ผ่านวันเฉลิมพระชนมพรรษาไปแล้วสองวัน ฮ่องเต้ทรงมอบยาบำรุงร่ายกายให้สวีลิ่งอี๋ตั้งมากมาย ส่วนฮองเฮาทรงมอบเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกสีดำ และสนับเข่าขนสุนัขจิ้งจอกสีดำหนึ่งคู่ให้สวีลิ่งอี๋ เหลยกงกงยิ้มแล้วพูดว่า “ฮองเฮาตรัสว่า ต่อไปท่านโหวไม่ต้องมาราชสำนักช่วงเช้าแล้ว ต้องระวังลมหนาวตอนเช้าด้วย”
เห็นได้ชัดว่าเขามารายงานสวีลิ่งอี๋
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก รับเสื้อคลุมมา ยิ้มแล้วพูดกับสวีลิ่งอี๋ “เอาไว้สวมตอนปีใหม่เถิดเจ้าค่ะ” จากนั้นก็ทำท่าทางวางแผนอย่างรอบคอบ
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะ จากนั้นก็ลุกขึ้นไปที่เรือนปั้นเย่ว์พั่น
ช่วงนี้สวีซื่อฉินพี่น้องสองสามคนเอาแต่อยู่ที่เรือนของไท่ฮูหยิน สืออีเหนียงจึงบอกให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน ที่เรือนของตัวเองพลันเงียบสงัด นางนั่งเย็บปักถักร้อยอยู่บนเตียงเตา มีสาวใช้เข้ามารายงานว่า “ป้าหัง ท่านป้าคนสนิทของคุณนายใหญ่ตรอกกงเสียนมาเจ้าค่ะ”
ยามนี้?
นางตกใจ จากนั้นก็เชิญป้าหังเข้ามา
ป้าหังสวมเสื้อคลุมผ้าไหมสีม่วงแดง บนหัวประดับด้วยดอกไม้สีแดงดอกใหญ่ ท่าทีดูยินดี นางยิ้มแล้วย่อคำนับ “เมื่อวานนายท่านพาคุณชายสี่และคุณนายสี่ที่พึ่งแต่งเข้ามา คุณหนูสิบสอง อี๋เหนียงห้า และอี๋เหนียงสามมาที่เมืองหลวง คุณนายใหญ่ให้บ่าวมารายงานคุณนายสิบเอ็ด อยากเชิญคุณนายสิบเอ็ดกลับไปทานข้าวพรุ่งนี้เจ้าค่ะ…”
ทันทีที่พูดจบ สืออีเหนียงก็ตกใจ “อี๋เหนียงห้าก็มาด้วยหรือ”
“ใช่เจ้าค่ะ!” ป้าหังยิ้ม “ไม่มีใครอยู่ที่จวน ปล่อยให้อี๋เหนียงห้าอยู่ที่จวนคนเดียวคงจะไม่ดี นายท่านบอกว่า หากอี๋เหนียงห้าศรัทธาในพระพุทธศาสนา ก็ให้สร้างสำนักในจวนเสีย อี๋เหนียงห้าจึงยอมมาด้วยเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงไม่ได้เจออี๋เหนียงห้ามาสองปีแล้ว…
จะบอกว่าคิดถึง ก็ไม่ได้คิดถึงนางขนาดนั้น จะบอกว่าไม่คิดถึง แต่ก็มักจะรู้สึกว่าที่อวี๋หังยังมีอะไรให้อาลัยอาวรณ์
นางเหม่อลอย
ป้าหังยิ้มแล้วพูดว่า “แล้วยังเชิญคุณชายสามและคุณนายน้อยสาม ท่านเขยสี่และคุณนายสี่ ท่านเขยห้าและคุณนายห้า ท่านเขยสิบและคุณนายสิบมาด้วยเจ้าค่ะ”
ดูเหมือนว่าจะมาครบทั้งสกุลแล้ว!
