“เขาเข้ามารับตัวข้าไว้ ในตอนนั้นกลีบดอกท้อร่วงหล่นลงมาจากฟ้า เขาสวมชุดอาภรณ์สีขาว ดูราวกับเทพเซียนที่ถูกทัณฑ์สวรรค์ให้ต้องมาจุติยังโลกมนุษย์ก็มิปาน…จนข้าเผลอคิดไปว่าตัวเองอาจจะกำลังอยู่บนสรวงสวรรค์ก็เป็นได้…”
นางเพียงแค่อธิบายถึงฉากยามเมื่อพบกันในครานั้น แต่น้ำเสียงกลับแผ่วเบา สีหน้าดูเฉยเมยอย่างยิ่ง คล้ายกับว่าเรื่องที่นางเพิ่งเล่าไปไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตนเองเพียงสักเสี้ยวกระผีก อย่างไรก็ตาม มั่วเชียนเสวี่ยกลับจับอารมณ์ลึกๆ ที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของนางได้
ดูท่าอีกฝ่ายจะตกหลุมรักคนผู้นั้นเข้าให้เสียแล้ว แถมยัง…รักลึกซึ้งไปจนถึงกระดูกอีกด้วย!
หลังจากฟังที่นางเล่าจบและไตร่ตรองอยู่สักพัก คิดว่าด้วยนิสัยของเจี่ยนชิงโยวคงไม่ถือสาหาความกระมัง จึงได้ถามออกไปตรงๆ ว่า “เจ้าตกหลุมรักชายผู้นั้นแล้วใช่หรือไม่”
สีหน้าหม่นหมองของเจี่ยนชิงโยวแข็งค้างไปแทบจะในทันที ผ่านไปครู่ใหญ่ ถึงได้สติแล้วถามกลับไปว่า “ชัดเจนถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”
มั่วเชียนเสวี่ยหัวเราะแล้วตอบกลับไปว่า “ยิ่งกว่าชัดเจนเสียอีก”
นางเงียบไปชั่วขณะ ทันใดนั้นก็หลุดหัวเราะออกมา รอยยิ้มที่สดใสงดงามราวกับดอกไม้บานสะพรั่งทำเอาคนที่มองอยู่ตาพร่า รอยยิ้มอันเจิดจ้านี้ ทำให้นางที่คล้ายกับถูกผ้าหลายชั้นพันห่อเอาไว้ดูสดใสและมีชีวิตชีวาขึ้นหลายส่วน
เจี่ยนชิงโยวมองไปที่ภาพดอกท้อบนผนังราวกับหวนคืนสู่ฉากเมื่อวันวาน “ใช่แล้ว ข้าชอบเขา”
จากนั้นก็หันกลับมามองมั่วเชียนเสวี่ยที่อยู่ข้างๆ อย่างกระวนกระวายใจ แต่เมื่อเห็นว่าสีหน้าของอีกฝ่ายไร้ซึ่งการดูหมิ่น นางก็มีกำลังใจมากขึ้น
นางหันกลับไปมองภาพดอกท้อภาพนั้นอีกครา ทว่าในครั้งนี้มันเนิ่นนานและลึกซึ้งยิ่งขึ้นกว่าเก่า ดวงตาเรียวกวาดมองภาพดอกท้อและหญิงงามที่กำลังร่ายรำอยู่ในภาพวาด รอยยิ้มหวานหยดและอ่อนโยนขึ้นอย่างไม่รู้ตัว เพียงเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ ว่า “ข้าไม่เคยได้ยินเสียงขลุ่ยที่ไพเราะเช่นนี้มาก่อนเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น มองข้าในขณะที่กำลังเป่าขลุ่ย หัวใจของข้าไม่เคยเต้นเร็วขนาดนี้มาก่อน ข้าจึงเริ่มหมุนตัวไปรอบๆ ตัวเขาและร่ายรำตามเสียงดนตรี”
“ฉากนั้นจะต้องงดงามมากเป็นแน่”
“ข้าก็คิดว่าเจ้าจะด่าข้าว่าเป็นหญิงไร้ยางอายเสียอีก”
