ทั้งสองมีบุตรเมื่อตอนอายุมาก จึงทำให้รู้สึกรักและทะนุถนอมดุจไข่ในหิน
หลังจากนั้น เมื่อบุตรชายของเขาเรียนรู้วิธีการเลี้ยงชีพต่างๆ ได้สำเร็จจึงแต่งภรรยา ก่อนจะเริ่มลืมบุญคุณของบิดามารดา ซึ่งสองสามีภรรยาหนุ่มสาวนี้มักจะทุบตีดุด่าและใช้ชายชราดั่งทาส
ต่อมาเมื่อหวังต้ามาป่วยนัก หวังอวี๋ซานไม่อยากนำเงินของตนไปใช้ในการรักษาแม่บุญธรรม ไม่เพียงเท่านี้ หากวันใดทั้งสองตื่นสายหรือทำท่าทางงกๆ เงิ่นๆ ภรรยาของเขาก็จะเอาแต่ดุด่าบอกว่าสองตายายนี้ขี้เกียจเหลือเกิน เลี้ยงเปลืองข้าวสุกเสียจริง
จนในที่สุดหวังต้ามาก็ได้จากไปด้วยโรคร้าย ส่วนบิดาของเขาเศร้าโศกเสียใจ เมื่อเขาเดินทางกลับหมู่บ้านเพื่อทำพิธีฝังศพให้แก่หวังต้ามา นับแต่นั้นก็ไม่ได้เดินทางกลับไปยังเมืองนั้นอีก เนื่องจากไม่มีทั้งบุตรและสตรี อีกทั้งบุตรบุญธรรมก็มีแต่ความอกตัญญู เขาจึงรู้สึกขมขื่นยิ่งนัก ต่อมาจึงได้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านอันห่างไกลดูแลตนเองอย่างโดดเดี่ยว
ได้ยินมาว่าหลังจากหวังต้ามาจากไปเพียงไม่นาน บุตรชายผู้ไร้จิตใจคนนั้นเคยเดินทางกลับมาครั้งหนึ่ง เพื่อเชิญให้หวังเหล่าเตียกลับเมือง แต่หวังเหล่าเตียไม่ต้องการกลับไปในเมืองเพื่อเป็นคนรับใช้ของพวกเขาอีก จึงทำให้เขาโมโหสะบัดแขนฟึดฟัดก่อนจะเดินจากไป
ต่อมา แม้แต่ตอนที่เขาตายจากไป บุตรชายที่ไร้หัวจิตหัวใจของเขาก็ไม่ได้แม้แต่กลับมาส่งเขาเป็นครั้งสุดท้าย คนในหมู่บ้านจึงช่วยจัดงานศพให้แก่เขา
ทุกคนล้วนคิดว่าบุตรชายผู้ไร้จิตใจผู้นี้คงจะไม่เดินทางกลับมาหมู่บ้านหวังจยาอีกแล้วตลอดชีวิต
หนิงเซ่าชิงและมั่วเชียนเสวี่ยก็คิดเช่นนั้นด้วย ดังนั้น เรือนที่ไร้เจ้าของนี้จากการตัดสินร่วมกันของชาวบ้านในหมู่บ้าน จึงแนะนำให้ท่านหัวหน้าหมู่บ้านร่างหนังสือเพื่อเป็นการยืนยัน จากนั้นยังไปที่ว่าการเพื่อทำหนังสือมอบ พวกเขาคาดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร
แต่พวกเขาคิดผิดไป!
ชายผู้มีจิตใจคับแคบและอกตัญญู ที่แม้แต่พ่อบุญธรรมสิ้นชีวิตก็ยังไม่กลับมาคารวะศพ อีกทั้งไม่ได้เดินทางกลับมายังหมู่บ้านหวังจยาเป็นเวลายี่สิบกว่าปี บัดนี้เมื่อพบว่าพวกเขาได้สร้างบ้านขึ้นมาใหม่และยังมีโรงงานด้วย จึงตั้งใจจะกลับมายึดที่แห่งนี้กลับไปเป็นของตน
ใต้หล้าจะมีเรื่องง่ายๆ เช่นนี้ด้วยหรือ!
