“ฮ่องเต้ทรงเงียบไปสักพักหนึ่ง แต่ข้าทูลขอลาออกซ้ำแล้วซ้ำเล่า สุดท้ายเขาก็ตอบตกลง” สวีลิ่งอี๋สีหน้านิ่งเฉย “แล้วยังทรงกล่าวว่า ในเมื่อพี่สามอยากจะแยกออกไปอยู่ข้างนอก ตำแหน่งของเขาก็ไม่ควรต่ำเกินไป ให้ไปรับตำแหน่งขุนนางข้าหลวงที่เจ้อเจียงดีหรือไม่ ข้าบอกว่า การรับตำแหน่งขุนนางไม่ใช่เรื่องสำคัญ ขอแค่ทุกคนแยกกันอยู่อย่างมีความสุขก็พอ ไปรับตำแหน่งขุนนางข้าหลวงที่เจ้อเจียง เกรงว่าอาจจะทำให้ตุลาการไม่พอใจ แค่รับตำแหน่งนายอำเภอที่มณฑลเล็กๆ ก็พอแล้ว ฮ่องเต้ได้ยินเช่นนี้ก็ไม่ตรัสอะไร ดูเหมือนเขาจะไม่คัดค้าน เรื่องนี้น่าจะสำเร็จ”
แต่เช่นนี้ ก็ถือว่าฮ่องเต้ทรงตอบตกลงยอมให้สวีลิ่งอี๋ลาออกอย่างอ้อมๆ
ขณะที่กำลังครุ่นคิดก็มีสาวใช้เข้ารายงาน “คุณชายห้ามาขอพบเจ้าค่ะ!”
“เขามาทำอะไรตอนนี้” สวีลิ่งอี๋ตกใจ จากนั้นก็ขมวดคิ้วแล้วถามสืออีเหนียง “ช่วงนี้เขาอยู่แต่ที่จวนไม่ได้ออกไปที่ใดใช่หรือไม่”
คุณชายห้าผู้น่าสงสาร แม้แต่สวีลิ่งอี๋ก็ยังมีปฏิกิริยาเช่นนี้ สิ่งแรกที่คิดถึงก็คือเขาก่อปัญหา แต่เมื่อนึกถึงปฏิกิริยาแปลกๆ ของคุณชายห้าตอนที่คนเล่นพิณมาขอพบ สืออีเหนียงก็อดคิดถึงเรื่องนั้นไม่ได้
นางรีบเล่าเรื่องนั้นให้สวีลิ่งอี๋ฟัง “…ไม่รู้ว่าที่เขามาหาท่านเป็นเพราะเรื่องนี้หรือไม่”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็พลันหน้าซีด จากนั้นก็รีบไปที่เรือนปีกทางทิศตะวันตก
สืออีเหนียงไม่รู้ว่าสวีลิ่งอี๋จะนอนที่นี่หรือไม่ นางครุ่นคิด แต่ก็ยังจัดเตียงเหมือนเดิม หลังจากที่จัดเสร็จแล้ว สวีลิ่งอี๋ก็เดินเข้ามาด้วยความโมโห
“คุยกันเสร็จแล้วหรือเจ้าคะ!” นางแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ยิ้มแล้วถามสวีลิ่งอี๋ “ให้ข้ารับใช้ท่านล้างหน้าล้างตาหรือไม่เจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋ไม่พูดไม่จา แต่เขากลับเดินไปรอบๆ ห้อง
“คนไร้สมอง ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะโต!”
สืออีเหนียงรู้ว่าเขากำลังพูดถึงคุณชายห้า นางยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านโหวก็เหมือนกัน เมื่อครู่ยังพูดถึงจุนเกอ บอกว่าท่านเอาแต่สู้รบอยู่ข้างนอก ต่อมาก็ยุ่งเรื่องบ้านเมือง จึงละเลยเขา เขาถึงได้มีนิสัยเช่นนี้ คุณชายห้าก็เหมือนกันเจ้าค่ะ ท่านพ่อของเขาเสียชีวิตไปตั้งแต่เด็ก พวกพี่ๆ ก็ยุ่งเรื่องของตัวเอง จึงไม่มีใครคอยสั่งสอนเขา ท่านโหวจะลาออกแล้ว ต่อไปก็คงอยู่ที่จวนบ่อยขึ้น เหตุใดท่านไม่ถือโอกาสนี้พูดคุยกับคุณชายห้าล่ะเจ้าคะ ท่านเจอเขาก็ทำหน้าเคร่งเครียดใส่เขาเช่นนี้ เขามีเรื่องทีไรจึงไม่กล้าคุยกับท่าน เมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว ท่านก็ต้องไปจัดการทีหลัง ไม่สู้เป็นมิตรกันดีกว่า มีเรื่องอะไรก็สามารถมาบอกท่านได้ทันเวลา ท่านก็สามารถแนะนำเขาได้ทันเวลา หากเขารู้ว่าเรื่องใดควรทำ เรื่องใดไม่ควรทำแล้ว ประเดี๋ยวมันก็จะค่อยๆ ดีขึ้นเองเจ้าค่ะ!”