สืออีเหนียงสูดหายใจเข้าลึกๆ ดึงสติกลับมา “เจ้าไปรายงานคุณนายใหญ่ พรุ่งนี้ข้าจะไปแต่เช้า”
ป้าหังทำสีหน้าตกใจ
คุณนายสิบเอ็ดเป็นคนมีแม่สามี มีสามี จะกลับสกุลเดิม ไม่พูดอะไรสักคำแต่กลับตอบตกลงอย่างง่ายดาย ดูเหมือนว่าคุณนายสิบเอ็ดคนนี้เป็นคนมีความสามารถ แต่งเข้ามายังไม่ถึงสามสี่เดือนก็ตั้งหลักได้แล้ว…
ความคิดนี้ผ่านเข้ามาในหัว นางยิ้มแล้วตอบรับ “เจ้าค่ะ” พวกนางพูดคุยกันสองสามประโยค ป้าหังก็ลุกขึ้นกล่าวขอตัวลา สืออีเหนียงตกรางวัลให้นาง ให้ลี่ว์อวิ๋นไปส่งนางออกไป นางนั่งเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ให้หู่พั่วไปเรียกตงชิง ปินจวี๋และจู๋เซียงมา เล่าเรื่องที่นายท่านกลับมาจากอวี๋หังให้พวกนางฟัง
พวกนางได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มออกมา โดยเฉพาะจู๋เซียง สายตาของนางเป็นประกาย “อี๋เหนียงห้าก็มาด้วยหรือเจ้าคะ แล้วยังจะกลับไปหรือไม่เจ้าค่ะ พรุ่งนี้ฮูหยินไปหาอี๋เหนียงห้าต้องแต่งตัวสวยๆ นะเจ้าคะ อี๋เหนียงห้าเห็นแล้วจะได้สบายใจ” นางพูดด้วยท่าทางดีอกดีใจ
สืออีเหนียงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกสับสน
บางทีคนที่คิดถึงอี๋เหนียงห้ามากที่สุดอาจจะไม่ใช่ตัวเอง แต่เป็นจู๋เซียงกระมัง…
“ใช่เจ้าค่ะ ใช่เจ้าค่ะ” ปินจวี๋ตอบกลับซ้ำๆ จากนั้นก็ลากจู๋เซียงไปเตรียมเสื้อผ้าให้สืออีเหนียง
หู่พั่วทำสีหน้าลังเล “ต้องบอกท่านโหวหรือไม่เจ้าคะ…ท่านเขยสี่เป็นคนชอบไปหาญาติพี่น้อง ส่วนท่านเขยห้าก็อยู่เป็น เพราฉะนั้นเขาคงจะไปด้วย…แต่หากท่านโหวมีธุระ เราจะได้วางแผนตั้งแต่เนิ่นๆ…”
ความหมายก็คือกลัวว่าสวีลิ่งอี๋จะไม่ไป ถึงตอนนั้น เป็นสตรีที่แต่งออกเรือนไปแล้วเหมือนกัน แต่คนอื่นล้วนไปกันเป็นคู่ ส่วนตัวเองกลับไปคนเดียว จะทำให้คนอื่นเข้าใจผิดคิดว่าถูกสกุลสามีรังเกียจ ไร้ซึ่งอำนาจ
แต่ว่าสืออีเหนียงไม่ได้อยากพาเขาไปด้วย
สวีลิ่งอี๋มีตำแหน่งที่สูงส่ง สกุลหลัวไม่เคยกล้าที่จะมองเขาเป็นเพียงบุตรเขยธรรมดา เขาไปที่นั่นอาจจะทำให้บรรยากาศอึดอัด แล้วอีกอย่าง ตอนนี้สวีลิ่งอี๋เป็นโรคข้อเท้าอักเสบ เขาควรจะพักผ่อนอยู่ที่จวน…
แต่นางยังไม่ทันได้พูด ตงชิงก็บอกว่า “ท่านโหวเป็นใครกัน ไม่ต้องพูดถึงท่านเขยสี่และท่านเขยห้า แม้แต่ท่านเขยสิบก็ยังเทียบไม่ได้!”