สีหน้าของหนิงเซ่าชิงแม้จะดูเยือกเย็น แต่เขากลับยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่ได้ขยับเขยื้อน ปล่อยให้อันธพาลทั้งสองคนเอ่ยวาจาเหยียดหยามออกมา ส่วนเขายังคงเผยรอยยิ้มมุมปาก
ด้วยบุคลิกและอุปนิสัยของเขา ย่อมไม่ประสงค์ไปสั่งสอนหรือถกเถียงกับคนไร้ยางอายเช่นนี้เป็นแน่ เหตุใดต้องลดตัวเช่นนั้นด้วยเล่า
ซึ่งบัดนี้เขาได้แต่ยืนนิ่งรอหัวหน้าหมู่บ้านให้คำตอบอันน่าพึงพอใจแก่เขา
แต่มั่วเชียนเสวี่ยไม่อาจเป็นเช่นนี้ได้ จะให้อยู่เฉยแม้ฟ้าจะถล่มดินจะทลายเช่นเขาน่ะหรือ นางทำไม่ได้อย่างแน่นอน
นางจึงได้ก้าวไปข้างหน้าแล้วหัวเราะเยาะเย้ยออกมาอย่างเหยียดหยัน “เจ้าคือผู้อกตัญญูผู้นั้นเองน่ะหรือ”
“เอ๊ะ! เจ้านี่ปากคอเราะรายนัก!” หวังอวี๋ซานมองไปยังสตรีที่เดินฝ่าออกมาจากฝูงชน ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างไม่พอใจว่า “เป็นเพียงสตรีธรรมดาจงหลีกไปเสียจะดีกว่า นี่คือเรื่องของตระกูลหวัง เกี่ยวข้องอันใดกับเจ้า”
“เกี่ยวข้องอันใดกับข้างั้นรึ บัดนี้ที่นี่เป็นของตระกูลหนิง ส่วนข้าคือภรรยาของเขา เจ้าว่านี่มันเกี่ยวข้องกับข้าหรือไม่”
“เจ้าก็คือหนิงเหนียงจื่อ?”
“ถูกต้อง!”
“ได้ยินมาว่าเจ้ามีสูตรการทำเต้าหู้ เพื่อเห็นแก่สูตรนี้ข้าจึงจะไม่กล่าวโทษสามีเจ้า หากวันนี้เจ้ามอบสูตรนั้นแก่ข้า จากนั้นพากันไสหัวออกไปจากที่นี่ ข้าหวังอวี๋ซานจะเป็นคนดีสักครา ไม่ฟ้องศาลเอาพวกเจ้าเข้าคุก ความผิดโทษฐานบุกรุกแย่งชิงที่อยู่อาศัยของผู้อื่น”
ที่แท้ก็เป็นพวกจับตามองสูตรทำเต้าหู้ของนางนี่เอง! มั่วเชียนเสวี่ยหัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น ฟ้องศาลงั้นหรือ จะจับนางเข้าคุก? คิดว่านางเป็นกระดาษขาวบางหรือ คิดว่านางเป็นสตรีที่ไม่เคยพบพานโลกภายนอกอย่างนั้นสินะ? เพียงประโยคเดียวของเขาจะสามารถทำให้นางตกใจกลัวได้หรือ จงไสหัวไปที่ชอบที่ชอบเถอะ!
บัดนี้ในสมองของหัวหน้าหมู่บ้านพยายามครุ่นคิดนึกย้อนไปถึงแผนที่หมู่บ้าน ผืนดินแห่งนี้เคยแบ่งให้กับหวังเหล่าเตียเป็นเรื่องจริง อีกทั้งทำการมอบหนังสืออำนาจเรียบร้อยแล้ว แต่ทว่าเขาก็ได้ตายจากไปเสียแล้ว ประกอบกับบุตรชายอกตัญญูผู้นี้ก็ไม่เคยเดินทางกลับมาดูอีกเลย คาดว่าโฉนดที่ดินคงจะย่อยสลายหายไปแล้ว
ในเมื่อไม่มีโฉนด ที่แห่งนี้ก็ยังนับว่าเป็นพื้นที่สาธารณะของหมู่บ้านหวังจยา ต่อให้เรือนก่อนหน้านี้ที่สร้างไว้เป็นของหวังเหล่าเตีย แต่สิ่งนี้ก็ไม่อาจส่งผลการครอบครองที่ดินของท่านอาจารย์หนิงได้
หลังจากเขานึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้ ประกอบกับสถานการณ์เป็นไปไม่สู้ดีนัก หวังอวี๋ซานยังหยิบยกข้ออ้างว่าจะส่งพวกเขาเข้าตาราง หากว่าหัวหน้าหมู่บ้านยังคงเงียบเช่นนี้คงไม่ดี เกรงว่าจะทำให้สองสามีภรรยาที่เพิ่งจะสร้างเรือนไม้เสร็จนี้ขุ่นเคืองใจเป็นแน่
ในขณะที่มั่วเชียนเสวี่ยกำลังจะเอ่ยปากคัดค้าน ก็ได้ยินหัวหน้าหมู่บ้านกระแอมออกมาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธเคืองว่า “หวังอวี๋ซาน เจ้าอย่าได้ทำตัวไร้สาระ!”