“เขาอายุเท่าไรแล้ว!” สวีลิ่งอี๋อดไม่ได้ที่จะโมโห “ยังต้องให้ข้าบอกเขาว่าต้องทำเช่นไร ตอนที่ข้าอายุเท่าเขาข้าออกไปอยู่ที่เเคว้นเหมียวเจียงตั้งนานแล้ว! อยู่กับเหล่าแม่ทัพที่มีประสบการณ์มากกว่าสิบนาย ข้าไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรต่อหน้าพวกเขา แอบเดินตามพวกทหารตอนกลางคืน เพื่อที่จะเรียนรู้การเคลื่อนกองทัพ ตื่นขึ้นมาตอนเช้าก็ไปรับมือกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของวัน…”
“ทุกคนจะเป็นเหมือนท่านโหวได้เช่นไรเจ้าคะ!” สืออีเหนียงยิ้ม
หลังจากที่สวีลิ่งอี๋ได้ระบายแล้ว เขาก็มานั่งลงบนเตียง
สืออีเหนียงบอกให้สาวใช้ยกน้ำอุ่นเข้ามา
“ท่านโหวแช่เท้าก่อนเจ้าค่ะ มีเรื่องอะไรก็คุยกันดีๆ ถึงแม้ว่าท่านจะดุด่าเขาแต่ท่านก็ต้องช่วยเขาแก้ปัญหาอยู่ดี”
สวีลิ่งอี๋เอนตัวพิงหมอน “ข้ารู้ แต่ข้าแค่รู้สึกว่าเขาไม่ได้เรื่องเกินไป…ไม่เช่นนั้น ครอบครัวของเราคงไม่เป็นเช่นนี้…”
“ดังนั้นข้าถึงได้บอกว่าไม่ควรปล่อยให้คุณชายสามและฮูหยินสามย้ายออกไปด้วยความคับข้องใจ” สืออีเหนียงรับอ่างทองแดงมาจากสาวใช้ นำมาวางไว้ที่เท้าของสวีลิ่งอี๋ รับใช้เขาถอดรองเท้า “แล้วยังมีเด็กๆ อีกสองคน ต่อไปจุนเกอของเรายังต้องมีคนคอยช่วยเหลือ!”
สวีลิ่งอี๋ไม่พูดไม่จา ปล่อยให้สืออีเหนียงแช่เท้าให้ตัวเอง
*****
อีกฝั่งหนึ่ง ไท่ฮูหยินก็กำลังเอ่ยถามป้าตู้ “ไปสืบมาแล้วหรือยัง”
“สืบมาแล้วเจ้าค่ะ” ป้าตู้พูด ”คุณชายห้าเรียนร้องเพลงงิ้วจากหลิวฮุ่ยฟังคนนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้คารวะเป็นอาจารย์ แต่คุณชายห้าเป็นคนพูดเอง บอกว่าจะให้เงินหลิวฮุ่ยฟังปีละสองร้อยตำลึงเงินทุกปี ต่อมาคุณชายห้าแต่งงาน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ไปมาหาสู่กับเขา แต่ก็ยังส่งคนนำเงินสองร้อยตำลึงเงินไปให้เขาทุกปี เขาก็นำเงินสองร้อยตำลึงเงินนั้นไปดื่มสุราสํามะเลเทเมา ไม่ได้มาหาคุณชายห้าแต่อย่างใด แต่ปีนี้หิมะตกหนัก ราคาข้าวของเยี่ยนจิงแพงขึ้นเป็นเท่าตัว เขาบอกว่าอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว จึงมาขอเงินที่คุณชายห้า แล้วยังพูดอย่างไร้ยางอายว่าให้หักจากเงินของปีหน้า”
ไท่ฮูหยินโมโหจนตัวสั่น “ทำไมข้าถึงได้คลอดคนเช่นนี้ออกมา!”
