มือของหนิงเซ่าชิงที่กอดมั่วเชียนเสวี่ยเอาไว้กระชับขึ้น จู่ๆ ในใจก็รู้สึกเป็นกังวล สีหน้าของเขาเยือกเย็นลงทันใด “ประโยคนี้ผู้ใดกล่าวกับเจ้า”
“ไม่ต้องสนใจหรอกว่าเป็นผู้ใด” มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกหงุดหงิดและอยากจะออกจากอ้อมกอดอันอบอุ่นนั่น
“ข้าไม่อนุญาต!” หนิงเซ่าชิงกล่าวออกมาอย่างหนักแน่น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม
“ท่านมีสิทธิ์อันใดไม่อนุญาต”
“ข้าบอกว่าไม่ก็คือไม่!” นิสัยชอบบังคับผู้อื่นของหนิงเซ่าชิงปรากฏขึ้นอีกครั้ง “ผู้ใดกล่าวว่าเจ้าไม่มีแม่สื่อ ไม่มีสินสอด เจ้าช่วยแก้เคล็ดให้ข้า ท่านหัวหน้าหมู่บ้านจึงเป็นแม่สื่อให้แก่เจ้า ส่วนหยกที่เจ้าห้อยที่คอนั้นเป็นเครื่องหมายในการสืบทอดสกุลของตระกูลหนิง นับได้ว่าเป็นสินสอด ส่วนเรื่องคารวะฟ้าดิน หากเจ้าต้องการจะคารวะเสียบัดนี้ก็ไม่ใช่ว่ามิได้ เรื่องเข้าคารวะบิดามารดาข้า ในอนาคตข้าจะพาเจ้าไปพบกับท่านทั้งสองก็ไม่สายเกินไป เพียงแค่ข้ายอมรับว่าเจ้าเป็นภรรยาข้า เจ้าก็จะเป็นภรรยาของข้า จะไปสนใจว่าผู้อื่นจะมองอย่างไรทำไมเล่า”
เพียงแค่เขายอมรับนาง นางก็เป็นภรรยาของเขาหรือ
ประโยคนี้ เมื่อมั่วเชียนเสวี่ยฟังในครั้งแรกก็รู้สึกเกิดคลื่นขึ้นในใจ นั่นสิ เพียงแค่นางยอมรับว่าตนเป็นภรรยาของเขาก็พอ ส่วนคนอื่นมองว่าอย่างไรนั้นจะไปสนใจทำไม เพียงแค่เขายอมรับและนางก็ยอมรับเท่านั้นเพียงพอแล้ว แต่เมื่อคิดอีกมุมหนึ่ง หากหลังจากนี้เขาต้องการจะรับอนุภรรยาเข้ามาเล่า นางก็จะต้องไม่สนใจคนอื่นจะกล่าวว่าอย่างไร นางจะต้องยอมรับด้วยอย่างงั้นหรือ
ก่อนหน้านี้ มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกว่าอนุภรรยาที่ค่อนข้างเป็นสถานะพิเศษนี้คงเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากว่าร่างกายของหนิงเซ่าชิงไม่แข็งแรง และในหมู่บ้านหวังจยาไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้มาก่อน พวกเขาล้วนเป็นชาวบ้านหาเช้ากินค่ำที่แม้แต่ตัวเองยังแทบเอาตัวไม่รอด จะเอากำลังที่ไหนไปรับภรรยาเข้ามาเพิ่มกัน
บัดนี้ นางรู้ว่าหนิงเซ่าชิงพอจะมีภูมิหลังอยู่บ้าง นางรู้ว่าตัวตนของหนิงเซ่าชิงไม่ธรรมดา เรื่องการรับอนุภรรยานั้นคงจะเห็นมาไม่น้อย แนวคิดในสมัยโบราณนั้นให้ความสำคัญกับบุรุษ หากว่าร่างกายของหนิงเซ่าชิงดีขึ้นแล้วเขาต้องการจะรับอนุภรรยา ในอนาคตนางจะต้องทำตัวอย่างไร
