ตอนที่ 693 ของขวัญวันไหว้พระจันทร์ (2)
เซี่ยลี่ยกมือขึ้นห้ามความหุนหันพลันแล่นของเขา เอ่ยเสียงเข้ม “ไม่ว่าบาดแผลของเขาจะเกิดขึ้นได้อย่างไร เรื่องนี้เก็บเอาไว้ก่อนอย่าพึ่งเอ่ยถึง”
“แต่ว่า…” แม่ทัพจ้าวไม่ยอม เอ่ยขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ เซี่ยลี่ส่งเสียงหยัน “มีเวลาว่างมาคิดเรื่องพวกนี้ มิสู้เจ้าไปคิดถึงลูกชายคนที่สามของเจ้าไม่ดีกว่าหรือ”
“ท่านแม่ทัพหมายความเช่นไร” แม่ทัพจ้าวไม่เข้าใจ เซี่ยลี่เอ่ย “เจ้าคิดว่าซิงเฉิงจวิ้นจู่จะเก็บบุตรชายคนที่สามของเจ้าเอาไว้ เพียงเพราะโบยระบายอารมณ์เพียงเท่านั้นหรือ หากเป็นเช่นนั้นจริง ต่อให้นางกักขังเขาเอาไว้เจ้ายังกล้าบุกไปที่จวนจวิ้นจู่อยู่หรือ ไยจึงปล่อยเจ้าเข้าไป ไยต้องให้เจ้าเอ่ยปากด้วยตนเองว่ายกบุตรชายให้นางจัดการได้ตามใจ”
แม่ทัพจ้าวใบหน้างุนงง เห็นชัดว่าสิ่งเหล่านั้นที่เซี่ยลี่เอ่ยมาเขาไม่เคยนึกถึงมาก่อน
เซี่ยลี่รู้สึกปวดหัวกับสมองของผู้ใต้บังคับบัญชา ถอนหายใจ เอ่ย “เจ้าไม่เคยคิดหรือ เจ้าทอดทิ้งเขาต่อหน้าของเขา ยิ่งซิงเฉิงจวิ้นจู่ไม่คิดจะสังหารเขา เขายิ่งได้รับความทรมานอยู่ในมือของซิงเฉิงจวิ้นจู่เท่าใด เมื่อออกมาได้เขาก็จะยิ่งแค้นเจ้าผู้เป็นบิดาที่ทอดทิ้งเขาเพื่อน้องชายต่างมารดา วันข้างหน้าจวนเจ้ายังจะอยู่เป็นสุขได้อีกหรือ”
แม่ทัพจ้าวรีบเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน “ซิง…ซิงเฉิงจวิ้นจู่ผู้นี้ช่างชั่วร้ายยิ่งนัก…”
“ใครใช้ให้พวกเจ้าไปหาเรื่องนางไม่ลืมหูลืมตาเล่า” เซี่ยลี่เอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจนัก “เรื่องเมื่อวาน ซิงเฉิงจวิ้นจู่ลงมือเหี้ยมโหดมิใช่เพียงสั่งสอนบุตรชายทั้งสองของเจ้า ยังเพื่อให้ทหารในกองทัพได้เห็น เชือดไก่ให้ลิงดูเพียงเท่านั้น”
หากไม่คิดก็ไม่รู้ ยิ่งเซี่ยลี่อธิบายชัดเจนแม่ทัพจ้าวก็ยิ่งตกใจ รีบเอ่ย “ท่านแม่ทัพ เรื่องนี้…ควรทำเช่นไรขอรับ”
เซี่ยลี่เอ่ย “ทำเหมือนไม่มีอันใดเกิดขึ้น รอจนซิงเฉิงจวิ้นจู่ปล่อยคุณชายสามออกมา ปลอบโยนสักหน่อย หากไม่ได้ก็ส่งกลับจินหลิงไปเสีย”
แม้แม่ทัพจ้าวจะไม่พอใจ แต่เมื่อนึกถึงการลงมือของหนานกงมั่วในใจพลันหนาวสั่นโดยไม่อาจห้ามได้ ตอนนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจไปหาเรื่องหนานกงมั่ว ยามนี้ในสายตาของคนนอกคือตระกูลจ้าวไปหาเรื่องหนานกงมั่วก่อน นางยังไม่ถือสามอบยาให้กับบุตรชายของตนอีก หากตระกูลเจ้าทำอันใดก็คงเป็นการลืมบุญคุณ ตอบแทนบุณคุณด้วยความแค้นแล้ว
“ขอรับ ท่านแม่ทัพ” แม่ทัพจ้าวทำได้เพียงก้มหน้าตอบรับ
ผู้ใต้บัญชากลับไปแล้ว เซี่ยลี่มองห้องที่ว่างเปล่าพลางถอนหายใจ ชายในชุดไม่สะดุดตาเดินออกมาจากด้านหลังห้องโถง ถอนหายใจ “ฝีมือของซิงเฉิงจวิ้นจู่ สมคำรำลือจริงๆ”