“ข้าทำตัวไร้สาระอย่างไร เรือนของพ่อข้า ข้าเป็นคนสืบทอด นี่เป็นเรื่องที่สืบต่อกันมา”
“หวังอวี๋ซาน เจ้าฟังให้ดี! ที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ที่เจ้ามาทำตัวเป็นอันธพาลได้ตามใจชอบ ในครานั้น เจ้าไม่มีความกตัญญูแม้แต่น้อย พวกเราชาวบ้านรู้สึกสงสารหวังเหล่าเตียซึ่งไร้ที่พึ่งพิงทั้งยังแก่ชรามากแล้ว จึงได้ยกที่แห่งนี้ให้แก่เขาใช้สำหรับดำรงชีวิต บัดนี้เขาจากโลกนี้ไปแล้ว ดังนั้นทางหมู่บ้านจึงมีอำนาจในการยึดพื้นที่แห่งนี้กลับคืนมา ด้วยเหตุนี้เอง ที่นี่จึงไม่ได้เกี่ยวข้องกับเจ้าแม้แต่น้อย”
“จู่ๆ จะยึดคืนก็ยึดคืน ท่านเป็นหัวหน้าหมู่บ้านก็ควรมีมโนธรรมบ้าง”
เกาซานรู้สึกรังเกียจและรำคาญพวกอกตัญญูเป็นที่สุด เขาไม่รอให้หัวหน้าหมู่บ้านโต้แย้งใดๆ ออกมา ก็ได้กล่าวขึ้นด้วยความโมโหว่า “มโนธรรมงั้นหรือ เจ้าคิดว่าตัวเองยังเป็นคนอยู่หรือ ควรค่าให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อเจ้าอย่างมีมโนธณรมงั้นหรือ ยามเจ็บป่วยไม่ดูแล เมื่อตายจากไปยังไม่กลับมาคารวะศพ เจ้าเอาอะไรมาอ้างว่าตนเป็นบุตรชายของหวังเหล่าเตีย”
“เจ้าเป็นใครกันนะ อ้อ เหมือนว่าเจ้าจะแซ่เกาสินะ ตอนนั้นที่ข้าเดินทางออกไปจากหมู่บ้านแม้อายุจะยังน้อย แต่ก็จำได้ว่าเจ้าแซ่เกาไม่ใช่แซ่หวัง เรื่องของตระกูลหวังเรา ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าเข้ามาตัดสินใจ เขาคือบิดาของข้า เป็นปู่ของบุตรชายข้า ส่วนข้าจะเลี้ยงดูเขาหรือไม่ จะกลับมาฝังศพเขาหรือไม่ เกี่ยวข้องอันใดกับคนภายนอกเยี่ยงเจ้า”
ชายหนุ่มผู้ยืนอยู่ด้านหลังหวังอวี๋ซานพบว่ามีคนอื่นก้าวออกมาสนับสนุน ตนจึงได้ก้าวออกมาสมทบเช่นกันว่า “นั่นสิ! เขาคือปู่ของข้า ต่อให้พวกเจ้าพูดจนปากฉีกถึงหู แต่เขาก็ยังเป็นปู่ของข้าหวังเสี่ยงไฉ ตอนนั้นเขาอยากจะมาอยู่ที่นี่เอง เกี่ยวข้องอะไรกับบิดาของข้าเล่า”
บรรดากลุ่มคนเหล่านั้นรู้สึกเหลืออด ใครบางคนจึงได้สบถออกมาว่า “เขาคือปู่ของเจ้างั้นหรือ ถุย! เมื่อตอนที่เขาเจ็บป่วย พวกเจ้าเคยมาดูแลเขาสักวันหรือไม่ เมื่อตอนที่เขาจากโลกนี้ไป พวกเจ้าเคยคิดจะจุดธูปให้เขาหรือไม่”
“ในตอนนั้นที่ทำการคารวะสาบานเป็นพ่อแม่ลูกกัน พิธีกรรมได้ถูกจัดตั้งขึ้นตามประเพณี บ้านหลังนี้บิดาข้าเป็นผู้สร้างมันขึ้นมา ต่อให้ข้าไม่ได้อยู่ที่นี่ เพียงแต่ข้ายังมีชีวิตอยู่บนโลก ที่ดินผืนนี้และบ้านก็ยังคงเป็นของข้าหวังอวี๋ซาน ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจกล่าวว่าจะยึดก็ยึดกลับได้ทันที”
