มั่วเชียนเสวี่ยเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ถูกนวดแบบนี้ จึงหลับสนิท
หนิงเซ่าชิงทำได้เพียงถอนหายใจ กอดนางเอาไว้ แล้วภาวนาอยู่เงียบๆ
เช้าวันที่สอง มั่วเชียนเสวี่ยเปิดประตูห้อง
ภาพตรงหน้าทำให้นางตกใจ
หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก ชายหกคนยืนเรียงกันเฝ้าอยู่หน้าประตูห้อง
อาซานและอาอู่ ทั้งสองยืนคนละข้างด้วยสีหน้าเยือกเย็น
ถงจื่อจิ้งนั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าประตูห้อง ด้านหลังมีถงจั่น ถงผิง ถงอันสามคน
มั่วเชียนเสวี่ยก่ายหน้าผากพูดไม่ออก ผู้อื่นมีสองขุนพลเฮิงฮา แต่นางคือหกขุนพลเฮฮาในตำนานหรือ
“พี่ พี่ตื่นแล้ว!”
ถงจื่อลุกขึ้นแล้วกล่าวทักทาย ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยตกตะลึงเล็กน้อย
อาซานเห็นถงจื่อจิ้งจะเข้าใกล้ฮูหยินของตน ยื่นมือออกไปขวาง สีหน้าของถงจื่อจิ้งเศร้าเล็กน้อย ทว่ามั่วเชียนเสวี่ยก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้
ชายหนุ่มหกคนยืนอยู่ตรงหน้าประตู แต่เหตุใดนางถึงไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งนั้น หันกลับไปมองหนิงเซ่าชิงที่เพิ่งตื่นเหมือนกัน สีหน้าของหนิงเซ่าชิงเรียบเฉย นิ่งสงบอย่างมาก คล้ายรู้แต่แรกแล้วอย่างไรอย่างนั้น
“นี่มันเรื่องอะไร”
เมื่อไม่ได้คำตอบจากหนิงเซ่าชิง มั่วเชียนเสวี่ยจึงถามอาซานที่ขวางถงจื่อจิ้งเอาไว้
“คุณชายถงตื่นแต่เช้าอยากมาหาฮูหยิน พวกข้าน้อยจึงบอกว่าเมื่อวานฮูหยินเหนื่อยมาก วันนี้ยังคงพักผ่อนขอรับ คุณชายไม่ยอมไป จะนั่งรอที่นี่ให้ได้ ห้ามพวกข้าน้อยส่งเสียงรบกวนฮูหยินขอรับ” อาซานสีหน้าเยือกเย็น คำพูดเปี่ยมไปด้วยความดูถูก
มั่วเชียนเสวี่ยไม่อยากจะสนใจความหมายในคำพูดของเขา ตอนนี้นางปวดหัวยิ่งนัก เวลานี้เพิ่งรู้ว่าตนได้เผือกร้อนอยู่ในมือ
ดูท่า เมื่อคืนตัดสินใจถูกแล้ว
หวังว่า เขาจะสนใจงานแกะสลัก หากงานนี้ไม่สำเร็จ นางจะขอร้องหนิงเซ่าชิงให้พาเขาไปสำนักศึกษาด้วยทุกวัน
ที่ให้แกะสลักเพราะสามารถพัฒนาได้มาก อีกทั้งเด็กที่รับไปสอนล้วนเป็นเด็กในหมู่บ้าน หวังเทียนซงเป็นคนต้นคิด หมู่บ้านลงทุนลงแรง จึงสร้างเรือนที่งดงามหนึ่งหลัง
เดิมทีเรือนหลังนี้ทั้งด้านในและนอกมีแค่ห้องเดียว ในตอนหลังภายใต้คำชี้แนะของมั่วเชียนเสวี่ย ใช้ไม้แบ่งเป็นห้องเล็กๆ หลายห้อง ถือเป็นห้องทำงานของพวกเขา เวลาสร้างสรรค์ผลงานจะได้ไม่ต้องรบกวนกัน