“เหตุใดเจ้าจึงคิดเช่นนั้น ข้าชื่นชมเจ้ามากเลยนะ!” สตรีในยุคโบราณไม่กล้าไล่ตามความรักของตัวเอง พวกนางจึงได้แต่กดความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้ แต่เจี่ยนชิงโยวนั้นต่างออกไป นั่นทำให้มั่วเชียนเสวี่ยยิ่งประทับใจนางมากขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้นด้วยสายตาของนางแล้ว ชายผู้นั้นจะต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ
เจี่ยนชิงโยวสัมผัสได้ถึงความจริงใจในน้ำเสียงของอีกฝ่าย ยามนี้ใบหน้างามจึงเต็มไปด้วยรอยยิ้มกว้าง แววตาเปล่งประกายเปี่ยมไปด้วยความยินดีและตื่นเต้น “ข้าไม่เคยเห็นชายคนไหนยิ้มได้น่ามองเช่นนั้นมาก่อนเลย ดูคล้ายกับว่ากำลังยิ้มอยู่ แต่ขณะเดียวกันก็เหมือนไม่ใช่ ดูคล้ายกับว่าเมินเฉยไม่สนใจต่อสิ่งใด แต่ข้ากลับสัมผัสได้ถึงเปลวไฟร้อนระอุที่ปะทุลุกโชนออกมาจากตัวเขาอย่างชัดเจน”
หลังจากที่นางพูดจบ ใจก็คล้ายกับล่องลอยไปไกลถึงป่าท้อแห่งนั้นที่ทำให้นางต้องสูญเสียหัวใจของตัวเองไป
ทั้งพร่ำเพ้อ และรอคอย…
บรรยากาศในห้องเงียบไปครู่หนึ่ง
ความรัก! มั่วเชียนเสวี่ยรู้ นางเข้าใจดีด้วยตัวเองยามนี้ก็กำลังสัมผัสกับมันอยู่เช่นกัน อย่างไรก็ตามนางก็ยังอดไม่ได้รู้สึกประทับใจกับมันอีกครั้ง
ไม่ว่าทางข้างหน้าจะมีอุปสรรคใด ในตอนนี้เจี่ยนชิงโยวกำลังตกอยู่ในห้วงรัก นางทั้งทุกข์และสุขเพราะความรักของตัวเอง คงมีเพียงคนที่เคยมีความรักเท่านั้นกระมัง ถึงจะรู้ซึ้งถึงรสชาติหวานอมเปรี้ยวนั้น
มั่วเชียนเสวี่ยยิ้ม
เมื่อเจี่ยนเชียนโยวได้เห็นรอยยิ้มของอีกฝ่าย นางถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองเสียมารยาทมากไปแล้ว เพราะคำพูดนั้นเป็นคำพูดที่นางอยากจะพูดออกไปนานมากแล้วแต่ก็ไม่มีโอกาสเสียที ไม่รู้ทำไมวันนี้ถึงได้กล้าพูดออกไปอย่างคิดหน้าคิดหลังเช่นนั้น
จู่ๆ นางก็รู้สึกเขินอายขึ้นมา ใบหน้างามที่ขึ้นสีแดงก่ำเบือนหนีไปอีกทาง
แม้ตลอดการสนทนาเจี่ยนชิงโยวจะไม่ได้เอ่ยถึงชื่อและแซ่ของบุรุษผู้นั้น แต่มั่วเชียนเสวี่ยรู้ดีว่านางหมายถึงซินอี้หมิง ชุดอาภรณ์สีขาว ขลุ่ยหยก และบุคลิกเช่นนั้น กวาดตามองไปทั่วทั้งเมืองเทียนเซียงแห่งนี้ก็มีแต่เขาเท่านั้นแหละที่เข้าข่าย
แต่ก็คงมีเพียงชายที่อ่อนโยนและโดดเด่นเช่นเขาเท่านั้นกระมังที่คู่ควรกับความรักอันบริสุทธิ์ของนาง
มั่วเชียนเสวี่ยจ้องไปที่คนขี้อายและเอ่ยว่า “เขาเอง ก็มีเจ้าอยู่ในหัวใจเช่นกัน”
“ข้ารู้!” เจี่ยนชิงโยวหันกลับมามองนาง ไม่ได้ถามออกไปว่าเหตุใดนางถึงได้มั่นใจในคำตอบนี้มากนัก เพียงแต่เห็นรอยยิ้มเจิดจ้าสว่างไสวราวกับแสงอาทิตย์ยามเช้า สีหน้าของนางดูภาคภูมิใจอย่างถึงที่สุด
ทว่ารอยยิ้มและเสียงหัวเราะอยู่ได้ไม่นาน จากนั้นมันก็ค่อยๆ สลายไปจากใบหน้างาม แปรเปลี่ยนเป็นความเงียบและห่อเหี่ยว
