นิ่งเซ่าชิงยังคงครุ่นคิด ไม่เพียงสร้างรายได้ให้กับตระกูล นับแต่นั้นไป๋อวิ๋นจวีและกิจการตระกูลซูของเขาก็ถือว่าดำเนินอย่างราบรื่น ในขณะเดียวกันก็สร้างชื่อเสียงให้เขา และช่วยพี่ชายของซูชีรักษาตำแหน่งในตระกูลให้มั่นคงอีกด้วย
แต่ทว่า แม้แต่เขาเองก็คาดไม่ถึง ในตอนหลังราคาถั่วจะขึ้นสูงเช่นนี้
ดูท่า ไม่อาจประมาทซูชีได้ แผนการที่วางไว้นั้นเป็นลูกโซ่ที่เชื่อมติดกัน ขอเพียงเกิดข้อผิดพลาดหนึ่งแผน อู๋ต้าฟู่ผู้นั้นรามือกลางคัน แม้หมากกระดานนี้ของเขาจะไม่ส่งผลกระทบต่อไป๋อวิ๋นจวี ทว่าก็ทำให้อิ๋งเค่อเซวียนระคายผิวเท่านั้น ไม่กระทบถึงรากถึงโคน
คนผู้นี้ เป็นคนที่จิตใจเหี้ยมโหด ต้องวางแผนไว้เป็นอย่างดีแล้วแน่นอน
มั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้คิดมากเหมือนเขา เห็นเขานิ่งเงียบ จึงเข้าใจว่าเขาไม่ได้สนใจ “เจ้าไม่รู้สึกว่าเป็นของหายาก แต่ข้ารู้สึกว่าเป็นของหายาก ถั่วหลายแสนชั่ง ข้าต้องใช้เวลามากเท่าใดกว่าจะรวบรวมมาได้ เวลานี้กลับนอนนิ่งอยู่ในโกดังเก็บของอย่างปลอดภัย ข้าไม่ได้ฝันไปใช่หรือไม่” มั่วเชียนเสวี่ยทำหน้าเหลือเชื่อ ยื่นมือออกมาบีบแก้มน้อยๆ ของตน
“นี่ไม่ใช่ความฝัน!” หากจะฝันก็ต้องฝันถึงเขาเท่านั้น
หนิงเซ่าชิงยังไม่ทันพูดจบ มั่วเชียนเสวี่ยเอามือกุมหน้าแล้วร้องลั่น “โอย ช่างเจ็บนัก! ไม่ใช่ความฝันจริงๆ ด้วย”
หนิงเซ่าชิงส่ายหน้าพร้อมยกมุมปากที่เคล้าไปด้วยรอยยิ้มขึ้น เขาไม่เคยพบเจอสตรีใดโง่เขลาและน่ารักมากกว่านางเลย
เขาลืมตาที่หลับอยู่ครึ่งหนึ่งขึ้นมา ยื่นมือออกมาจากผ้าห่ม เดิมทีคิดอยากจะจับใบหน้าของนาง ชะงักครู่หนึ่ง แล้วเปลี่ยนเป็นตบนางเบาๆ คล้ายกล่อมเด็กอย่างไรอย่างนั้น “นอนเถอะ วันมะรืนร้านอาหารของเจ้าก็จะเปิดกิจการแล้ว เถ้าแก่เนี้ย! พรุ่งนี้หัวหน้าหมู่บ้านจะจัดงานเลี้ยงให้เจ้า เพราะถึงอย่างไรตระกูลหวังของพวกเขาก็พึ่งใบบุญเจ้ามิใช่น้อย”
ตอนที่หนิงเซ่าชิงแกล้งเรียกนางว่าเถ้าแก่เนี้ย อดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปดีดหน้าผากกลมมนของนางด้วยความหยอกเย้า
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก หัวใจของมั่วเชียนเสวี่ยเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย ดวงแก้มของนางแดงระเรื่อ
ในความมืด บรรยากาศอบอวล บางสิ่งบางอย่างกำลังก่อตัว
ราวกับในเสี้ยววินาทีนั้นเวลาหยุดเดิน
บดบังใบหน้า ภายในใจของมั่วเชียนเสวี่ยเกิดความลังเล ประเดี๋ยวนางควรสมยอม หรือว่าเตะใครบางคนลงจากเตียง เพื่อแก้แค้นสักหน่อย?