เกาฉีหวาคนนั้น มีพรสวรรค์ยิ่งนัก ตั้งแต่เริ่มเรียนจนกระทั่งตอนนี้ ไม่ถึงหนึ่งเดือน แกะสลักด้วยตนเองสำเร็จหนึ่งชิ้น มั่วเชียนเสวี่ยมองอย่างพิจารณาแล้ว แม้จะไม่ประณีตสวยงาม และการแกะสลักยังอยู่ในคั้นต้น แต่คาดว่าสามารถขายได้เงินจำนวนหนึ่ง
ผลงานแกะสลักที่หวังเทียนซงทำ ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ แต่ก็เหนือกว่าเพราะมือของผู้ใหญ่มีกำลัง มีความแม่นยำ พอเข้าตามั่วเชียนเสวี่ยได้อย่างฝืนๆ
สามคนที่เหลือ ยังไม่สามารถแกะสลักด้วยตนเองได้
หลังจากตรวจการบ้านของพวกเขาเสร็จ มั่วเชียนเสวี่ยแนะนำนักเรียนคนใหม่ให้พวกเขารู้จัก…คุณชายถงจื่อจิ้ง
มองดูถงจื่อจิ้งจับมีดเล็ก เล่นไปมาตรงนั้น ทำให้ถงจั่นตกใจอย่างมาก หากคุณชายไม่ระมัดระวัง บาดโดนมือตนเองเข้า เขาจะบอกท่านปู่อย่างไร จะอธิบายให้นายท่านฟังเช่นไร
ถงผิง ถงอันตกใจมาก เท้าทั้งสองข้างสั่นเทา หากคุณชายเป็นอะไรขึ้นมา ปัญหาของพวกเขาไม่ใช่การอธิบายแล้ว แต่ปัญหาของพวกเขาคือจะสามารถรักษาศีรษะตนได้หรือไม่
ทว่า พวกเขาคิดมากไปแล้ว
ตั้งแต่เล็กจนโต ถงจื่อจิ้งไม่เคยเรียนอย่างเป็นทางการมาก่อน ตอนนี้เพิ่งเริ่มมีความคิดความอ่าน เป็นช่วงที่เรียนรู้อย่างหนัก สามสี่วันก่อนหน้านี้ มั่วเชียนเสวีย่เพียงแค่เล่นกับเขา ไม่ได้ให้เขาใช้สมองจริงๆ และไม่ได้ให้เขาจดจ่อทำสิ่งใดสิ่งนั้น
เขาเองก็ไม่รู้อะไร รู้เพียงว่าต้องลอกเลียนแบบ เหมือนวันนี้ ที่เขาเล่านิทานให้ซูชีฟัง
ซูชีเพียงชักนำเล็กน้อย เขาก็เล่านิทานนับสิบเรื่องได้ในคราเดียว
ถึงแม้จะเล่าได้แย่มาก ทั้งยังพูดติดขัด แต่ว่า สำหรับคนที่ฟังเพียงรอบเดียว ถือว่าเป็นไปได้ยากมากที่จะจำเนื้อเรื่องได้
เย็นวันนั้นใช้ตะเกียบคีบถั่ว ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป เขาก็สามารถคีบถั่วได้แล้ว นี่พิสูจน์ว่า ขอเพียงใช้วิธีที่ถูกต้องในการสอน สมองของเขายืดหยุ่น เปิดรับสิ่งใหม่ๆ อย่างดี
สิ่งที่มั่วเชียนเสวี่ยพูดในวันนี้ไม่ใช่ความคิดสร้างสรรค์ แต่เป็นการแกะสลักตามที่กำหนด…ทำเช่นไรจึงจะสามารถแกะสลักผลงานที่มีชีวิตได้
มั่วเชียนเสวี่ยวาดรูปแล้วอธิบายด้วยความตั้งใจ รูปแบบต่างๆ ของกระต่าย และทักษะมากมาย พวกนักเรียนตั้งใจฟัง ครุ่นคิดไตร่ตรอง หลังจากนางพูดจบ พวกเขาลงมือแกะสลักอย่างมีความสุข
ถงจื่อจิ้งได้วัสดุที่เป็นขอนไม้เล็กๆ หนึ่งอัน เขาหยิบมีดเล็กขึ้นมา มีความสุขเหมือนคนอื่นๆ ทั้งยังจดจ่ออย่างมาก
แน่นอน มั่วเชียนเสวี่ยให้คำแนะนำเขามากกว่าเล็กน้อย เวลาส่วนมากล้วนยืนอยู่ด้านหลังเขาคอยให้คำแนะนำ ทั้งยังให้หวังเทียนซงจับมือของเขาแกะสลักนานครู่หนึ่ง ให้เขาสัมผัสน้ำหนักของมีดแกะสลัก
ไม่นาน ถงจื่อจิ้งเข้าสู่สภาวะสร้างสรรค์
