ในสวนไม่มีผู้ใด นางจับมือเขา เดินอยู่บนทางเดิน
ในตอนแรกถงจื่อจิ้งก้มหน้าลงด้วยความหวาดกลัว หลังจากนั้นเขามองไปรอบๆ พบว่าไม่มีผู้ใด จึงรู้สึกสบายใจขึ้นมาทันที
เขามีความคิดเป็นเด็ก ไม่เคยออกมาจากห้อง แน่นอนทุกอย่างล้วนแปลกใหม่ มองซ้ายมองขวา อยากไปจับ อยากไปเล่น ทว่าไม่กล้าปล่อยมือของมั่วเชียนเสวี่ย
มั่วเชียนเสวี่ยเห็นทุกอย่าง หัวใจของนางปวดร้าว นางในยุคปัจจุบันมีน้องชายหนึ่งคน ช่างเถอะ… ตอนนี้ถือว่าถงจื่อจิ้งคนนี้เป็นน้องชายแท้ๆ ก็แล้วกัน
ภายใต้ความสงสาร คือความโกรธเคือง คนที่สุขภาพร่างกายแข็งแรง แต่กลับถูกขังเช่นนี้นานสิบกว่าปี ไม่ตำหนิไม่ได้จริงๆ ท่านผู้เฒ่าถงล้มเหลวยิ่งนัก โง่เขลาสิ้นดี หมอบอกตั้งแต่แรกแล้วว่าร่างกายของเขาแข็งแรงดีไม่เป็นอะไร เพียงแค่ตกใจจึงเลือกที่จะเงียบ ไม่อยากพูด แต่ท่านผู้เฒ่าถงกลับทำเหมือนเขาเป็นผู้ป่วยทางจิตแล้วขังเอาไว้นานสิบกว่าปี
เดิมทีเป็นบุรุษสง่างาม ควรได้รับการศึกษาเล่าเรียนที่ดีที่สุด เพลิดเพลินกับชีวิต แต่เพราะจิตใจของเขาได้รับการกระทบกระเทือนจึงไม่ยอมพูด ไม่ให้เขาได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ไม่มีผู้ใดรู้จักเขา สัมผัสความรู้สึกของเขา ปล่อยให้อยู่ในห้องเล็กๆ นานสิบกว่าปีทว่ากลับเหมือนหนึ่งวัน หากไม่ใช่ฉีกผ้า ก็โยนถ้วยชาม ช่างน่าเบื่อมากนัก
สำหรับการรักษา ก็คือการดื่มยาต้มวันแล้ววันเล่า ความรักที่ได้รับ เป็นเพียงการบีบบังคับที่ผู้เป็นบิดาคิดเอาเอง
มั่วเชียนเสวี่ยกระชับมือ พาเขาเดินเล่นบนทางเดิน มือนี้ เบาบาง อ่อนโยน ถงจื่อจิ้งเฝ้าปรารถนาอย่าให้ท้องฟ้ามืดมิด หวังว่าทางเดินนี้จะไม่มีวันสิ้นสุดชั่วนิรันดร์
เขากระชับมือให้แน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว มั่วเชียนเสวี่ยหันกลับไปยิ้มให้เขา แล้วเอ่ยถาม “อยากเล่นหิมะหรือไม่”
หลังจากถงจื่อจิ้งตกตะลึงก็ส่ายหน้าเล็กน้อย ไม่ได้ออกจากห้องนานสิบกว่าปี เขาลืมไปแล้วว่าหิมะคืออะไร
มั่วเชียนเสวี่ยปล่อยมือเขา วิ่งไปเก็บกองหิมะที่ปกคลุมอยู่บนหญ้า จากนั้นหันไปพูดกับถงจื่อจิ้ง “มา มาจับดูสิ นี่คือหิมะ”
ถงจื่อจิ้งยื่นมือออกไปด้วยความแปลกใจ มือสัมผัสโดนความเย็น ถอนมือกลับทันที เพราะไหวพริบปฏิภาณหยุดลงในช่วงวัยสามถึงสี่ขวบมาโดยตลอด ยังคงมีความคิดเป็นเด็ก ใคร่รู้โดยธรรมชาติ มือที่ถอนกลับไป ยื่นออกมาอีกครั้ง
“เจ้าดูสิ แผ่นขาวโพลนนี้ คือเกล็ดหิมะ หนึ่งปีมีสี่ฤดู วสันตฤดูดอกไม้ผลิบาน คิมหันตฤดูฝนพรำ สารทฤดูผลสุกงอกงาม เหมันตฤดูหิมะโปรยปราย” มั่วเชียนเสวี่ยจับมือของเขา โน้มตัวลงให้เขาได้สัมผัสถึงความหนาวเย็นจากหิมะ ทั้งยังให้ความรู้ทั่วไปกับเขา
ภายใต้การชักนำของมั่วเชียนเสวี่ยถงจื่อจิ้งเริ่มจากใช้มือข้างหนึ่งสัมผัสหิมะ ความรู้สึกแปลกใหม่เกิดขึ้น เขายื่นมืออีกข้างออกไปโดยไม่รู้ตัว ทำตามมั่วเชียนเสวี่ย เก็บหิมะขึ้นมา
“พวกเราเล่นสงครามหิมะดีหรือไม่”
“สงคราม…หิมะ…?” เพราะไม่ได้พูดมานาน เขาหยุดชะงักทุกครั้งที่พูดหนึ่งคำ เปล่งเสียงคล้ายกับเด็ก
มั่วเชียนเสวี่ยกลัวจะทำให้เขาตกใจอีก จึงโยนกองหิมะไปบนชายเสื้อเขาเบาๆ
“เช่นนี้ เจ้าปามาที่ข้า ข้าปาไปที่เจ้า นี่คือสงครามปาหิมะ!”
