อีกอย่าง นางต้องการพื้นที่ขนาดใหญ่ ที่ดินใหญ่ขนาดนั้น เกรงว่าต้องใช้เงินพันถึงสองพันตำลึงจึงจะซื้อได้
แรงคน?
ปัญหานี้ง่ายนัก ตอนนี้นางมีชื่อเสียงเรียงนามที่ดีในหมู่บ้านหวังจยาแล้ว คนงานในโรงงานเต้าหู้จ้างมาหลายเดือนแล้ว ไม่เคยค้างค่าแรงพวกเขามาก่อน
คนที่มาของานทำที่โรงงาน มีให้เห็นทุกวัน เพียงแต่แค่ถูกอาซ้อฟางไล่ไปหมดก็เท่านั้น
สิ่งสำคัญในตอนนี้คือจัดการเรื่องที่ดิน
สถานที่ตั้งโรงงาน ประการแรกต้องแดดดี ถั่วที่นำมาทำซีอิ๊วต้องตากแดด หากไม่มีแดดแล้วจะทำซีอิ๊วที่ดีออกมาได้อย่างไร
ประการที่สองต้องมีแหล่งน้ำ
ประการที่สามต้องเป็นพื้นเรียบ ขนาดใหญ่
ประการที่สี่ต้องไม่ห่างจากท่าเรือ
ประการที่ห้า…
ตลอดสิบกว่าวันที่ผ่านมานี้อาอู่ขับเกวียน พามั่วเชียนเสวี่ยตะลอนไปรอบหุบเขานับสิบลูกที่อยู่ละแวกนี้ เขาไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดเจ้านายของตนจึงไม่เกลี้ยกล่อมให้ฮูหยิงอยู่เรือน หากเพื่อเงิน เจ้านายขาดแคลนเงินเช่นนั้นหรือ…
ในที่สุดนางก็เจอหุบเขาที่ถูกใจ
แสงแดดเพียงพอ ที่ไม่ห่างจากหุบเขานั้นมีแอ่งน้ำอยู่ ทั่วทั้งหุบเขาเป็นพื้นเรียบ ขนาดก็ไม่เล็ก ทั้งห่างจากท่าเรือไม่ไกลอีกด้วย
หุบเขาขนาดใหญ่เช่นนี้ ด้านในกลับว่างเปล่า ไม่มีต้นไม้สูงใหญ่บดบังแสงแดด ไม่มีวัชพืช มองเห็นได้ในคราวเดียว ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าหุบเขาลูกนี้ต้องมีคนคอยดูแลเป็นพิเศษแน่นอน
เพียงไม่รู้ว่าคนผู้นั้นเหลือพื้นที่กว้างเช่นนี้ไว้ทำอะไร
มั่วเชียนเสวี่ยยืนคิดอยู่ตรงนั้น ทำเช่นไรจึงจะรู้ว่าผู้ใดเป็นเจ้าของที่ดินผืนนี้
มีคนขี่ม้าพุ่งตรงมา อาอู่รีบยืนขวางอยู่ด้านหน้านาง
เห็นพวกเขาสองคน ชายหนุ่มที่อยู่บนม้าพูดขับไล่อย่างไม่เกรงใจ “ที่ดินแห่งนี้เป็นผืนดินส่วนตัว เชิญพวกเจ้ารีบไปจากที่นี่เสีย”
ฟังน้ำเสียงของเขา มองการแต่งตัวของเขา น่าจะเป็นคนเฝ้าเรือน
หุบเขาแปลกประหลาดเช่นนี้ หากไม่มีเจ้าของที่แปลกประหลาด เช่นนั้นคงแปลกยิ่งกว่า สำหรับการเสียมารยาทของเขา มั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้สนใจ นางพูดออกไปตามตรง “นายของเจ้าอยู่ที่ใด พาข้าไปพบเขาหน่อย”
“ประทานโทษ นายของข้าสั่งเอาไว้แล้วว่าไม่รับแขก”
“เช่นนั้นเจ้าช่วยบอกนายของพวกเจ้าเสียหน่อย ข้าอยากจะซื้อหุบเขาลูกนี้” พูดโวซื้อขายไปก่อนเพื่อเป็นการล่อเหยื่อ รอให้เจอเจ้าของที่ค่อยว่ากัน
“นายของข้าบอกเอาไว้แล้ว หุบเขาลูกนี้ไม่ขายและไม่ให้เช่า พวกเจ้าทั้งสองรีบออกไปเถอะ”
ไม่ขายและไม่เช่า! ถูกปิดทุกช่องทาง?
