สิ้นเสียง มั่วเชียนเสวี่ยหยิบเหอเปาออกมาแล้วตบรางวัลให้นาง นางพอจะรู้ธรรมเนียมปฏิบัติของตระกูลใหญ่อยู่บ้าง เมื่อก่อนเวลาต้องออกเรือนไปทำกิจธุระ นางมักจะเตรียมเบี้ยเอาไว้เพื่อความราบรื่น ดังนั้นจึงไม่รู้สึกประหม่าที่จะต้องให้
เหลียงหมัวมัวถือเหอเปาเอาไว้ นางไม่ได้คาดหวังกับเงินในถุงเท่าใดนัก ทว่ารู้สึกแปลกใจอย่างมาก นางพูดเพียงว่ารอบนี้ทำไปสูญเปล่าแล้ว
เป็นจริงตามนั้น ขิงแก่ย่อมเผ็ด[1]
แม้จะรู้สึกแปลกใจ ทว่าสีหน้าของนางยังคงเป็นมิตรไม่เปลี่ยน “แม่นางเกรงใจแล้ว”
มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกชื่นชมกับท่าทีของหมัวมัวคนนี้อย่างมาก ตั้งแต่เจอนางก็มีมารยาท ทั้งยังไม่ได้เย้ยหยันและดูถูก เพียงเพราะตัวตนของนาง และไม่ได้เป็นเหมือนบ่าวรับใช้ทั่วไปที่จะโอหังเมื่อได้หน้า แต่กลับทำให้นางรู้สึกสนิทสนมอย่างมาก จนอดที่อยากจะสนิทสนมและพูดความในใจกับหมัวมัวคนนี้ไม่ได้
มีบ่าวรับใช้เช่นนี้ คาดว่าผู้เป็นนายคงไม่แย่นัก ทันใดนั้นเองนางก็อยากจะเห็นความสง่างามของเหล่าไท่จวินผู้นี้ มากไปกว่านั้นหากมีโอกาสก็อยากจะช่วยพูดเรื่องงานวิวาห์ของเจี่ยนชิงโยว
รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง อีกทั้ง ได้รับของรางวัล การไปขอบคุณด้วยตนเองก็เป็นเรื่องที่พึงกระทำ
มั่วเชียนเสวี่ยยิ้มแล้วพูดขึ้น “รบกวนที่ไหนกัน! เชียนเสวี่ยต่างหากที่เป็นคนรบกวน ทำให้เหล่าไท่จวินต้องลำบาก ประเดี๋ยว หากสะดวก อยากจะรบกวนเหลียงหมัวมัวพาเชียนเสวี่ยไปพบเหล่าไท่จวิน เชียนเสวี่ยอยากจะกล่าวขอบคุณท่านด้วยตนเอง”
ดวงตาของหมัวมัวเป็นประกาย คิดไม่ถึงว่าแม่นางหนิงผู้นี้จะรู้มารยาท หมัวมัวไม่ได้สนใจของในเหอเปา นางยัดเหอเปาเข้าไปในแขนเสื้อ แล้วพูดขึ้น “เหล่าไท่จวินก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าแม่นางคนใด ทำอาหารได้รสเลิศเช่นนี้”
หลังจากเจี่ยนชิงโยวกลับมาเหล่าไท่จวินได้ยินนางเอ่ยถึงมั่วเชียนเสวี่ย ได้ยินว่าชีวิตของมั่วเชียนเสวี่ยช่างอาภัพ ต้องแต่งงานกับผู้อื่นเพื่อขจัดเสนียดจัญไรด้วยความมึนงง จึงรู้สึกเอ็นดูนางมานานแล้ว ครั้งนี้ได้เห็นขนมที่น่ารับประทาน ก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจ
ให้เหลียงหมัวมัวมาดูตัวตั้งแต่ทีแรกแล้ว หากแม่นางหนิงผู้นี้น่าเอ็นดูตามที่คุณหนูใหญ่บอก เช่นนั้นเจอกันสักคราก็ดีเหมือนกัน
สตรีในจวนใหญ่ อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนตลอดเวลา ช่างน่าเบื่อยิ่งนัก อยากจะรู้เหลือเกินว่าปุถุชนคนธรรมดาใช้ชีวิตเช่นไร