ป้าตู้รีบพูด “คุณชายห้ารู้แล้วว่าตัวเองทำผิด ไม่เช่นนั้น เขาจะค่อยๆ หายไปทำไมเจ้าคะ” พูดอีกว่า “บ่าวได้ยินมาว่าเมื่อครู่คุณชายห้าไปหาท่านโหว คิดว่าน่าจะเป็นเพราะเรื่องนี้ มีท่านโหวออกหน้าให้ท่านไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินถอนหายใจอย่างเอือมระอา
*****
คุณชายห้ากลับมาถึงเรือน ฮูหยินห้าก็นอนแล้ว หลังจากที่เขาล้างหน้าล้างตาแล้ว เขาก็เดินเข้าไปในห้องข้างใน มุดเข้าไปในผ้าห่มของฮูหยินห้า
ฮูหยินห้าตกใจตื่นขึ้น “ท่านพี่เป็นอะไรเจ้าคะ ข้าตั้งครรภ์อยู่ รับใช้ท่านไม่ได้… ”
คุณชายห้าไม่พูดไม่จา เขายื่นมือออกไปจับท้องของภรรยา
“มีอะไรหรือเจ้าคะ” ฮูหยินห้าพูดอย่างอ่อนโยน “หรือว่า ให้เสี่ยวเหมยมารับใช้ที่ห้องของข้า…”
“ข้าไม่ได้คิดถึงแต่เรื่องพวกนั้นทุกวัน” คุณชายห้าพึมพำ “ไม่ต้องหรอก!”
ฮูหยินยิ้ม “ข้าแค่กลัวว่าท่านไม่สบาย”
คุณชายห้าไม่พูดอะไร
ฮูหยินห้ารู้นิสัยของเขาดี เรียกสาวใช้เฝ้ายามเป่าตะเกียงแล้วนอนลง มุดเข้าไปในอ้อมแขนของสามี จากนั้นก็หลับไปอย่างเงียบๆ จู่ๆ ก็ได้ยินสามีกระซิบบอก “ตามหยาง เจ้าดีกับข้าที่สุด…คนอื่น หากไม่ใช่เพราะอยากได้เงินของข้า ก็เพราะอยากยืมอำนาจของพี่สี่… ตานหยาง มีเพียงเจ้า ที่ดีกับข้าที่สุด…”
ในความมืด ฮูหยินห้าถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ถือว่าเขายังรู้ความ รู้ว่าใครดีกับเขา!
ไท่เฟยพูดถูก
บุรุษล้วนแต่เป็นเด็ก ขึ้นอยู่กับว่าสตรีจะสั่งสอนเช่นไร…
นางยิ้มแล้วหลับไป
*****
ถึงแม้ว่าเรื่องของหลิวฮุ่ยฟังจะทำให้แต่ละเรือนรำคาญใจ แต่มันไม่ได้กระทบต่อการใช้ชีวิตปกติของจวนสกุลสวี
สวีลิ่งอี๋เข้าไปหาฮองเฮาในพระราชวังอีกครั้ง เพราะว่าวันที่สิบแปดของเดือนสิบสองเขาได้เขียน จดหมายลาออกให้ฮ่องเต้ แต่ว่าฮ่องเต้ทรงไม่อนุญาต ฮ่องเต้ทรงอนุญาตเพียงให้เขาหยุดพักผ่อน หมอหลวงของสำนักหมอหลวงก็วิ่งไปที่จวนหย่งผิงโหวไม่หยุด ออกใบสั่งยาเป็นกอง แต่กลับไม่มีใครกล้าพูดว่าสามารถรักษาโรคของสวีลิ่งอี๋ได้ สืออีเหนียงคอยรับใช้อยู่ข้างๆ หากมีหมอหลวงเข้ามานางต้องหลบออกไป ได้รับใบสั่งยาแล้วก็ต้องไปหาหมอหลวง แล้วยังมีสหายเก่าจากทหารทั้งห้าเหล่าทัพแห่งกองทัพภาค กรมกลาโหมและสกุลใหญ่สกุลโตมาเยี่ยมเยียน ยุ่งวุ่นวายเป็นอย่างมาก แต่โชคดีที่ใกล้จะถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษาแล้ว ทุกคนต้องเข้าไปแสดงความยินดีในพระราชวัง จวนสกุลสวีถึงได้สงบลง