ท่ามกลางสายตาอันซับซ้อน ความคิดของมั่วเชียนเสวี่ยก็เปลี่ยนไป นางตัดสินใจแล้วว่าหากเขาปฏิบัติต่อนางอย่างดี นางก็จะติดตามเขาด้วยทั้งใจ แต่หากเขากล้าจะรับอนุภรรยาเข้ามา นางก็จะเดินถอยห่างออกไปโดยไม่เหลือเยื่อใยไว้แม้แต่เล็กน้อย เมื่อคิดได้ดังนั้น น้ำเสียงของมั่วเชียนเสวี่ยจึงบ่งบอกถึงความเยาะเย้ยว่า “การที่เซ่าชิงยอมรับเชียนเสวี่ย เช่นนั้นเชียนเสวี่ยก็เป็นภรรยาเอก แต่หากเซ่าชิงไม่ยอมรับเชียนเสวี่ย เช่นนั้นเชียนเสวี่ยก็ไม่ใช่ภรรยาแล้วหรือ บัดนี้เชียนเสวี่ยรู้สึกกระสับกระส่ายไม่มั่นคงยิ่งนัก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทางที่ดีพวกเราควรจะแยกกันอาศัยอยู่”
เมื่อกล่าวจบ นางก็ได้เอ่ยเสริมขึ้นอีกว่า “อีกอย่าง แปรงสีฟันและสามีของข้า ข้าจะไม่ใช้ร่วมกับผู้อื่นเด็ดขาด”
ในวันนี้นางจะต้องพยายามพิสูจน์ท่าทางของเขาให้ได้
เรื่องที่เกิดไปแล้วแก้ไขไม่ได้ เรื่องในอนาคตไม่อาจคาดเดา เกี่ยวกับความคิดของชายหนุ่มผู้นี้อันแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร นางก็ควรจะเตรียมใจเอาไว้ก่อน
“แปรงสีฟันและสามีจะไม่ใช่ร่วมกับผู้อื่น? เชียนเสวี่ยต้องการจะกล่าวถึงอนุภรรยาหรือ”
“ถูกต้องแล้ว” นางเองกล่าวขึ้น แววตาอันแน่วแน่ของมั่วเชียนเสวี่ยหันไปสบตากับดวงตาอันเป็นประกายของหนิงเซ่าชิงอย่างไม่หลีกหนี นางหมายความว่าเช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไร
ไม่นาน ใบหน้าอันขาวผ่องดุจหิมะของหนิงเซ่าชิงตกตะลึงไปชั่วครู่ จากนั้นเขาก็ยิ้มขึ้น แม่นางผู้นี้ในที่สุดก็หึงหวงเขาสักที ทว่าตัวเขานั้นไม่เคยคิดจะมีสตรีอื่นใดนอกจากนางเลย
นี่มันน่าขำมากอย่างงั้นหรือ ชายผู้นี้เป็นพวกกะล่อนจริงๆ เมื่อกล่าวถึงเรื่องรับอนุภรรยา เขากลับหัวเราะออกมาได้เช่นนั้น ในใจของมั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกโมโหมาก นางกระโดดขึ้นแล้วยื่นขาออกไปเตะหนิงเซ่าชิงลงเตียง นางนึกอยู่ในใจว่าเจ้าหมูตัวนี้ไปนอนหนาวตายเสียที่พื้น
แต่ขาข้างที่ยืดออกไปกลับถูกหนิงเซ่าชิงจับเอาไว้ หนิงเซ่าชิงเก็บรอยยิ้มเมื่อครู่ลงไปแล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า “ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ แต่ข้าไม่เคยคิดจะรับอนุภรรยาเข้ามาเลย” เมื่อกล่าวจบ ก็ได้สัมผัสไปยังเท้าอันขาวผ่องของนาง มั่วเชียนเสวี่ยได้ยินคำตอบในสิ่งที่นางต้องการดังนั้นในใจก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา นางตั้งใจจะดึงขากลับ แต่คาดไม่ถึงว่าออกแรงเช่นไรก็ไม่อาจดึงกลับมาได้