คนอะไร จองหองเสียจริง แม้แต่ลูกน้องก็พูดจาหยาบคายเช่นนี้ มั่วเชียนเสวี่ยลูบจมูก จากแววตาของชายหนุ่มบนหลังม้านางมองไม่เห็นความเป็นไปได้ที่จะเจรจาแม้แต่น้อย
อาอู่เห็นชายหนุ่มคนนั้นเสียมารยาทกับฮูหยิน โมโหยิ่งนัก เดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าว พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “หากพวกเราไม่ไป เจ้าจะทำเช่นไร”
เป็นเรื่องยากกว่าฮูหยินจะถูกใจที่ดินผืนนี้ ประลองกับเขาสักรอบหนึ่งก็ไม่เป็นเช่นไร ไม่แน่อาจจะล่อให้นายของเขาที่ซ่อนตัวอยู่ออกมาก็ย่อมได้ แค่ที่ดินผืนหนึ่งไม่ใช่หรือ
ชายหนุ่มที่อยู่บนหลังม้าไม่กลัว เหยียดตัวตรง มือจับดาบที่อยู่ตรงเอว ชักดาบออกมาทันที
มั่วเชียนเสวี่ยเห็นท่าไม่ดี กระแอมไอหนึ่งครั้ง ดึงอาอู่ “ในเมื่อนายของเขาไม่สะดวก เช่นนั้นเราก็ไม่ควรอยู่นาน รบกวนเจ้าแล้ว”
พูดจบ นางหมุนตัวหันหลังขึ้นไปบนเกวียน อาอู่ยังคงเผชิญหน้ากับชายหนุ่ม นางพูดเช่นนั้นออกไป ทำให้บรรยากาศสงครามที่ก่อตัวขึ้นคลายไปมาก
“อาอู่” มั่วเชียนเสวี่ยรบเร้า อาอู่จึงถอยหลังสองก้าว หมุนตัวหันหลังกระโดดขึ้นเกวียน แล้วขับเกวียนออกจากหุบเขา
แน่นอนมั่วเชียนเสวี่ยไม่ใช่คนที่ถอดใจง่ายเช่นนี้ ในพจนานุกรมของนางไม่มีคำว่าพ่ายแพ้ทั้งที่ยังไม่ได้สู้
กลยุทธ์หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า
ตอนที่เกวียนเพิ่งขับออกจากหุบเขา มั่วเชียนเสวี่ยสั่งให้อาอู่ไม่ต้องสนใจนาง บอกให้เขาลอบสะกดรอยตามชายหนุ่มขี่ม้าคนนั้น สืบดูว่าเจ้าของหุบเขาอยู่ที่ใด
นางรู้ดีว่าวิชาตัวเบาของอาอู่ไม่ธรรมดา
ทว่าอาอู่ยืนกรานจะส่งนางถึงร้านอาหารก่อนแล้วค่อยออกไปสืบ หากทิ้งฮูหยินเอาไว้กลางป่าเพียงลำพัง เจ้านายคงจะตัดหัวของเขาออกมาเตะเล่นเป็นแน่
เหตุที่เจ้านายวางใจให้ฮูหยินเดินทางไปทั่วทุกแห่ง นั่นเป็นเพราะมีเขาคอยติดตาม คอยปกป้อง
ปกติอาอู่เชื่อฟังมาก มั่วเชียนเสวี่ยคิดไม่ถึงว่าเวลาคับขันเช่นนี้กลับดื้อดึง คิดขึ้นได้ว่านางที่เป็นเพียงสตรีอยู่กลางป่าตามลำพัง ก็ไม่ปลอดภัยเท่าใด จึงทำตามที่เขาต้องการ โชคดี ที่นี่ห่างจากร้านอาหารไม่มาก
เวลาสายมากแล้ว จวี๋เหนียง อวิ๋นเหนียงจื่อและเสี่ยวเหลยเก็บของเรียบร้อยแล้วกำลังเตรียมตัวกลับ อาอู่ยกเกวียนให้เสี่ยวเหลย ให้เขาส่งมั่วเชียนเสวี่ยกลับไป ส่วนตนหายไปอย่างรวดเร็ว ไม่เห็นแม้แต่ร่องรอย
หวังเสี่ยวเหลยมองอาอู่ที่หายไปด้วยความอิจฉา ตั้งแต่อาซานและอาอู่มา คนในหมู่บ้านเคารพหนิงเซ่าชิงมากขึ้นไม่น้อย นี่เป็นเรื่องในตอนหลัง