เพราะว่าไม่ใช่วันประสูติของฮ่องเต้ ดังนั้นจึงหยุดแค่วันเฉลิมพระชนมพรรษา เหล่าขุนนางระดับสี่ขึ้นไปของเมืองหลวงต้องเข้าไปแสดงความยินดีในพระราชวัง
เห็นได้ชัดว่าฮองเฮาอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย กำลังพูดคุยอยู่กับองค์หญิงใหญ่ เมื่อทอดสายตาเห็นสืออีเหนียง นางก็รีบบอกให้นางในไปเชิญนางเข้ามา
“อากาศหนาว เจ้าต้องสวมเสื้อผ้าหนาๆ”
สืออีเหนียงตกใจ มองเห็นสตรีที่แต่งตัวเหมือนนางในอยู่รอบๆ นางก็เข้าใจทันที ฮองเฮากำลังแสดงความเป็นห่วงต่อนาง
นางย่อเข่าคำนับด้วยความเคารพ ท่าทีเหมือนตอนที่เจอกับฮองเฮาเมื่อครั้งก่อน “ขอบพระทัยฮองเฮาเพคะ”
ฮองเฮามองนางครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า จากนั้นก็พูดกับองค์หญิงใหญ่ที่อยู่ข้างๆ
สืออีเหนียงยืนฟังพวกนางพูดคุยกันอย่างสงบเสงี่ยม
หลังจากงานเฉลิมพระชนมพรรษาเริ่มต้นขึ้น ทุกคนก็เดินเข้าไปร่วมงาน ตอนที่ดูการละเล่นนางก็คอยรับใช้ไท่ฮูหยินอยู่ข้างๆ รับใช้ได้เป็นอย่างดี
ฮองเฮาเห็นเช่นนี้ก็พยักหน้าเบาๆ พูดกับหวงกูกู “เดิมทีคิดว่านางสถานะต่ำต้อย อีกทั้งอายุยังน้อย อาจจะทำให้ท่านโหวลำบากใจ แต่ตอนนี้ดูแล้ว ข้าใจแคบเกินไปจริงๆ”
หวงกูกูยิ้มแล้วพูดว่า “ฮองเฮาไม่ได้ดูผิดเพคะ แต่แค่คิดไม่ถึงว่าท่านโหวจะมีวาสนาเช่นนี้ ได้แต่งกับสตรีเช่นนี้”
พวกนางกำลังพูดคุยกันอยู่ ก็มีขันทีรายงานเสียงดัง “ฮ่องเต้เสด็จ!”
ฮองเฮารีบจัดระเบียบเสื้อผ้าของตัวเองแล้วเดินออกไปต้อนรับ
นางยังไม่ทันได้ก้มคำนับ ฮ่องเต้ก็ประคองนางลุกขึ้น ไล่ขันทีออกไป จากนั้นก็ไปพูดคุยกับฮองเฮาที่เรือนทางทิศตะวันออกเป็นการส่วนตัว
“เรื่องของคุณชายสี่เจ้ารู้หรือไม่”
ฮองเฮาพยักหน้าแล้วพูดอย่างนิ่งสงบ “เขาเข้ามาบอกหม่อมฉันเมื่อสองวันก่อนแล้วเพคะ หม่อมฉันก็คิดว่าเป็นเรื่องที่ดี คิดว่าหลังจากงานเฉลิมพระชนมพรรษาผ่านพ้นไปแล้วจะไปทูลเรื่องนี้กับฝ่าบาท”
ฮ่องเต้ทรงตกพระทัย
ฮองเฮาถอนหายใจ “ฝ่าบาทก็รู้นิสัยของเขาดี ถึงแม้ว่าจะมีเรื่องอะไร เขาก็ไม่ยอมพูดออกมา สองสามปีก่อนที่เขาทะเลาะกับหยวนเนียง แท้งลูก พี่สองก็เสียชีวิต พี่สะใภ้สองเป็นคนมีความสามารถ แต่ก็ต้องกลายเป็นม่าย ช่วยเรื่องที่จวนก็ไม่ได้ พี่สามเป็นคนซื่อสัตย์ แต่พี่สะใภ้สามกลับเป็นคนแข็งกระด้าง สองสามปีนี้ก็เอาแต่อยากจะแยกออกไปอยู่ข้างนอก ทำเอาสกุลไม่สงบสุข ส่วนน้องห้าหม่อมฉันไม่พูดฝ่าบาทก็คงจะรู้อยู่แล้ว” นางกระอึกกระอัก “ตั้งคณะงิ้วเลี้ยงนักแสดงอยู่ข้างนอก…สกุลนี้พึ่งพาน้องสี่ เขาแค่อยากจะดูแข็งแกร่งต่อหน้าฝ่าบาท