“ขนมแบบนี้ ชิงโยวไม่เคยกินมาก่อน ดูท่าจะมีเพียงคนมากฝีมืออย่างเชียนเสวี่ยเท่านั้นที่ทำออกมาได้” ได้ยินเจี่ยนชิงโยวกล่าวชมตน มั่วเชียนเสวี่ยยิ้มแก้มปริ แล้วพูด “หากเจ้าอยากจะฝึกทำ ข้าสอนเจ้าได้ ไม่เห็นจะมีอะไรยาก”
แม้หญิงสาวตระกูลใหญ่จะไม่ได้เข้าครัวทำอาหาร ทว่ารู้วิธีการทำขนมหวานทุกอย่าง อาหารทุกประเภทเป็นอย่างดี
สุราตระกูลใดเลิศรส ขนมหวานตระกูลใดรสชาติดี อาหารตระกูลใดน่ารับประทาน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นบทสนทนาของเหล่าสตรีชนชั้นสูง
หากเย็บปักถักร้อยไม่เป็น ไร้เสน่ห์ปลายจวัก เช่นนั้นจะถูกมองว่าไม่อาจดูแลครัวเรือนได้ แม้จะเป็นสตรีชนชั้นสูงก็ยากจะออกเรือน
ทันทีที่มั่วเชียนเสวี่ยพูดออกมา ก็ทำให้เหลียงหมัวมัวตกตะลึงอย่างมาก
ตระกูลใดมีสูตรอาหารรสเลิศ มีหรือที่จะไม่หวงเหน เห็นสูตรอาหารเป็นมรดกล้ำค่า มีผู้ใดบ้างที่จะเอ่ยปากสอนผู้อื่นอย่างง่ายดายเหมือนมั่วเชียนเสวี่ยเช่นนี้
ทว่า ขนมนี้ เหลียงหมัวมัวก็ชิมไปแล้วหนึ่งคำ
ขนมสีแดงชิ้นนั้น ใช้ช้อนค่อยๆ ตักออกมาหนึ่งคำ กินเข้าไป ไม่จำเป็นต้องเคี้ยวแต่อย่างใด เพียงอมเอาไว้ในปากไม่นานก็ละลายแล้ว ทิ้งกลิ่นหอมอ่อนๆ ไว้ระหว่างริมฝีปากและปลายลิ้น ดื่มด่ำรสชาติ กลิ่นหอมของเนยตลบอบอวลไปทั่วทั้งปาก ทั้งหวาน ทั้งหอม
ขนมสีเหลืองอ่อน ตอนที่กินเข้าไปนุ่มมาก หอมฟุ้งไปทั่วจมูก ในชั่วพริบตาก็กลืนเม็ดเกาลัดมันวาวไปพร้อมกับเนย เนยรสหวานไม่ทำให้เลี่ยนแม้แต่น้อย มีรสหวานอ่อนๆ ไม่ว่าผู้ใดได้ชิม อดใจไม่ได้ที่จะกินอีกคำแน่นอน
ขนมสีขาว กินเข้าไป ครีมเย็นละลายอย่างรวดเร็ว เคล้าไปด้วยกลิ่นหอมชีสอ่อนๆ ที่แสนยั่วยวนชวนน้ำลายสอ ในความนุ่มมีรสหวานแทรกมาด้วย ช่างเอร็ดอร่อยยิ่งนัก!
ขนมทั้งสามสีนี้ แม้กระทั่งเซียงเตี่ยนจวีร้านขนมที่อร่อยที่สุดในเมืองเทียนเซียงก็ไม่อาจทำได้
นี่ต้องเป็นมรดกตกทอดของตระกูลแน่นอน ขนมหวานอร่อยๆ เช่นนี้ หากคุณหนูใหญ่ทำเป็นละก็ วันข้างหน้าอยู่บ้านสามี ต้องเป็นที่รักของพ่อแม่สามีแน่นอน เป็นที่เชิดหน้าชูตาของตระกูล
“นี่เป็นฝีมือเฉพาะด้านของเชียนเสวี่ย ชิงโยวจะหน้าด้านเรียนได้อย่างไร หากท่านย่าอยากจะรับประทาน คราวหน้าชิงโยวสั่งให้บ่าวไปซื้อที่ร้านอาหารของเจ้าก็สิ้นเรื่อง” เจี่ยนชิงโยวเองก็เคยกินขนมนี้เหมือนกัน นางกล่าวปฏิเสธอ้อมๆ
“ขนมนี้ต้องทำด้วยความพิถีพิถันยิ่งนัก วัตถุดิบที่ใช้ราคาสูงลิ่ว ใน食馆ไม่มีขาย ในเมื่อเหล่าไท่จวินชื่นชอบ หากชิงโยวคิดว่างานในครัวยุ่งยากจนเกินไป เช่นนั้นให้สาวใช้มาฝึกทำก็ได้”