หัวหน้าหมู่บ้านเห็นท่าทางอันดื้อดึงของเขาเช่นนั้นก็รู้สึกปวดหัวและไม่รู้จะโต้เถียงกลับไปอย่างไร การที่บุตรสืบทอดต่อจากบิดานั้น ต่อให้เป็นบุตรบุญธรรมก็นับว่าเป็นคนในตระกูลและเป็นบุตรโดยชอบธรรม
หวังเทียนซงเห็นสีหน้าของหัวหน้าหมู่บ้านที่ดูไม่สู้ดีนัก จึงทำท่าครุ่นคิดแล้วก้าวขึ้นไปช่วยพูดว่า “เมื่อสักครู่หัวหน้าหมู่บ้านก็บอกแล้วว่าบ้านหลังนี้ในครานั้นคนในหมู่บ้านเพียงรู้สึกว่าหวังเหล่าเตียอยู่โดดเดี่ยวคนเดียวน่าสงสาร อีกทั้งไร้ที่พึ่งพิง จึงได้มอบให้เขาพักอยู่อาศัยเป็นการชั่วคราว ไม่ใช่ทรัพย์สินภายใต้ชื่อของเขาแต่อย่างใด ดังนั้นหมู่บ้านจึงสามารถยึดคืนเมื่อไรก็ได้ เจ้าหูตึงหรืออย่างไร บ้านหลังนี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับหวังเหล่าเตียบิดาของเจ้าแม้แต่น้อย แล้วจะไปเกี่ยวข้องกับเจ้าได้อย่าง”
หวังอวี๋ซานหยิบกระดาษใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ จากนั้นหัวเราะออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ “ข้ามีโฉนดที่ดินของบ้านหลังนี้อยู่ ตัวอักษรแต่ละตัวเขียนเอาไว้อย่างชัดเจน เจ้ายังกล้าบอกว่าไม่เกี่ยวข้องอันใดกับข้าอยู่อีกหรือ เจ้าเด็กอ่อน คิดเอาเปรียบข้าหวังอวี๋ซาน หึๆ เจ้ายังอ่อนเกินไป”
หัวหน้าหมู่บ้านมองไปยังโฉนดที่ดิน จากนั้นก็เริ่มทุกข์ร้อนกังวลใจ สิ่งที่เขากลัวมากที่สุดเกิดขึ้นจนได้
บรรยากาศ ณ ตอนนั้น เยือกเย็นเสียจนแทบจะกลายเป็นน้ำแข็ง เมื่อมองเห็นโฉนดที่ดินใบนั้น สิ่งที่จะพูดต่อก็จุกอยู่ในลำคอ
เมื่อมั่วเชียนเสวี่ยเห็นโฉนดที่ดินซึ่งปลิวไปตามแรงลมใบนั้น นางก็โมโหเสียแทบกระอักเลือด อีกทั้งอยากก้าวขึ้นไปฉีกหน้าอันเจ้าเล่ห์นั้นเสียเหลือทน
วินาทีนี้นางรู้สึกว่านางพ่ายแพ้แล้ว พ่ายแพ้ให้แก่กระดาษสีเหลืองเก่าๆ ใบหนึ่ง ต่อให้นางพยายามอย่างไรก็คงสู้ไม่ได้กับโฉนดที่ดินในมือเขาใบนั้น ในสมัยโบราณ โฉนดที่ดินก็คือหลักฐานในการเป็นเจ้าของ พื้นที่แห่งนั้น! ไม่น่าเล่า ดูเจ้าหมอนี่มีความมั่นอกมั่นใจเหลือเกินในการโต้เถียงครั้งนี้
ที่จริงแล้วสูตรการทำเต้าหู้สำหรับนางไม่ได้สำคัญแต่อย่างใด แต่นางทนให้คนเอาเปรียบไม่ได้ เขาอยากได้มากงั้นหรือ เช่นนั้นนางก็ยืนกรานจะไม่ให้ อย่างมากก็เพียงไปหาพื้นที่แห่งใหม่และสร้างบ้านขึ้นมาอีกครั้งก็เท่านั้น
นางหันหลังกลับไปมองเรือนไม้หลังใหญ่ที่เพิ่งสร้างเสร็จ ต่อให้จะต้องรื้อถอนบ้านหลังนี้ หรือทุบโรงงานทิ้งก็ตามแต่ นางจะไม่ให้เขาสมใจอยากแน่ นางจะไม่ยอมให้เขามีชีวิตสุขสบาย ไม่ช้าก็เร็วเขาจะต้องได้รับผลกรรมที่เขาก่อ!