ถงจื่อจิ้งทำตามมั่วเชียนเสวี่ย ยกมือขึ้นแล้วปา สุดท้ายเพราะไม่มีเป้าหมาย และเป็นเพราะมั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้ป้องกัน จึงปาไปโดนศีรษะของมั่วเชียนเสวี่ย
ความเป็นจริงถงจื่อจิ้งไม่ได้ปัญญาอ่อนอย่างที่น่ากังวล ดูเหมือนว่าจะมีโอกาสหายดีสูงมาก นางสอนเขาให้มากหน่อย พาเขาเข้าสู่โลกใบนี้ จิ้งเอ๋อร์ต้องใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดาทั่วไปได้แน่นอน
คิดถึงตรงนี้ มั่วเชียนเสวี่ยที่มีหิมะอยู่บนศีรษะ ไม่โกรธเคืองแต่กลับหัวเราะเสียงดังแล้วพูด “น้องจื่อจิ้งปาแม่นมาก พี่เชียนเสวี่ยจะไม่ยอม ข้าเองก็จะปาหิมะใส่เจ้าแล้วนะ…”
เช่นนี้ เจ้าหนึ่งคราข้าหนึ่งครา มั่วเชียนเสวี่ยปาหิมะออกไป ถงจื่อจิ้งปาหิมะแล้วหลบ หัวเราะอย่างมีความสุข เล่นด้วยกันอย่างพลาดเพลิน
“อา… อี…” เพราะเขายังพูดไม่ชัด ดังนั้นเวลามีความสุข จึงทำได้เพียงใช้คำว่าอาอีมาแสดงความรู้สึกของตนเอง
มั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้เล่นหิมะโดยไม่มีเรื่องติดค้างในใจเช่นนี้มานานแล้ว เป็นธรรมดาที่นางจะเล่นจนสนุกสุดเวี่ยง
ชั้นบนของสวนมีคนสองคนยืนอยู่
“ดูเหมือนว่า เมื่อก่อนพวกเราคิดผิดไปแล้ว จึงเดินเข้าสู่ทางตัน!”