มั่วเชียนเสวี่ย จวี๋เหนียงและอวิ๋นเหนียงจื่อล้วนนั่งอยู่บนเกวียน ทว่าหวังเสี่ยวเหลยกลับต้องจูงวัวบนทางหุบเขาด้วยความขมขื่น เขาสาบานในใจว่าต้องฝึกขับเกวียนให้ได้
สตรีสามนางหนึ่งฉากละคร
จวี๋เหนียงเป็นคนพูดน้อย แตกต่างกับอวิ๋นเหนียงจื่อ นางพูดมากไม่ต่างจากอาซ้อจางภรรยาของจางเกินเป่า
ตอนแรกที่นั่งบนเกวียนกับมั่วเชียนเสวี่ย นางวางตัวระมัดระวังเล็กน้อย เมื่อเห็นมั่วเชียนเสวี่ยใจดี ก็เริ่มนินทาเรื่องของตระกูลนั้นตระกูลนี้ให้ฟัง พูดตลอดทางไม่หยุด
เกวียนไปถึงหุบเขาด้านหลังหมู่บ้านหวังจยา ห่างจากหมู่บ้านไม่ไกลแล้ว
จวี๋เหนียงเป็นคนตาแหลมคม ชี้ไปยังรถม้าที่อยู่ในป่าแล้วพูด “เอ๊ะ! นั่นไม่ใช่รถม้าของพวกตระกูลเถี่ยจู้หรือ เหตุใดจึงมาจอดอยู่ที่นั่น”
ทุกคนมองไปตามมือนาง ที่นั่นมีรถม้าจอดอยู่คันหนึ่งจริงๆ แค่ว่าม้าถูกผูกเอาไว้ด้านข้างและกำลังกินหญ้า ด้านในรถม้ากลับสั่นไหว
“น้องเกินเป่าที่เป็นสารถีหายไปไหน เหตุใดจึงทิ้งรถม้าเอาไว้ไม่ไยดี”
“จริงด้วย อีกทั้งรถม้าก็ยังสั่นไหว…”
“หรือจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าไปดูหน่อย” หวังเสี่ยวเหลยปล่อยเชือกวัวในมือ แล้วเดินไปทางนั้นด้วยความไม่สบายใจ
“ข้าไปดูด้วยคน” อวิ๋นเหนียงจื่อกระโดดลงจากเกวียน นางเป็นคนพูดมาก แน่นอนว่าต้องเป็นคนช่างสงสัย นางยิ้มแล้วเดินตามหลังหวังเสี่ยวเหลยไป อยากจะดูว่าเกิดอะไรขึ้น
ทั้งสองเดินเข้าไปใกล้รถม้า ยังไม่ทันเข้าไปใกล้ก็ได้ยินเสียงครางของบุรุษและสตรี เสียงนั้นคล้ายอดกลั้นเอาไว้ และคล้ายสุขสมอย่างมาก
อวิ๋นเหนียงจื่อหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาทันที อยากจะจับมือหวังเสี่ยวเหลยแล้วเดินถอยหลัง คว้าเอาไว้ไม่ทัน หวังเสี่ยวเหลยเดินไปด้านหน้าด้วยความร้อนใจ เปิดม่านรถม้า
บนรถม้ามีชายหญิงคู่หนึ่งกำลังทำสงคราม
รถม้ากระเพื่อมขึ้นลง หัวใจของหวังเสี่ยวเหลยเต้นตามไปด้วย
ผิวขาวเนียนที่กระเพื่อมขึ้นลงสะท้อนเข้ามาในตาของอวิ๋นเหนียงจื่อ
หวังเสี่ยวเหลยปล่อยม่านที่อยู่ในมือ ปิดตา หมุนตัวหันหลัง หน้าแดงก่ำ…ต่อให้เป็นคนโง่ หากเห็นฉากนั้นก็ดูออกว่าพวกเขากำลังทำอะไร
เขาหยุดชะงักที่นั่นจะถอยก็ไม่ใช่ จะเดินเข้าไปก็ไม่ถูก ตกอยู่ในอาการใบ้รับประทาน!
ทั้งสองที่กำลังออกกำลังกายอยู่นั้น อยู่ในช่วงคับขัน จะทันได้สังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวได้อย่างไร เวลานี้ แม้ฟ้าถล่มลงมา ทั้งสองก็ไม่สนใจทั้งนั้น