หมายความว่า การที่สวีลิ่งอี๋ไปที่นั่นคือการให้เกียรติตระกูลหลัว แต่หากไม่ไปก็ไม่เป็นไร
สืออีเหนียงไม่ชอบท่าทีเช่นนี้ของตงชิง
บางครั้ง คนอื่นสามารถขึ้นมาขี่หลังของเจ้าได้ ก็เพราะว่าเจ้าโน้มตัวลงไปก่อน
“ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ชอบแค่ไหน แต่เขาก็เป็นบุตรเขยของสกุลหลัว” สืออีเหนียงพูดอย่างสงบนิ่ง “แต่ว่ายามนี้ท่านโหวเป็นโรคข้อเท้าอักเสบ ไม่ควรจะเดินบ่อยๆ”
ตงชิงสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของสืออีเหนียง นางจึงรีบอธิบาย “ฮูหยิน บ่าวไม่ได้หมายความว่าเช่นนั้นเจ้าค่ะ บ่าวเพียงคิดแค่ว่าถึงแม้ท่านเขยสี่กับท่านเขยห้าต่างก็เป็นคนมีชื่อเสียง แต่ด้วยฐานะสูงส่งของท่านโหว อาจจะทำให้ทุกคนไม่เป็นตัวของตัวเองเจ้าค่ะ”
เดิมทีสืออีเหนียงอยากจะตำหนิตงชิง แต่ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา ที่แท้นางก็ถูกสั่งสอนมาแบบนี้ แต่นางไม่อยากให้ตงชิงงุนงงสับสน นางจึงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าพูดมีเหตุผล” จากนั้นก็ลุกขึ้น “ในเมื่อพรุ่งนี้จะกลับไปที่ตรอกกงเสียน เราก็ควรจะไปบอกไท่ฮูหยิน” จากนั้นก็พาหู่พั่วไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
เมื่อได้ยินว่านายท่านสกุลหลัวกลับมาแล้ว คุณนายใหญ่จึงอยากให้สืออีเหนียงกลับไปทานข้าวที่สกุลเดิม ไท่ฮูหยินก็พูดซ้ำๆ ว่า “ดี ทุกคนไม่ได้กลับมารวมตัวกันง่ายๆ เจ้ากลับไปเถิด” จากนั้นก็ให้ป้าตู้นำโสมอายุสามสิบปีออกมาสองชิ้น “มอบให้นายหญิงใหญ่” นำรังนกออกมาหนึ่งห่อ “มอบให้อี๋เหนียง” นำเครื่องประดับไข่มุกหนานจูที่เหมือนกันออกมาสี่ชิ้น “มอบให้คุณหนูและคุณนายน้อยที่พึ่งแต่งเข้ามา”
สืออีเหนียงเอ่ยขอบคุณ จากนั้นก็ถามเจินเจี่ยเอ๋อร์ “อยากไปกับข้าหรือไม่”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ตกใจ จากนั้นก็พูดเบาๆ “ข้า ข้าก็ไปด้วยหรือเจ้าคะ…?”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “น้องหญิงสิบสองก็มา นางอายุน้อยกว่าเจ้าสองปี นิสัยดี พวกเจ้าอาจจะเล่นด้วยกันได้”
ไท่ฮูหยินเห็นว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์ลังเล นางจึงยิ้มแล้วพูดว่า “อยากไปก็ไปเถิด ที่นั่นก็เป็นสกุลญาติของเจ้า ไปเที่ยวด้วยกันเถิด”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ตอบรับ “เจ้าค่ะ” ด้วยความเคารพ แต่ดวงตาของนางกลับเป็นประกายราวกับดวงดาวยามกลางคืน
สืออีเหนียงเห็นเช่นนี้ก็ยิ้มอย่างแผ่วเบา
ไท่ฮูหยินถามถึงสวีลิ่งอี๋ “…เดิมทีต้องไปราชสำนัก แต่ตอนนี้ไม่ต้องไปราชสำนักแล้วก็ไม่เห็นแม้แต่เงา”
สืออีเหนียงรีบยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านโหวไปที่เรือนปั้นเย่ว์พั่น บอกว่ามีเรื่องจะปรึกษากับบรรดากุนซือเจ้าค่ะ” พูดอีกว่า “ถึงแม้ท่านโหวไม่ต้องไปราชสำนัก แต่ใกล้จะปีใหม่แล้ว แต่ละสกุลก็ต้องสังสรรค์กัน ไม่ได้สบายไปกว่าการไปราชสำนักเลยเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินไม่พูดอะไรอีก
สืออีเหนียงอยู่พูดคุยเป็นเพื่อนนางครู่หนึ่ง ก็มีเด็กรับใช้ชายเข้ามารายงาน “…ใต้เท้าโจวและใต้เท้าหวังมาเยี่ยมท่านโหวขอรับ ท่านโหวต้อนรับพวกเขาอยู่ที่เรือนนอก บอกว่าตอนเที่ยงจะไม่เข้ามาแล้วขอรับ ตอนเย็นค่อยมาคารวะไท่ฮูหยิน”
กำลังพูดถึงก็มาพอดี!