ที่เท้านั้นให้ความรู้สึกจั๊กจี้และคันยุบยิบ
หนิงเซ่าชิงไม่สนใจต่อท่าทีดิ้นรนขัดขืนของนาง เขาทำเพียงสัมผัสไปมาอย่างแผ่วเบา
คำถามของมั่วเชียนเสวี่ยเมื่อครู่ ทำให้เขานึกไปถึงบรรดาตระกูลใหญ่ทั้งหลายที่ทำเรื่องไร้ศีลธรรมเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น แต่ก็ได้ยินมาว่า ในตระกูลหนิงก็มีบุตรจากภรรยาเอกเพียงสองคน นั่นก็คือเขาและน้องชาย บุตรชายจากอนุภรรยาไม่มีสักคนเดียว แต่มีบุตรสาวจากอนุภรรยาหลายคน ก่อนหน้านี้ เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับแผนการต่างๆ ของแม่เลี้ยง แต่เนื่องจากนางดูแลเอาใจใส่ตนอย่างดี รอยยิ้มดุจดั่งดอกไม้บานชื่นของนาง จึงทำให้เขาไม่อยากจะไปเชื่อคำกล่าวของไร้สาระเหล่านั้น ไม่อยากจะมองนางในทางที่โหดเหี้ยม บัดนี้เมื่อลองคิดดูแล้ว เมื่อก่อนคงเป็นเพราะนางไม่กล้าแตะต้องตน และยังหาโอกาสที่เหมาะสมในการลงมือไม่ได้ อีกทั้งยังไม่อาจหาเหตุผลมาปิดปากเรื่องราวเหล่านั้นได้…
เมื่อนึกถึงการแย่งชิงในตระกูล และนึกถึงความสงบสุขสะดวกสบายของมั่วเชียนเสวี่ยในอนาคต มือของหนิงเซ่าชิงที่สัมผัสไปยังเท้าขาวผ่องของนางก็ชะงักลง สิ่งที่เขาอยากได้ไม่ใช่ชื่อเสียง ไม่ใช่การที่มีอนุภรรยามากมาย เขาต้องการเพียงแค่ได้อยู่กับมั่วเชียนเสวี่ยไปจนแก่เฒ่าอย่างสงบสุขเท่านั้นเอง
“ข้าหนิงเซ่าชิง ในชีวิตนี้จะมีมั่วเชียนเสวี่ยแต่เพียงผู้เดียว หากว่าข้าผิดสัญญา…”
มั่วเชียนเสวี่ยรีบยกมือขึ้นไปปิดปากของหนิงเซ่าชิงเอาไว้
ประโยคเหล่านั้นเมื่อมั่วเชียนเสวี่ยได้ยินก็รู้สึกตกใจ เนื่องจากคนสมัยโบราณจะสัญญาอย่างหนักแน่นและร้ายแรง นางจึงไม่อยากจะได้ยินเรื่องราวอันไม่ดีออกมาจากปากของเขาแม้แต่น้อย
ทั้งชีวิตนี้จะมีนางแค่เพียงคนเดียว! ประโยคนี้ฟังดูเหมือนจะหวานชื่น แต่เมื่อมั่วเชียนเสวี่ยได้ยินแล้วกลับรู้สึกถึงความหมายอื่นแทรกขึ้นมา คำว่าทั้งชีวิตอาจจะเป็นทั้งชีวิตของเขา หรืออาจจะเป็นทั้งชีวิตของนาง แต่ทั้งชีวิตของนางนั้นยังอีกไกล ทว่าทั้งชีวิตของเขาอาจจะสั้นมาก บางทีอาจจะเหลือเวลาไม่ถึงสองปีแล้ว
มั่วเชียนเสวี่ยตกใจและเป็นกังวลขึ้นมา “ไม่ต้องสาบานหรอก ข้าเชื่อท่าน!”
