที่เปราะบางทำให้เขาไม่กล้าศึกษาหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าอย่างละเอียด ตอนนี้…ในเมื่อปมในใจคลี่คลายแล้ว เขายอมรับแล้วว่าความรู้สึกหวั่นไหวกับนางนั้นเป็นเรื่องจริง หัวใจย่อมมีจิตปฏิพัทธ์ขึ้นมา
หนิงเซ่าชิงโอบกอดมั่วเชียนเสวี่ยที่กําลังจะหันหลังเดินออกไปแน่น พร้อมกับเอ่ยคำว่า “ข้าขอโทษ” คำนั้นที่ไม่ได้พูดออกไปในเมื่อวาน!
มั่วเชียนเสวี่ยถูกหนิงเซ่าชิงที่แม้ผอมบาง ทว่าไหล่กว้างโอบกอดไว้ คําสามคําที่กระซิบข้างหูทำให้นางตกใจจนตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ
บุรุษรูปงามผู้แสนจะเย็นชาและหยิ่งยโสผู้นี้ก็เอ่ยคำขอโทษเป็นด้วยหรือ
ผ่านไปครู่ใหญ่ มั่วเชียนเสวี่ยถึงได้รู้สึกตัว รูปร่างของหนิงเซ่าชิงเป็นแบบที่สวมใส่เสื้อผ้าแล้วดูผอมเพรียว แต่อันที่จริงกลับดูมีอะไรให้ค้นหา ความอบอุ่นในอ้อมกอดทำให้มั่วเชียนเสวี่ยหัวใจเต้นแรงขึ้นฉับพลัน
เรื่องในวันนั้น นางคาดเดาได้ตั้งนานแล้วว่าตนเองต้องตกเป็นแพะแน่นอน
หญิงแพศยาฟางเถาเอ๋อร์ ไม่ช้าก็เร็วมั่วเชียนเสวี่ยจะไปจัดการนางแน่นอน!
แต่วันนี้นางไม่สามารถให้อภัยให้เขาได้ง่ายๆ เมื่อคิดได้เช่นนี้ ใบหน้าเล็กพลันบึ้งตึง “ขอโทษ? ขอโทษอะไรกัน ท่านอาจารย์หนิงเคยมีความผิดด้วยหรือ”
พูดจบนางก็แกะมือเขาออก พยายามดีดดิ้นให้หลุดจากอ้อมกอดอันอบอุ่นนั้น
หนิงเซ่าชิงไม่เคยง้อหญิงสาวมาก่อน พอเห็นมั่วเชียนเสวี่ยหน้าเปลี่ยนสีก็รู้สึกตื่นเต้นเร้าใจขึ้นมาบ้าง แต่กลับทำอะไรไม่ถูก
เขาไม่ได้ปล่อยมือ ทว่าฉวยโอกาสจับมือเล็กๆ ของมั่วเชียนเสวี่ยที่พยายามแกะมือเขาออกเอาไว้แน่น จากนั้นก็ยึดมือของนางเอาไว้ วงแขนทั้งสองข้างกอดเอวบางของมั่วเชียนเสวี่ยอย่างแนบชิด
เขากลัวว่าทันทีที่เขาปล่อยมือ นางจะโกรธจนไม่สนใจเขาอีก
“เอ่อ…เจ้าฟังข้าพูดก่อนได้หรือไม่” ท่าทางของทั้งสองคนดูกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แต่เขาไม่ได้คิดจะปล่อยนางไป วันนี้เขาจะต้องคลายปมในใจให้ได้
มั่วเชียนเสวี่ยส่ายศีรษะเหมือนกลองสองหน้าของเล่นเด็กโบราณ “ข้าไม่อยากฟัง ท่านปล่อยข้านะ…” อย่าคิดว่านางจะยอมปลดอาวุธง่ายๆ คำว่า ‘หญิงชั้นต่ำ’ นั่นทำร้ายจิตใจของนางเกินกว่าจะยกโทษให้