สืออีเหนียงบอกว่าสวีลิ่งอี๋มีงานสังสรรค์เยอะ งานสังสรรค์ของสวีลิ่งอี๋ก็มาพอดี ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วเหลือบมองไปที่สืออีเหนียง “ใต้เท้าโจวคนไหน ใต้เท้าหวังคนไหนกัน”
เด็กรับใช้ชายยิ้มแล้วพูดว่า “ใต้เท้าโจวซื่อเจิงและใต้เท้าหวังลี่ขอรับ”
“ที่แท้ก็คือพวกเขาสองคน!” ไท่ฮูหยินพูด “บอกว่าข้ารู้แล้ว”
เด็กรับใช้ชายตอบรับแล้วเดินออกไป
ไท่ฮูหยินพูดกับสืออีเหนียง “โจวซื่อเจิง คือบุตรชายคนที่สามขององค์หญิงใหญ่ฝูเฉิง โตมาด้วยกันกับคุณชายสี่ ส่วนหวังลี่ตอนนี้เป็นรองเจ้ากรมโยธาธิการ” นางอธิบายให้สืออีเหนียงฟัง
ดูเหมือนว่าคนเหล่านี้จะเป็นมิตรสหายของสวีลิ่งอี๋
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้า แอบจดจำเอาไว้ ตอนเที่ยงไปรับใช้ไท่ฮูหยินทานข้าวเที่ยงที่เรือนของไท่ฮูหยินกับฮูหยินสาม จากนั้นก็กลับไปที่เรือนของตัวเองกับเจินเจี่ยเอ๋อร์ เลือกเสื้อผ้าและเครื่องประดับที่จะสวมใส่ในวันพรุ่งนี้ แล้วยังแนะนำสถานการณ์ของสกุลหลัวให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ฟัง นางไปถึงแล้วจะได้ไม่สับสน
นางกำลังพูดคุย สวีลิ่งอี๋ก็กลับมาแล้ว
เจินเจี่ยเอ๋อร์ย่อคำนับแล้วขอตัวออกไป
สืออีเหนียงยิ้มแล้วเดินเข้าไปถอดเสื้อคลุมให้เขา
เขาได้กลิ่นสุราจางๆ บนตัวของเขา ใช้ผ้าเช็ดหน้าอุ่นๆ เช็ดหน้าให้เขา จากนั้นก็ยกชามาให้ “จะได้สร่างเมาเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋เอนตัวอยู่บนหมอนอิงใบใหญ่แล้วดื่มชา เขาทำสีหน้าสบายใจ
“เจ้ากำลังทำสิ่งใด” เขามองดูเครื่องประดับที่กระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะแล้วถาม
สืออีเหนียงเล่าเรื่องที่นายท่านพาอี๋เหนียงห้ามาเมืองหลวงให้สวีลิ่งอี๋ฟัง “…บอกให้ข้ากลับไปทานข้าวพรุ่งนี้เจ้าค่ะ”
“จะกลับสกุลเดิม…” เขาเยินเช่นนี้ก็ตกใจ “แล้วจะกลับมาเมื่อใด” เขาถามนางอีกครั้ง “ไม่ได้เชิญข้าด้วยหรือ” เขาทำท่าทีสับสน
หรือว่าต้องเชิญท่าน…?