“ใช่ ข้าผิดไปแล้ว ไม่ควรให้ความสำคัญกับเกียรติยศหน้าตาของตนเองเหนือทุกสิ่ง”
“แต่ว่า ตอนนี้เขายิ้มและพูดคุยกับแม่หนูคนนี้เพียงคนเดียวเท่านั้น กับข้ายังคงเมินเฉย ดูเหมือนว่า ข้าทำผิดร้ายแรงจริงๆ…วันข้างหน้าเมื่อเขาหายดี จะเกลียดข้าหรือไม่”
“ปมในใจต้องค่อยๆ คลายทีละเล็กละน้อย หากข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด ขอเพียงผ่านช่วงนี้ไปได้ ไม่แน่ว่าอาการป่วยของจิ้งเอ๋อร์อาจจะดีขึ้นมาก วันข้างหน้าไม่มีอะไรแตกต่างกับคนทั่วไป สำหรับความเกลียดชัง ระหว่างพ่อลูกจะมีความแค้นข้ามคืนได้อย่างไร วันข้างหน้าเจ้าดีกับเขาให้มาก หยุดนิสัยเผด็จการของตนเสีย…”
ขณะที่ทั้งสองพูดคุยกัน พ่อบ้านถงเดินขึ้นมาจากหุบเขา รายงาน “นายท่าน คุณชายเจ็ดมาขอพบขอรับ”
“อืม เสี่ยวชีมาแล้ว เชิญเขาเข้ามาเถอะ”
“ขอรับ”
พ่อบ้านถอยออกไป หมอหวังเห็นว่ามีแขกมาหามิตรสหายของตน ด้วยเหตุนี้จึงพูดขึ้น “ข้าไม่สะดวกที่จะพบเจอผู้อื่น ขอตัวก่อน สำหรับอาการป่วยของคุณชายหนิง ข้าย่อมหาวิธีรักษา เพียงแต่มีตัวยาชนิดหนึ่ง ข้าต้องไปหาด้วยตนเอง อาการป่วยของจิ้งเอ๋อร์มีความหวังแล้ว ข้าก็คลายความกังวล เมื่อหาสมุนไพรพบจะกลับมาแล้วไปถอนพิษให้คุณชายหนิงที่หมู่บ้านหวังจยา”
หมอหวังหัวเราะ “ปีนี้ คุณชายหนิงตามหาข้าทั่วทุกสารทิศ แฮะๆ ในเมื่อไม่สามารถอยู่อย่างสงบได้ เช่นนั้นเห็นแก่ภรรยาของเขา รักษาให้เขาก็แล้วกัน”
วันนี้ท่านผู้เฒ่าถงอารมณ์ดี หัวเราะแล้วพูด “ตาเฒ่า จะไปก็รีบไปเถอะ พูดมากเสียจริง”
ร่างของชายชราผอมบางเลือนหายไป ซูชีเดินมาจากที่ไกลๆ น้อมทำความเคารพแล้วเอ่ยถาม “ท่านปู่[1] ช่วงนี้ท่านสบายดีหรือไม่”
“สบายดี เหตุใดวันนี้เสี่ยวชีจึงมีเวลามาได้”
“ท่านย่าส่งจดหมายมา ให้เสี่ยวชีนำมาให้ท่าน เสี่ยวชีเองก็อยากมาดูว่าท่านอาจิ้งดีขึ้นหรือไม่”
“อาจิ้งของเจ้ากำลังเล่นอยู่ตรงนั้น”
ท่านผู้เฒ่าถงชี้ไปด้านล่างด้วยความอารมณ์ดี ทั้งสองกำลังเล่นสงครามปาหิมะในสวน “อาจิ้งของเจ้า อาการดีขึ้นแล้ว บอกท่านย่าของเจ้าด้วย ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วงของนาง”
ซูชีตกตะลึง ทว่าสีหน้ายังคงยิ้มแย้ม ไม่ได้สนใจ มองไปตามทางที่ท่านปู่ถงชี้
ตระกูลถงมีทายาทสืบทอดสกุลคนเดียวมาหลายรุ่น บิดาของท่านถงเหล่า หลังจากแต่งงานหลายปีก็ยังคงไม่มีบุตร ในตอนหลังจึงได้เก็บท่านย่าของซูชีมาเลี้ยงเป็นการถือเคล็ดเพื่อให้มีบุตรชาย ในตอนหลังจึงค่อยมีถงเหล่า
ท่านย่าของซูชีและถงเหล่าไม่ใช่พี่น้องสายเลือดเดียวกัน ทว่าพวกเขากลับรักกันยิ่งกว่าพี่น้องทั่วไป เรื่องของถงจื่อจิ้ง คนสำคัญในตระกูลซูจึงล้วนทราบกันดี
ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ท่านปู่และท่านย่าล้วนตามหาหมอที่มีชื่อเสียง ได้ยินว่าหมอประหลาดที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ในยุทธภพก็เคยเชิญมาแล้ว แต่กลับไม่มีอะไรดีขึ้น ผ่านมาหลายปีแล้ว โรคเช่นนี้ ใช่จะบอกว่าดีขึ้นก็ดีขึ้นในทันที ดูท่า ท่านปู่คงจะปลอบใจตนเองกระมัง
มองไปตามที่ท่านผู้เฒ่าถงชี้ รอให้ซูชีมองเห็นคนทั้งสองที่เล่นกันอย่างมีความสุขบนก้นหุบเขาอย่างชัดเจน รอยยิ้มบนใบหน้าของเขา…นิ่งค้างในทันที
[1] ท่านปู่ ต้นฉบับคือ 舅爷爷 ใช้เรียกพี่ชายและน้องชายของท่านย่า