เซี่ยลี่สีหน้าทะมึน เอ่ยเสียงเข้ม “ตอนนี้พวกเจ้าพอใจหรือยัง”
ชายผู้นั้นเองก็ไม่ใส่ใจ เพียงยิ้มบาง เอ่ย “ทุกคนต่างก็ทำเพื่อฝ่าบาท ไยท่านแม่ทัพต้องโกรธด้วยเล่า”
เซี่ยลี่ส่งเสียงหยัน ไม่เอ่ยสิ่งใดอีก
เพราะเรื่องของแม่ทัพจ้าว ความน่าเกรงขามของซิงเฉิงจวิ้นจู่ในกองทัพจึงมีมากขึ้น แน่นอนว่าเรื่องภายในเช่นนี้นายทหารทั่วไปหรือชาวบ้านไม่รู้เรื่องด้วย ทว่านายทหารชั้นสูงต่างก็เข้าใจแล้วว่าไม่ควรไปหาเรื่องซิงเฉิงจวิ้นจู่ แม้ไม่เห็นคุณชายสี่ที่ยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียง แต่สองวันก่อนคุณชายจ้าวสามก็เพิ่งถูกหามกลับจวนตระกูลจ้าว ทั่วทั้งร่างซีดขาว ท่าทางอ่อนแรง ไม่รู้ว่าได้รับความทรมานมามากเพียงใด เดิมเหล่าอนุภรรยาทั้งหลายวางแผนจะเข้าหาเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ต่างก็พับเก็บความคิดเหล่านั้นเอาไว้ จวิ้นจู่ผู้นี้ อยู่ห่างๆ จะดีกว่า
คนจวนเว่ยกลับไม่ใส่ใจเรื่องเหล่านี้ กำลังเตรียมตัวต้อนรับเทศกาลไหว้พระจันทร์ที่กำลังจะมาถึงปีละครั้งอย่างสนุกสนาน
ในเมื่อเซี่ยลี่เองไม่ได้มีท่าทีคิดหาเรื่อง ตำแหน่งใหม่ของเว่ยจวินมั่วจึงราบรื่นยิ่งนัก ทุกคนต่างพากันพร้อมใจกันจัดเตรียมงานเฉลิมฉลองกันอย่างครึกครื้น
เทศกาลไหว้พระจันทร์แน่นอนว่าทั่วทั้งจวนนั้นคึกคัก แม้ว่านอกจากหนานกงมั่ว หลิ่วหัน และชวีเหลียนซิงแล้วนอกนั้นล้วนเป็นบุรุษก็ตาม เพียงแต่บุรุษเองก็ชื่นชอบความครึกครื้น ทั่วทั้งจวนประดับประดาไปด้วยโคมไฟสว่างไสว กลิ่นสุราโชยมาปะทะปลายจมูกประสานรับกับความครื้นเครง ที่ศาลาโล่งด้านหลังจวน หนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วกำลังนั่งสนทนากันอยู่ ผู้ที่นั่งตรงข้ามกับพวกเขาคือคุณชายฉังเฟิงเจ้าสำราญ ด้านนอกเรือนมีเสียงจอแจของผู้คนดังมาอยู่เนืองๆ
ลิ่นฉังเฟิงเอนตัวพิงเสาของศาลา โคลงถ้วยเหล้าในมือเล่น เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จะว่าไป…นานแล้วที่ข้าเองไม่ได้ร่วมฉลองวันไหว้พระจันทร์กับใคร” เทศกาลไหว้พระจันทร์เป็นเทศกาลที่ครอบครัวจะกลับมารวมตัวกัน แต่คนอย่างเขาไหนเลยจะได้รวมตัวเล่า กลับไปตระกูลลิ่นที่เต็มไปด้วยความสุขนั่นน่ะหรือ วังจื่อเซียวยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง ทุกคนต่างก็เป็นมือสังหารไหนเลยจะมีอารมณ์มาทำเรื่องอบอุ่นเช่นนี้
หนานกงมั่วเอนตัวพิงเว่ยจวินมั่ว เอ่ยยิ้มๆ “คุณชายฉังเฟิงกำลังคิดถึงครอบครัวหรือว่าเหงากัน”
คุณชายฉังเฟิงสำลัก กลอกตาอย่างไม่พอใจ เอ่ย “เทศกาลไหว้พระจันทร์รวมตัวครอบครัว ไม่ให้ข้าแสดงความรู้สึกหน่อยหรือ”
หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ทำคุณบูชาโทษ ข้าเพียงอยากบอกว่าคุณชายฉังเฟิงควรรีบแต่งงานได้แล้ว เช่นนี้ทุกๆ ปีก็จะมีคนร่วมฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์ด้วยกันแล้วมิใช่หรือ ข้าให้เสด็จแม่หรือเสด็จป้าช่วยหาสตรีให้ท่านสักคนดีหรือไม่”
ลิ่นฉังเฟิงมองทั้งสองคน แสยะยิ้มพลางเอ่ย “ข้าเข้าใจแล้ว พวกเจ้ารังเกียจที่ข้ามาขัดขวางใช่หรือไม่ ไม่ต้องทำเช่นนี้หรอก พวกเจ้าอยู่ด้วยกันทั้งวันยังไม่พออีกหรือ จวินมั่ว…รักภรรยาจนลืมมิตรสหายไม่ใช่สิ่งที่สุภาพบุรุษพึงกระทำ”
หนานกงมั่วไม่พอใจลุกขึ้นหยิบขนมไหว้พระจันทร์บนโต๊ะโยนใส่เขา กินขนมไหว้พระจันทร์เข้าไปเลยนะ
คุณชายฉังเฟิงเองก็ไม่เกรงใจ ไม่ต้องขยับทว่าเงยหน้าเตรียมอ้าปากรับขนมไหว้พระจันทร์ที่ถูกโยนมา
‘ฉับ!’ สายลมเย็นวาดผ่าน ขนมไหว้พระจันทร์ที่ลอยไปถูกแยกออกเป็นห้าชิ้น คุณชายฉังเฟิงไม่ทันได้รับเข้าปาก ขนมไหว้พระจันทร์พลันร่วงลงบนพื้น
“เว่ยจวินมั่ว” คุณชายฉังเฟิงลุกขึ้นด้วยความโกรธ
คุณชายเว่ยเลิกคิ้ว เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “ว่าอย่างไร”
“เจ้ามันชวนให้น่ารำคาญ” บางทีอาจเพราะดื่มเหล้าเยอะเกินไป คุณชายฉังเฟิงพุ่งเข้าไปหาคุณชายเว่ย ลืมแม้กระทั่งความแตกต่างของตำแหน่ง
คุณชายเว่ยเงยหน้า เพียงตวัดมือผลักโต๊ะตรงหน้าร่างทั้งร่างก็เคลื่อนถอยออกจากศาลาแล้ว หนานกงมั่วเงยหน้าขึ้นพลันเห็นคุณชายฉังเฟิงผ่านหน้าของตนไป ติดตามออกไป สวนไม่ใหญ่มากนักมีแสงส่องสว่างจากโคมไฟ ทั้งสองกำลังต่อสู้กันอยู่ในสวน
เดิมทีน้อยนักที่เว่ยจวินมั่วจะต่อสู้กับใคร วันนี้เห็นเขาสนุกสนาน หนานกงมั่วจึงนั่งเท้าคางอยู่ในศาลาชื่นชมภาพตรงหน้า
ชวีเหลียนซิงยกของเข้ามา ชะงักกึกโดยไม่รู้ตัว “ไยจึงต่อสู้กันแล้วเจ้าคะ”
หนานกงมั่วหยิบขนมไหว้พระจันทร์ขึ้นมากัดชิม พร้อมเอ่ย “คงจะว่าง เหลียนซิงเจ้าไม่ต้องทำแล้ว นั่งลงพักเถิด”
ชวีเหลียนซิงยิ้ม เอ่ย “ไหนเลยเจ้าคะ เพียงแต่กินขนมไหว้พระจันทร์ของว่าง ดื่มสุราไม่ดีต่อร่างกาย ข้าทำโจ๊กเล็กน้อย จวิ้นจู่ทานสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”
หนานกงมั่วพยักหน้า เอ่ย “ลำบากเจ้าแล้ว วางไว้เถิด”
ชวีเหลียนซิงเองก็เดินมาหยุดอยู่ด้านข้างศาลา มองทั้งสองคนที่กำลังต่อสู้พัวพันกันอยู่ในสวน ดวงจันทร์ลอยเด่นอยู่บนท้องนภา ร่างสองร่างกำลังต่อสู้ท่ามกลางแสงสว่างจากเปลวเทียน มองจนนางเวียนหัว แม้ว่าตลอดครึ่งปีมานี้นางจะได้เรียนจากหลิ่วหันมาบ้าง แต่อย่างไรก็อายุไม่น้อยแล้ว ไม่อาจไปเทียบกับคนที่ฝึกวรยุทธ์มาตั้งแต่เด็กเช่นนั้นได้ ยิ่งไปกว่านั้นนางเรียกได้ว่าไม่มีพรสวรรค์ในการฝึกต่อสู้เลยสักนิดเดียว