จริงอย่างที่คิดไว้สินะ…
นางกล่าวว่า “แต่ท่านย่า ท่านพ่อและท่านแม่ล้วนไม่ต้องการให้ข้าแต่งงานกับเขา”
“เพราะเหตุใด” มั่วเชียนเสวี่ยรีบถามกลับไป ทั้งสองตระกูลเรียกได้ว่าเหมาะสมกันทั้งฐานะและจุดยืนทางสังคม เป็นเสมือนดั่งคู่กิ่งทองใบหยก ตระกูลเจี่ยนเป็นตระกูลสูงศักดิ์ ในขณะที่ตระกูลซินเองก็ไม่น้อยหน้าเป็นถึงตระกูลใหญ่เจ้าถิ่น พวกเขาทั้งคู่ล้วนเป็นชนชั้นระดับหนึ่ง
นางขมวดคิ้วและพูดว่า “ภูมิหลังทางครอบครัวของเขาไม่ดีน่ะ”
“จะไม่ดีได้อย่างไร ตระกูลซินไม่ใช่ว่าก็เป็นตระกูลอันดับต้นๆ ของเมืองเทียนเซียงหรอกหรือ”
“จริงอยู่ที่ชื่อเสียงของตระกูลซินในเมืองเทียนเซียงแห่งนี้นั้นไม่เลวเลย แต่เมื่อเทียบกับทั้งเทียนฉีแล้ว กลับไม่ควรค่าให้กล่าวถึงสักนิด ตระกูลของเขาไม่มีรากฐานที่มั่นคง อย่างมากที่สุดก็เป็นได้แค่ผู้ดีใหม่ นอกจากนี้ในรายละเอียดที่ลงลึกไป พวกเขายังเรียกตัวเองว่า ‘สูงศักดิ์’ ได้ไม่เต็มปากด้วยซ้ำ แล้วแบบนี้จะเป็นตระกูลที่ดีในสายตาของท่านย่าและท่านพ่อได้อย่างไร”
“เช่นนั้นแล้วจะทำอย่างไรเล่า เขาไม่เคยมาสู่ขอเจ้า ไม่เคยคิดหาทางออกอื่นเลยหรือ”
“เขาเคยมาสู่ขอข้าหลายครั้งแล้ว ส่วนทางออกน่ะหรือ…เคยคิดสิ ทำไมเขาจะไม่คิด เพียงแต่ภูมิหลังของตระกูลเขานั้นต่ำต้อยเกินไป เจ้าก็น่าจะรู้ บุตรีสายตรงของตระกูลใหญ่คู่ควรแต่เฉพาะบุตรสายตรงจากตระกูลสูงศักดิ์เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น สถานะของข้าคือบุตรีสายตรงคนโต ยืนอยู่ในตำแหน่งที่สำคัญและล้ำค่าที่สุดของตระกูลตระกูลเจี่ยน คู่ครองย่อมไม่อาจเลือกโดยส่งเดชได้ ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่าข้าที่อายุใกล้จะสิบแปดปีเต็มแล้วเหตุใดถึงยังไม่ได้ออกเรือนกัน”
เจี่ยนชิงโยวเผยรอยยิ้มเศร้าสร้อย
ด้วยสถานะอันสูงส่งของนาง แต่เดิมนางควรจะรู้สึกรุ่งโรจน์และภาคภูมิใจไปกับมันด้วยซ้ำ ทว่าตอนนี้มันกลับกลายหินทับเท้า ทำให้เจี่ยนชิงโยวไม่อาจสมหวังในรัก
หญิงสาวสองคนที่แบ่งปันเรื่องราวความรักต่อกันมักจะสนิทสนมกันมาก มั่วเชียนเสวี่ยเอื้อมมือออกไปกุมมืออีกฝ่ายไว้อย่างต้องการให้กำลังใจ
นี่ก็คือความโหดร้ายของสังคมในยุคสมัยอดีต นางอยากจะกล่าวปลอบใจออกไปอีกสักสองสามประโยค แต่ก็รู้สึกว่าช่างไร้กำลังเหลือเกิน
หรือนางควรจะยุยงให้หญิงสาวผู้แสนดีเพียบพร้อมเช่นนางรู้จักวิธีการหนีตามกันไปดี จากนั้นก็ทำลายชื่อเสียงของนางทั้งชีวิต? หรือจะปล่อยให้นางร้องไห้ สร้างปัญหา และผูกคอตัวเองดั่งสตรีไร้การศึกษาเพื่อข่มขู่ผู้อาวุโสในตระกูล?