ทว่า ในความเงียบสงบ หนิงเซ่าชิงกลับถอนมือกลับ
จากนั้นช่วยตบผ้าห่มให้นางสองสามครั้ง พลิกตัวหันหลัง ชั่วครู่หนึ่ง เสียงลมหายใจค่อยๆ ผ่อนลง นอนหลับไปแล้วหรือเนี่ย
ดวงตาของมั่วเชียนเสวี่ยทอประกายด้วยความขุ่นเคือง
เขาเป็นตอไม้หรืออย่างไร ให้ตายสิ ตนบอกว่าจะเตะเขาลงจากเตียง ทว่านี่มันอะไรกัน ไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะได้ลำพองใจ คนผู้นี้หลังจากที่เขาจูบนางเมื่อคราวก่อน ก็วางตัวสุภาพเรียบร้อยกับนางมาโดยตลอด
ทุกครั้งที่อยู่บนเตียง เขาเอาแต่นอนนิ่ง ราวกับพระรักษาศีล
หรือว่านางไม่เย้ายวนมากพอ เอามือขึ้นมาทาบหน้าอกของตนโดยไม่รู้ตัว มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกเศร้า นี่คือความรู้สึกเหมือนตกอยู่ในเหวลึกแห่งความปรารถนา เหตุใดเขาจึงนิ่งเฉย
หรือว่า…พิษลมหนาวไม่เพียงแต่อยู่ในกาย ทั้งยังอยู่ในนั้นด้วย? ไม่กระมัง! คราวก่อน นางยังเคยสัมผัสได้ ขนาดของเจ้านั่นไม่เลว ต้องเก่งกาจเป็นแน่
ทันใดนั้นเองนางก็รู้สึกเสียใจที่ซื้อผ้าห่มเพิ่ม
ผ่านไปนาน กว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะเข้าสู่ห้วงนิทรา
แต่นางกลับไม่รู้ แท้จริงแล้วหนิงเซ่าชิงที่นอนหันหลังอยู่ข้างๆ แม้ลมหายใจจะนิ่งสงบ ทว่านัยน์ตากลับทอประกายล้ำลึก…
……
พลบค่ำเย็นวันที่สอง บรรยากาศในหมู่บ้านหวังจยาอบอวลไปด้วยความรื่นเริง
คนในหมู่บ้านมาร่วมงานแทบจะทุกคน ทุกบ้านทุกเรือนต่างนำของกำนัลมาให้ ร่วมฉลองให้กับการเปิดร้านอาหารของมั่วเชียนเสวี่ยล่วงหน้า
แม้ของกำนัลที่แต่ละครอบครัวนำมาให้จะไม่ได้มากมาย บางครอบครัวถึงขั้นให้เพียงแค่ผ้าสีชาดหนึ่งผืน ทว่าถึงกระนั้นมั่วเชียนเสวี่ยก็รู้สึกดีใจอย่างมาก
นางไม่ได้ให้ความสำคัญกับเงินทอง ทว่า เรื่องนี้ ทำให้นางรู้สึกว่าตนยืนหยัดในหมู่บ้านได้อย่างแท้จริงแล้ว
ลานด้านหน้ามีโต๊ะตั้งเรียงราย นอกจากนี้ในครัวและเรือนหลักเดิมก็มีโต๊ะตั้งเรียงรายเช่นเดียวกัน หัวหน้าหมู่บ้านทำหน้าที่เป็นประธานในพิธีพูดอยู่ครู่หนึ่ง เขากล่าวถ้อยคำมงคลมากมาย หนิงเซ่าชิงจำต้องนั่งอยู่บนที่นั่งด้านบนอย่างเลี่ยงไม่ได้
เดิมทีมั่วเชียนเสวี่ยใคร่อยากไปช่วยงานในครัว ทว่ากลับถูกอาซ้อฟาง ชุนเยี่ยน จวี๋เหนียงและกลุ่มสตรีมากมายกดลงบนเก้าอี้ จนกระทั่งนางรับปากว่าจะไม่เข้าไปในครัวเด็ดขาด แต่อาซ้อฟางก็ยังไม่วางใจ ให้ยายาและหนีจื่อคอยเฝ้าอยู่ข้างๆ
หนีจื่อใช้มือเล็กๆ นวดไหล่ของนาง ยายาออดอ้อนบนขาของนาง ร้องอยากจะฟังนิทาน มั่วเชียนเสวี่ยมองสาวใช้ที่เป็นนางหนึ่งเป็นยังเด็กและนางหนึ่งเริ่มโตแล้ว ภายในใจรู้สึกอิ่มเอมยิ่งนัก
วันข้างหน้า ข้าก็จะมีบุตรีที่เชื่อฟังสองคน
มั่วเชียนเสวี่ยครุ่นคิดเรื่องมีลูก สายตาของนางพลันมองไปทางหนิงเซ่าชิง พบว่ารอบตัวหนิงเซ่าชิงก็เต็มไปด้วยเด็กนักเรียนหลายคน นางรู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมาทันที
นางก้มหน้าลงแล้วพร่ำเพ้อในใจ วันข้างหน้ามีลูกชายหรือลูกสาวดีนะ ขณะที่นางกำลังลังเลตัดสินใจไม่ได้ ทว่าก็สัมผัสได้ถึงสายตาที่จับจ้องมา เงยหน้าขึ้นมองพบว่าหนิงเซ่าชิงกำลังมองมาที่นาง
นัยน์ตาทอประกายแวววับ คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
มั่วเชียนเสวี่ยถลึงตามองกลับอย่างตำหนิ ทว่าหนิงเซ่าชิงกลับยิ้มด้วยความรักใคร่…
ลานหน้าเรือนครึกครื้นอย่างมาก ทว่า ต่างคนต่างมีความคิด
หัวหน้าหมู่บ้านและบรรดาหัวหน้าตระกูลกำลังหารือกัน คราวนี้จะให้เด็กตระกูลใดเรียนแกะสลักกับมั่วเชียนเสวี่ย
หวังเอ้อร์ไม่ออกจากเรือนแล้วจริงๆ เวลานี้หวังซานเป็นสมาชิกหัวหน้าตระกูลคนใหม่ ตอนนี้บุตรชายเป็นที่โปรดปรานของมั่วเชียนเสวี่ย เป็นธรรมดาว่าพวกหัวหน้าตระกูลย่อมเกรงใจเขา
ทว่า เบื้องหน้าเกรงอกเกรงใจ แต่ภายในใจล้วนอยากจะแนะนำหลานชายของตนบ้าง
หลี่ปากล่าว “ไคสือของข้าแม้อายุจะมากไปหน่อย ทว่าเป็นคนฉลาดหลักแหลม”
ฟางอู่ “หยุดพูดเถอะ เขาเป็นคนเสเพลมาแต่ไหนแต่ไร ตอนนี้ยังพิการ เดินเหินไม่สะดวก ยังคิดอยากจะแย่ง…”
จากนั้นทั้งสองก็มีปากเสียงกัน
……
มุมหนึ่งในครัว อาซ้อฟางและอาซ้อกุ้ยฮวาพูดกระซิบกระซาบกันอยู่ตรงนั้น
“คราวที่แล้วข้าคงตาฝาดไป หนิงเหนียงจื่อและท่านอาจารย์หนิงยังไม่ได้ร่วมหอกันเป็นแน่ เราต้องช่วยพวกเขา”
“ช่วยเช่นไรหรือ”
“ข้ามีตำรับยา เป็นยาบำรุงสำหรับคนหนุ่มสาว ช่วย…ทว่าไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย”
“ได้ผลจริงหรือ”
“ย่อมได้ผลแน่นอน ที่ข้ามีบุตรชายได้ ตอนนั้นข้าและสามีเคยดื่มมาแล้ว…”
“ก็ใช่ หนิงเหนียงจื่อแต่งงานสามสี่เดือนแล้ว ยังไม่ร่วมหอกันอีก ไม่มีเหตุผลใดจริงๆ ท่านอาจารย์หนิงสุขภาพร่างกายไม่ดี หากนางมีบุตรชายสักคนคอยอยู่เคียงข้างก็ถือว่าเป็นเรื่องดี”
“อืม เช่นนั้นพวกเราต้องช่วยนาง…”
มุมเล็กๆ ณ ลานหน้าเรือน ภรรยาฟางอู่และฟางเถาเอ๋อร์พูดกระซิบกระซาบกันอยู่ตรงนั้น
“ท่านแม่ ยานี้ไว้ใจได้จริงๆ หรือ”
“คราวนี้ย่อมไว้ใจได้แน่นอน เจ้าวางใจเถอะ สูตรยาในครั้งนี้เป็นของตระกูลฟาง อาซ้อใหญ่ของเจ้าจะยกน้ำแกงนี้ไปให้ท่านอาจารย์หนิงด้วยตนเอง นางคิดว่าตนเป็นคนฉลาด คงไม่คิดว่าจะถูกพวกเราหลอกใช้ หึๆ!”
“ข้าก็ยังกลัวอยู่ดี!”
“กลัวอะไร! นี่คือเสื้อผ้าที่หนิงเหนียงจื่อเคยใส่ ประเดี๋ยวเจ้าใส่ซะ เช่นนั้นท่านอาจารย์หนิงก็จะคิดว่าเจ้าคือนาง ย่อมไม่คิดอะไรมาก”
ฟางเถาเอ๋อร์ยังคงลังเลเล็กน้อย วันนั้นนางถูกฝ่ามือของหนิงเซ่าชิงตบจนวิญญาณเตลิดแล้วจริงๆ
“เมื่อถึงเวลาเจ้าแต่งเข้าตระกูลก็เป็นภรรยาเอก นางที่เป็นเพียงสตรีแต่งแก้เคล็ด มีหรือจะเทียบเจ้าได้ แม้จะมีศักดิ์เสมอกัน แต่หากเจ้ามีบุตรชายก่อน ยังต้องกลัวนางอีกหรือ เมื่อถึงเวลาสมบัติในตระกูลก็ตกเป็นของเจ้าทั้งหมด”
“เจ้าดู… บ้านหลังนี้ใหญ่โตมโหฬาร มีทั้งเรือนหลัก มีทั้งเรือนข้าง ได้ยินว่ามีทั้งห้องหนังสือ…ประเดี๋ยว เจ้าไปรอที่เรือนข้าง แม่จัดเตรียมคนให้พยุงท่านอาจารย์หนิงเข้าไปตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว”
ได้ยินเช่นนี้ดวงตาของฟางเถาเอ๋อร์ทอประกายแวววับ