“หากเจ้าไม่ฟัง ข้าก็ไม่ปล่อย” ปกติหนิงเซ่าชิงดูอ่อนโยน แต่ความจริงแล้วภายในก็ยังเป็นคนเจ้าเผด็จการ แม้ว่าเขาจะไม่รู้วิธีง้อหญิงสาวแต่ก็ใช้สัญชาตญาณของตัวเอง เขากอดมั่วเชียนเสวี่ยไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
ทั้งสองคนต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกันอยู่นาน มั่วเชียนเสวี่ยดิ้นรนราวกับสัตว์ร้ายที่ถูกคุมขังอยู่นานแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ทว่านางไม่กล้าขยับเขยื้อนอีกเพราะเอวงามของนางรู้สึกได้ถึงอะไรแปลกๆ ใบหน้าเล็กแดงระเรื่อทันที…
แม้ว่านางจะเป็นสาวเทื้อพรหมจรรย์ แม้จะไม่เคยกินเนื้อหมู แต่ก็เคยเห็นหมูวิ่ง[1] อีกทั้งปฏิกิริยาตรงส่วนนั้นของบุรุษเพศนางก็พอรู้อยู่บ้าง
ทันใดนั้นกระแสความเร่าร้อนก็ไหลออกมาจากกลางอก…
โอ้! ดูเหมือนจะมีขนาดไม่เลวเลย! แต่…แต่ว่า ตัวเราเองยังไม่โตเต็มวัยเลย บ้าเอ้ย!
“เชียนเสวี่ย ฟังข้านะ ข้าแค่…” ความคิดที่เตลิดไปไกลของมั่วเชียนเสวี่ยถูกดึงกลับมาอีกครั้งด้วยเสียงกระซิบอ่อนโยนข้างหู แม้ว่าใบหน้าจะแดงระเรื่อแต่ก็ได้สติกลับมาแล้ว
“ว่าอะไรนะ แค่ก แค่ก… ท่านทำให้ข้าหายใจไม่ออก” ในช่วงเวลาที่กระอักกระอ่วน แม้ว่าจะเป็นคำถาม แต่น้ำเสียงกลับเปลี่ยนเป็นเขินอาย
เมื่อได้ยินดังนั้น หนิงเซ่าชิงก็กระแอมเบาๆ มือที่กอดแน่นจึงคลายออก แต่ก็ไม่ได้ปล่อยไปเลย เพียงแต่ทำให้นางมีช่องว่างให้หายใจเท่านั้น
ได้ยินเสียงพ่นลมหายใจเบาๆ ท่าทางนวดคลึงต้นคอไปมาพร้อมกับความรู้สึกมึนงง ชั่วขณะนั้นก็ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกยุบๆ ยิบๆ ในใจ และใจอ่อนลงมาก เริ่มอ่อนให้แล้ว
ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้ตั้งใจ ตอนนั้นก็สะลึมสะลือและประโยคนั้นก็ไม่ได้จงใจมุ่งเป้าไปที่นางเสียหน่อย
“…”
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ขณะที่กำลังจะอ้าปากพูดถ้อยคำรุนแรง ก็ทำได้เพียงต้องกลืนคำพูดลงท้องกลับไป
หนิงเซ่าชิงรับรู้ได้ว่าถึงแม้หญิงสาวในอ้อมแขนจะไม่พูดอะไร แต่กลับมีเค้าส่อให้เห็นว่าอ่อนลง จากนั้นจึงอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นที่ข้างหูนางเบาๆ พลางเน้นย้ำอย่างหนักแน่นว่าตนไม่ได้แตะต้องฟางเถาเอ๋อร์เลย แม้แต่ฝ่ามือที่ตบหน้านางก็ยังรักษาระยะห่างไว้
[1] แม้จะไม่เคยกินเนื้อหมู แต่ก็เคยเห็นหมูวิ่ง สำนวนจีนแปลว่า แม้ไม่เคยมีประสบการณ์ แต่ก็เคยได้ยินได้ฟังมา