มั่วเชียนเสวี่ยเดินเข้าออกหลายครั้ง ถึงแม้เขาจะขยับตัวไปมาบ้าง เงยหน้าขึ้นมอง แต่หลังจากถงจั่นที่นั่งอยู่ด้านหลังทำตามคำสั่งของมั่วเชียนเสวี่ย เขาเห็นมั่วเชียนเสวี่ยเป็นจริงตามที่ถงจั่นพูด เข้าๆ ออกๆ จึงไม่ได้สนใจมากแล้ว เพียงแค่ตั้งใจแกะสลักงานในมือ
หลังจากนั้น สายตาจดจ่อ เข้าสู่โลกอีกใบหนึ่ง
เวลานี้หากมั่วเชียนเสวี่ยสังเกตเขา จะพบว่าท่าทางของเขา ไม่มีความปัญญาอ่อนแม้แต่น้อย
เห็นเขาจดจ่อเช่นนี้ มั่วเชียนเสวี่ยดีใจ หลังจากที่นางบอกให้หวังเทียนซงดูแลถงจื่อจิ้งให้ดี ก็ย่องออกไปเงียบๆ
ระหว่างทางกลับ ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ในที่สุดก็ปลดเปลื้องภาระหนักได้แล้ว
หน้าประตูมีรถม้าจอดเอาไว้หนึ่งคัน อาอู่กำลังหวีขนให้ม้าตัวนั้น
“รถม้าจากที่ใด” มองไปรอบๆ ไม่มีแขกมาเยี่ยม มั่วเชียนเสวี่ยแปลกใจเล็กน้อย
อาซานพูดด้วยน้ำเสียงแปลกยิ่งกว่ามั่วเชียนเสวี่ย “รถม้าคันนี้ไม่ใช่รถม้าที่เจ้านายชดใช้ให้ฮูหยินหรอกหรือ”
แต่เช้าตรู่ เขาออกไปตามคำสั่ง ไปเมืองเทียนเซียง เพื่อไปรับรถม้าคันนี้ นี่คือรถม้าที่เจ้านายสั่งเอาไว้ให้ฮูหยินตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว
ได้ยินลุงอวี๋บอกว่า เจ้านายลงทุนวาดภาพหลายภาพด้วยตนเองให้ช่างที่ทำรถม้า…เพื่อรถม้าคันนี้ แต่ฮูหยินกลับไม่รู้เนี่ยนะ
มั่วเชียนเสวี่ยทั้งรู้สึกเสียใจ ทั้งรู้สึกชา ทั้งรู้สึกอบอุ่น ปรับอารมณ์ ยื่นมือออกไปจับโครงของรถม้า
เมื่อวานตอนที่พวกเขาแย่งรถม้าของท่านผู้เฒ่าถงไปเรือนตระกูลถง มั่วเชียนเสวี่ยตำหนิหนิงเซ่าชิงที่ทำลายเกวียนของนาง ออดอ้อนเขาชดใช้ให้ตนหนึ่งคัน หนิงเซ่าชิงเพียงแค่ยิ้ม แล้วบอกว่าได้ จากนั้นทั้งสองก็เปลี่ยนบทสนทนา
ตอนนั้น มั่วเชียนเสวี่ยคิดว่าเขาเพียงแค่พูดเล่นเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าเขาจะเก็บคำพูดนี้ไปใส่ใจ
เขารู้ว่านางชอบสีฟ้าอ่อน สั่งให้คนเลือกซื้อรถม้าสีฟ้าอ่อนให้นาง เข้าไปนั่งด้านใน ด้านในมีของประดับบางส่วน มีงานแกะสลักขนาดเล็กที่ล้วนถูกใจนาง
คิดไม่ถึงว่า อาอู่จะรสนิยมดีเช่นนี้ ทั้งยังหลักแหลม สามารถซื้อรถม้าที่ถูกใจได้ในครั้งเดียว เมื่อก่อนมองไม่ออกจริงๆ แต่ว่า นี่ต้องใช้เงินมากมายเท่าใดกัน ดูเหมือนว่าเงินพันตำลึงเมื่อคราวก่อนไม่ใช่เงินก้นถุงของเขา บุรุษผู้นี้แอบเมียซ่อนเงินด้วยหรือเนี่ย
มั่วเชียนเสวี่ยกระโดดลงมาจากรถม้า หนิงเซ่าชิงเลิกชั้นเรียน เพิ่งกลับจากสำนักศึกษา เห็นด้านหลังของนางไม่มีคนคอยเดินตาม จึงอารมณ์ดียิ่งนัก รอยยิ้มบนใบหน้าสดใสขึ้นทันที