ทั้งสองจับมือกันและเงียบไปครู่หนึ่ง
เมื่อนึกถึงร่างกายของหนิงเซ่าชิง ดวงตาของมั่วเชียนเสวี่ยก็พลันเศร้าขึ้นมา ตอนนี้ก็ผ่านมาสองสามเดือนแล้วจากเส้นตายสองปี ครั้นฤดูใบไม้ผลิปีหน้ามาถึง กิจการของนางคงจะลงตัวเป็นไปได้ด้วยดีแล้วกระมัง ถึงเวลานั้นนางจะออกท่องใต้หล้าเสาะแสวงหาหมอมาเพื่อรักษาเขาโดยเฉพาะ
“เจ้าเล่า ชอบเขาหรือไม่” เจี่ยนชิงโยวเปลี่ยนหัวข้อสนทนาและหันไปมองมั่วเชียนเสวี่ย ซึ่ง ‘เขา’ ในที่นี้ย่อมต้องหมายถึงหนิงเซ่าชิง
หัวใจของมั่วเชียนเสวี่ยกระตุก นางไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี ขณะที่กำลังลังเล เสียงของสาวใช้ก็ดังมาจากข้างนอกว่า “เหลียงหมัวมัว ลมอะไรพัดท่านมาถึงที่นี่ได้เล่า”
“พวกเจ้าหลายคนไม่เข้าไปยืนรอปรนนิบัติอยู่ในห้อง ออกมายืนข้างนอกทำไม”
เสียงเอะอะโวยวายของหลายคนข้างนอกกระชั้นเข้ามาทุกที หยวนหมัวมัวเดินเข้ามาในห้องอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเดินอ้อมไปยืนอยู่ด้านหลังเจี่ยนชิงโยวแล้วช่วยประคองนางยืนขึ้น
เหลียงหมัวมัวผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดาเลย นางเป็นคนข้างกายที่เหล่าไท่จวินไว้วางใจมากที่สุด
ในปีนั้น เคยได้ยินมาว่านายท่านเหล่าไท่จวินพอใจเหลียงหมัวมัว เหล่าไท่จวินจึงลองหยั่งเชิงเสนอตำแหน่งสาวใช้ห้องข้างให้นาง พร้อมกับรับปากว่าหากมีทายาทเมื่อไหร่ก็จะยกสถานะของนางขึ้นมาทันที ทว่านางกลับคุกเข่าลง ใช้ปิ่นจ่อไปที่คอตัวเองแล้วอ้อนวอนต่อหน้าเหล่าไท่จวินว่าชีวิตนี้สาบานจะไม่แต่งงานเด็ดขาด ให้ยกเลิกความคิดนี้ด้วย
ซึ่งความจริงก็ได้พิสูจน์ให้นางเห็นแล้วว่าการตัดสินใจของนางนั้นถูกต้อง
ในปีนั้น สาวใช้ห้องข้างที่เลื่อนสถานะขึ้นมาเป็นอี๋เหนียงได้มีเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่เพราะหลังจากให้กำเนิดทายาทนางก็ป่วยกระเสาะกระแสะ จึงไม่เป็นที่โปรดปรานอีกต่อไปและเสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย
หลังจากที่ถูกห้ามไม่ให้คารวะเจี่ยนชิงโยว แต่เหลียงหมัวมัวก็ไม่ยืนกรานทำอีก หลังจากพูดคุยถามสารทุกข์สุกดิบกับเจี่ยนชิงโยวไม่กี่คำแล้ว สายตาของนางถึงปลายมาทางมั่วเชียนเสวี่ย
“นี่…คงเป็นหนิงเหนียงจื่อกระมัง เหล่าไท่จวินได้กินขนมที่เจ้านำมาฝากแล้ว ชื่นชมนักหนาว่าอร่อยถูกปากนัก จึงส่งข้ามามอบของกำนัลให้เจ้าเป็นการส่วนตัว” เหลียงหมัวมัวหยิบกล่องจากสาวใช้ที่อยู่ข้างหลังแล้วยื่นมันให้กับมั่วเชียนเสวี่ย
มั่วเชียนเสวี่ยรับมันมาด้วยความเคารพพลางกล่าวขอบคุณออกไป “ของที่ท่านผู้อาวุโสมอบให้เชียนเสวี่ยไหนเลยจะกล้าปฏิเสธไม่ยอมรับ เชียนเสวี่ยขอบคุณในความกรุณาของเหล่าไท่จวิน และก็ขอบคุณเหลียงหมัวมัวด้วยที่อุตส่าห์เป็นธุระเดินมาให้ถึงที่นี่ด้วยตัวเอง”