แต่หม่อมฉันได้ยินน้องสะใภ้สี่บอกว่า ต้องใช้น้ำร้อนแช่เท้าให้เขาทุกคืน บางครั้งเขาก็พูดว่ายังไม่ร้อนแต่กลับแช่จนผิวแดงไปหมด” พูดจบนางก็น้ำตาไหล “จะว่าไปแล้ว เขาก็เป็นบุตรของสกุลใหญ่สกุลโต เป็นขุนนางระดับสอง ไม่ต้องพูดถึงคนที่เหมือนเขา แม้แต่คนที่ต่ำต้อยกว่าเขาก็ยังเอาแต่เสวยสุข แต่เขาไม่เคยเสวยสุขเลยแม้แต่วันเดียว…ฝ่าบาททรงเมตตาให้เขาได้พักผ่อนสักสองสามวันเถิดเพคะ”
ฮ่องเต้เห็นฮองเฮาร้องไห้ เขาก็รีบปลอบ “เรารู้แล้ว เรารู้แล้ว สองสามมาปีนี้ลำบากเขาเกินไปแล้ว”
“เขากับฝ่าบาทเป็นทั้งขุนนางกับฮ่องเต้ แล้วยังเป็นพระเทวัน[1]” ฮองเฮาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตา “เขาช่วยฝ่าบาท ฝ่าบาทก็ทรงช่วยเขา มันเป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว แต่หม่อมฉันคิดว่า สิ่งที่น้องสี่กล่าววันนั้นก็มีเหตุผล เมื่อก่อนเพราะว่าสถานการณ์บังคับ จึงจำเป็นต้องทำ แต่ตอนนี้ฝ่าบาทเป็นบิดาของราษฎร เป็นคนที่มั่งคั่งที่สุด ผืนดินทั้งหมดล้วนเป็นของฝ่าบาท และคนที่อยู่บนผืนดินก็เป็นขุนนางของฝ่าบาท ยามนี้เเคว้นเหมียวเจียงยังคงสงบ แคว้นซีเป่ยก็ไม่มีเรื่องอันใด ฝ่าบาททรงเป็นฮ่องเต้ที่พระปรีชาสามารถมากที่สุด นอกนั้นก็เป็นความดีความชอบของเหล่าขุนนาง เขาไม่ชอบเล่าเรียนหนังสือ นอกจากสู้รบก็ทำสิ่งใดไม่เป็น เรื่องของฝ่าบาทเขาก็ช่วยไม่ได้ เขาจึงพยายามเป็นขุนนางที่รู้ในหน้าที่ เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเหล่าขุนนางที่คิดว่าตัวเองมีความดีความชอบแล้ว”
คำพูดของฮองเฮาทิ่มแทงหัวใจของเขายิ่งนัก
หากเขาอยากเป็นฮ่องเต้ที่มีความสามารถที่สุด เขาก็ต้องรับมือกับขุนนางให้ดี แต่คนที่คอยสนับสนุนเขากลับมีแต่เหล่าแม่ทัพ กลัวว่าพวกนั้นจะขัดขวางไม่ให้เขาเปลี่ยนระบอบใหม่…
ฮ่องเต้ได้ยินก็รู้สึกซาบซึ้ง “แต่จะให้เขาลาออกง่ายๆ เช่นนี้ไม่ได้ …”
“ฝ่าบาททรงสับสนแล้วเพคะ” ฮองเฮาพูด “หากฝ่าบาทยังทรงอยู่ เขาก็ยังคงพึ่งบารมีของพระองค์ได้ ถือชามข้าวทองคำของฝ่าบาทอยู่ในมือยังกลัวว่าจะไม่มีข้าวทานอีกหรือ ไม่เช่นนั้น ความสามารถอย่างเขา จะได้เป็นราชครูของรัชทายาทตอนอายุยี่สิบเจ็ดปีได้เช่นไร น้องสี่รู้จักตัวเองดี ฝ่าบาททรงยอมให้เขาลาออกเถิดเพคะ ถือโอกาสตอนที่ยังมีความดีความชอบ หากวันใดไม่ระวังเข้า ชื่อเสียงที่เขามีก็อาจจะสูญเสียไปจนหมด เขาเสียหน้า ฝ่าบาทก็เสียหน้านะเพคะ”
ฮ่องเต้ขจัดความกังวลออกไป เขาอดที่จะหัวเราะไม่ได้
——————————-
[1]พระเทวันพี่เขยหรือน้องเขย