สืออีเหนียงหัวเราะ แต่นางนึกถึงสกุลสามีและสกุลเดิม จะให้พวกเขาห่างเหินกันไม่ได้ นางจึงพูดอย่างประจบสอพลอ “จะไม่เชิญท่านโหวได้เช่นไรเจ้าคะ แต่ข้าบอกว่าท่านเป็นโรคข้อเท้าอักเสบ ช่วยท่านตอบกลับไปแล้วเจ้าค่ะ” จากนั้นก็พูดอย่างขยันขันแข็ง “เมื่อวานตอนกลางคืนเฉียวอี๋เหนียงดีดพิณให้ท่านฟังไม่ใช่หรือ ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้ข้าบอกคนให้ไปจัดโต๊ะสังสรรค์ที่เรือนของเฉียวอี๋เหนียง ให้พวกท่านร่ำสุรา ดีดพิณ…”
สวีลิ่งอี๋เบิกตามองนาง จากนั้นก็ตอบ “อืม” แล้วชี้ไปที่ถ้วยชา “ไปชงมาอีกถ้วย”
สืออีเหนียงให้สาวใช้ไปชงชา
สวีลิ่งอี๋ชี้ไปที่สาวใช้อีกคนที่อยู่ข้างๆ “ไปเรียกพ่อบ้านไป๋มา”
สาวใช้ตอนรับแล้วเดินออกไป
สวีลิ่งอี๋พึมพำเบาๆ
สืออีเหนียงได้ยินไม่ชัด นางจึงเดินเข้าไปถาม “ท่านโหวมีอะไรหรือไม่เจ้าคะ” ทันทีที่นางพูดจบ สายตาของนางก็พร่ามัว ถูกสวีลิ่งอี๋ดึงเข้าไปกอดในอ้อมแขน
การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันทำให้นางตกใจร้อง
แต่สวีลิ่งอี๋มุดหน้าเข้าไปซุกตัวนางแล้ว “วันนี้เจ้าทำอะไร” ความร้อนที่ผสมกับกลิ่นอายของน้ำเมา พุ่งพวยเข้ามาที่แก้มของนาง บวกกับน้ำเสียงที่มีกลิ่นอายของสุราที่รุนแรง ทำให้บรรยากาศคลุมเครือเป็นอย่างมาก
จู่ๆ สืออีเหนียงพลันหน้าแดง “ท่านโหวเมาแล้วเจ้าค่ะ…”
“เล็กน้อย!” สวีลิ่งอี๋พูดด้วยน้ำเสียงที่คลุมเครือ แต่กลับยื่นมือเข้าไปในเสื้อผ้าฝ้ายของนาง
“ตอนนี้มันกลางวันนะเจ้าคะ!” เขาไล่สาวใช้สองคนนั้นออกไป แต่ก็ยังมีสาวใช้อีกสองคนที่ยืนอยู่หน้าประตู แล้วยังมีสาวใช้ที่ยืนอยู่หน้าม่านของห้องโถง หน้าประตูใหญ่…สืออีเหนียงรีบไปจับมือเขาเอาไว้
“กลางวันแสกๆ เจ้ากลัวอะไร!” สวีลิ่งอี๋พูดด้วยน้ำเสียงที่หยอกเย้า แต่น่าเสียดายที่สืออีเหนียงตกใจเกินไป นางฟังไม่เข้าใจ “ข้าเวียนหัว ท่านนอนเป็นเพื่อนข้าสักครู่เถิดเจ้าค่ะ!”
“ท่านเรียกพ่อบ้านไป๋มาไม่ใช่หรือ” รู้สึกว่ากระโปรงของตัวเองถูดปลด สืออีเหนียงก็กระวนกระวาย นางผลักเขาออกไปอย่างกะทันหัน แต่ลืมไปว่ามีโต๊ะอยู่ข้างหลัง จากนั้นก็มีเสียงแตก…แล้วก็มีเสียงตกใจของสาวใช้ที่ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไร
พวกเขาก็ตกใจ
สืออีเหนียงกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
ทำเกินไปแล้ว!
หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ต่อไปนางจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!
สวีลิ่งอี๋มองไปที่สาวใช้ที่ยืนโง่อยู่ตรงนั้น สีหน้าของเขามืดมนลงอย่างน่ากลัว “ยังไม่ออกไปอีก!”
สาวใช้รีบวิ่งออกไปด้วยความตกใจ
สืออีเหนียงปิดปากแล้วนั่งจัดเสื้อผ้าของตัวเอง
สวีลิ่งอี๋หงุดหงิดเป็นอย่างมาก
ใครจะรู้ว่าสาวใช้ในห้องของนางจะโง่งมขนาดนี้…