จากนั้นนางก็เอนกายเข้าไป นำริมฝีปากสัมผัสไปที่ริมฝีปากของหนิงเซ่าชิงเบาๆ หนิงเซ่าชิงจึงหลับตาลงอย่างเชื่องช้า นี่เป็นครั้งแรกที่นางจูบเขาก่อน
ในห้องนั้นก็เต็มไปด้วยบรรยากาศอันอบอุ่นเร่าร้อน…
แน่นอนว่าท้ายที่สุดแล้วก็ยังคงต้องหยุดลงเพียงเท่านั้น
ตกกลางดึก ในหอบรรพชนก็มีเสียงร้องอันโหยหวนดังขึ้น
หมู่บ้านหวังจยาจึงได้ครึกครื้นขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อได้ยินเสียงนั้นผู้คนก็พากันมุ่งหน้าไปที่หอบรรพชน และพบว่าในมือของจางเกินเป่าถือมีดสั้นยืนอยู่ด้านข้าง ส่วนหลี่ไคสือนอนอยู่บนพื้น บริเวณเป้ากางเกงเต็มไปด้วยเลือด
ด้วยเหตุนี้เองแม้จะเป็นเวลากลางดึกกลางดื่น แต่ไฟในหอบรรพชนก็ได้ถูกจุดขึ้นอีกครั้ง
หัวหน้าหมู่บ้านและเกาซาน อวิ๋นซาน ก็ถูกลากขึ้นมาจากเตียงในกลางดึกเช่นกัน
เนื่องจากเรื่องของฟางเถาเอ๋อร์และหลี่ไคสือ ตระกูลจึงได้ถอดตำแหน่งผู้อาวุโสในตระกูลของฟางอู่กับหลี่ปา พวกเขาตั้งใจว่าในวันพรุ่งนี้จะเลือกหัวหน้าตระกูลผู้มีคุณธรรมขึ้นมาใหม่ ด้วยเหตุนี้เอง บัดนี้จึงมีผู้ดำเนินการเพียงแค่สามคน คนที่ทำหน้าที่รักษาผู้บาดเจ็บก็กำลังรักษา ผู้ที่มีหน้าที่สืบสวนก็กำลังสืบสวน เหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวาย แต่ท้ายที่สุดแล้วเหตุและผลก็ได้สรุปออกมาอย่างชัดเจน
บัดนี้ ศักดิ์ศรีของหลี่ไคสือหมดสิ้นแล้ว หัวใจของเขาดุจเช่นขวดแก้วอันแตกร้าว ฟางเถาเอ๋อร์ที่เปิดโปงความลับของเขาก็ได้จมน้ำตายไปแล้ว นางรอดพ้นจากทุกสิ่ง แต่เขายังอยู่และรู้สึกไม่พอใจเป็นที่สุด เป็นเพราะจางเกินเป่า เจ้าชายชู้ซึ่งทำลายชีวิตของเขายังมีชีวิตอยู่อย่างดี เขาจะปล่อยโอกาสให้ใช้ชีวิตดีๆ ต่อไปเช่นนี้ไม่ได้ เขาจะต้องหาใครไปอยู่เป็นเพื่อน ชีวิตนี้เขาอาจจะไม่สามารถกลับคืนเป็นชายได้อีก เช่นนั้นชายชู้ที่แอบมีความสัมพันธ์กับภรรยาของเขา ก็อย่าหวังว่าจะใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบายเช่นลูกผู้ชาย
ด้วยเหตุนี้เอง ในขณะที่ท้องฟ้ามืดครึ้มท่ามกลางความเงียบสงัด หลี่ไคสือจึงได้แอบเข้ามาในศาลบรรพบุรุษ เดิมทีนั้นเขาตั้งใจจะฉวยโอกาสช่วงที่จางเกินเป่าไม่ทันได้ตั้งตัวจัดการกับจางเกินเป่าเสีย เพียงแต่ว่าเขาไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย อีกทั้งขายังเดินกะเผลกจึงทำให้มีแรงไม่มากพอ เมื่อกระโจนเข้าไป จึงทำให้มีดบาดบริเวณไหล่ของจางเกินเป่าเท่านั้น หลังจากที่ต่อสู้กันชุลมุนวุ่นวาย ท้ายสุดท้ายแล้วไม่เพียงแต่หลี่ไคสือจะไม่สามารถจัดการกับจางเกินเป่าได้ อีกทั้งยังทำให้จางเกินเป่าเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ของเขาเองด้วย
เดิมทีจางเกินเป่าก็รู้สึกคับแค้นข้องใจ เขาจึงได้แย่งมีดไปและนึกถึงสิ่งที่ฟางเถาเอ๋อร์กล่าวก่อนจะตายว่าแต่ละวันแต่ละคืนนางถูกหลี่ไคสือทรมานร่างกาย จางเกินเป่าจึงรู้สึกโกรธแค้น จึงได้แทงไปที่บริเวณตรงนั้นของหลี่ไคสือ หนึ่งครั้ง… สองครั้ง…