เหลียงหมัวมัวกลัวเจี่ยนชิงโยวจะปฏิเสธอีกครั้ง จึงโน้มน้าว “หนิงเหนียงจื่อก็แค่หวังดี ยามนี้เหล่าไท่จวินชอบกินขนมนี้ยิ่งนัก แน่นอนว่าคุณหนูต้องฝึกทำขนมด้วยตนเอง ถึงจะเป็นการแสดงความกตัญญูไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
เมื่ออ้างถึงความกตัญญู เป็นธรรมดาที่เจี่ยนชิงโยวไม่อาจปฏิเสธอีกต่อไป
พวกนางเสวนากันครู่หนึ่ง แล้วลุกขึ้น
ตอนที่เหลียงหมัวมัวมานั้น นางพาสาวใช้มาด้วยสองคน
ก่อนหน้านี้เจี่ยนชิงโยวพาหยวนหมัวมัวออกไปเดินเล่นในสวนโดยมีสาวใช้ติดตามไปด้วยสองคน ครั้งนี้ไปเยี่ยมเหล่าไท่จวินกลับพาสาวใช้ไปถึงสี่คน
คนกลุ่มหนึ่ง มุ่งหน้าไปยังเรือนฉือหยางอย่างโออ่าผ่าเผย…ซึ่งเป็นเรือนที่พักของเหล่าไท่จวิน
เพิ่งเดินเข้าไปในเรือน ก็ได้ยินเสียงถ้วยชาตกแตกดังออกมาจากในห้อง
ตามด้วย เสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวของพวกสาวใช้
“เหล่าไท่จวิน…”
ด้านในมีเสียงเอะอะโวยวายอย่างต่อเนื่อง
เหลียงหมัวมัววิ่งเข้าไปเป็นคนแรก “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
ทว่า หลังจากเหลียงหมัวหมัวเข้าไปด้านใน ยังไม่ทันกล่าวจบ ทุกคนในเรือนต่างนิ่งงัน
เสียงเอ่ยถามสั่นเครือและเสียงสะอื้นของผู้คนที่ตื่นตกใจเลือนหายไป ถูกแทนด้วยเสียงเคร่งขรึมของเหลียงหมัวมัว
“เหล่าไท่จวินฟังสิ่งที่นางพูด จึงเรียกลี่อี๋เหนียง จากนั้น…”
“จากนั้น โมโหจนโยนถ้วยน้ำชาทิ้ง แล้วทันใดนั้นเองเหล่าไท่จวินก็ลุกพรวดขึ้นมา แล้ว…แล้วก็เป็นเช่นนี้…”
“เหล่าไท่จวินข้ออักเสบหรือ…”
“ยังยืนเซ่ออยู่ทำไม ไม่รีบไปตามหมอหวังมาอีก”
“ใครก็ได้ มัดตัวนางสารเลวสองคนนี้ที”
“ขอรับ”
เหมือนได้ยินว่าท่านย่าป่วยเป็นโรคข้ออักเสบ เจี่ยนชิงโยววิ่งเข้าไปด้านในห้องด้วยความกังวล มั่วเชียนเสวี่ยเดินตามหลัง
โรคข้ออักเสบไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ในตอนนั้นมีคนนับไม่ถ้วนต้องตายเพราะโรคนี้ แม้จะโชคดีช่วยชีวิตเอาไว้ได้ ก็เป็นอัมพฤกษ์อัมพาต พูดไม่รู้ความ นอนซมอยู่บนเตียงไม่อาจควบคุมแขนขาได้ ไม่ต่างจากคนตาย
สาวใช้ที่ตามหลังเจี่ยนชิงโวยเข้ามาในห้องด้วยความลนลาน เห็นเพียงเหลียงหมัวมัวทรุดตัวบนพื้น พยายามใช้มือพยุงเจี่ยนเหล่าไท่จวินที่นอนอยู่
“พวกเจ้ายังไม่รีบมาช่วยกันอีก พยุงเหล่าไท่จวินขึ้นไปบนตั่งไม้เร็วเข้า!”
เจี่ยนเหล่าไท่จวินชักกระตุก ปากเบี้ยวทั้งยังมีน้ำลายไหลออกมา…
ความคิดมากมายแล่นเข้ามาในสมองมั่วเชียนเสวี่ย
เหล่าไท่จวินโมโหเดือดพล่าน หลังจากนั้นลุกขึ้น แล้วล้มลง…แล้วก็กลายเป็นเช่นนี้!
[1] ขิงแก่ย่อมเผ็ด ผู้สูงอายุย่อมมีความรู้ประสบการณ์ในชีวิตมากกว่าหนุ่มสาว