สืออีเหนียงอึ้งไปชั่วขณะ
นึกไม่ถึงเลยว่าจู่ๆ สวีลิ่งอี๋จะพูดเรื่องพวกนี้กับตน
นึกไปถึงตอนที่เจอกับเขาครั้งแรก สีหน้าที่สุขุมเยือกเย็นในตอนนั้นกับสีหน้าท่าทีของเขาในตอนนี้ ใบหน้าที่แดงก่ำ เสียงพูดพึมพำ รอยยิ้มพลันปรากฏขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
เมื่อสวีลิ่งอี๋เห็นภรรยาของตนยิ้ม ก็ทำตัวไม่ถูกขึ้นมา จึงพูดขึ้นเสียงขรึมว่า “ที่ข้าพูดมาคือเรื่องจริง หลังจากเกิดเรื่องแล้ว ก็ได้ถามเฉียวอี๋เหนียงว่าเหตุใดถึงร้องตะโกน เฉียวอี๋เหนียงบอกว่าจู่ๆ ก็เห็นมีคนแอบอยู่หลังฉากบานพับ…ล้วนเป็นการเข้าใจผิดทั้งสิ้น”
สืออีเหนียงมองเห็นการเปลี่ยนแปลงของเขาได้อย่างชัดเจน จึงรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ นางรีบพูดขึ้นว่า “ท่านโหวเป็นใครกัน ผู้สยบเผ่าหมานทางตอนใต้ ผู้ปราบปรามแคว้นทางตอนเหนือ ชายชาตรีที่องอาจสง่าผ่าเผย ทำไมจะต้องมาโกหกหญิงที่แต่งงานแล้วเช่นข้าด้วยเล่า!”
คำยกยอปอปั้นนี้ฟังดูค่อนข้างเน้นย้ำ
สวีลิ่งอี๋เองรู้ดีแก่ใจอยู่แล้ว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกดีใจขึ้นมา นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ตอนที่ตนอุ้มเด็กคนหนึ่งเข้ามาโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ไม่ได้อธิบายให้กับสืออีเหนียงแม้แต่คำเดียว แต่สืออีเหนียงกลับไม่เคยสงสัยตนเลยแม้แต่นิดเดียว จู่ๆ ก็มีความรู้สึกมั่นคงในใจอย่างบอกไม่ถูก เขาพูดขึ้นด้วยคำพูดที่ปราศจากข้อกังขาใดๆ “หากว่าไปตามเนื้อผ้า เรื่องนี้เป็นความผิดของน้องห้า แต่หากจะพูดให้ลึกซึ้ง ข้าเองก็มีส่วนผิดด้วย” น้ำเสียงของเขาคลุมเครือไปด้วยความเศร้า “หลายปีนั้นข้าทำสงครามปราบปรามอยู่ข้างนอก จึงไม่ค่อยได้ดูแลเรื่องในเรือน เมื่อข้ากลับมา เขาก็กลายเป็นผู้ลากมากดีที่รู้จักแต่ดื่มกินเที่ยวเล่นเสเพลไปวันๆ ข้าเห็นแล้วก็ไม่สบายใจเป็นอย่างมาก ก็เลยพูดจากับเขาไม่ดีไปโดยปริยาย เขาเองเมื่อเห็นข้าก็หวาดกลัว จะมีเรื่องหรือไม่มีเรื่องก็คอยหลบหน้าข้าอยู่เสมอ เกิดเรื่องขึ้นอย่าว่าแต่จะมาปรึกษาหารือกับข้าเลย สิ่งแรกที่เขาคิดได้ก็คือจะหาวิธีปิดบังข้าอย่างไรดี…” เขาเอนกายบนหมอนอิงใบใหญ่พลางถอนหายใจยาว ทอดมองไปยังเพดานด้วยสายตาที่เลื่อนลอย “จะว่าไปแล้ว ตอนเด็กข้าเองก็ไม่ได้ประพฤติตัวเรียบร้อยไม่นอกลู่นอกทางเช่นนี้ แต่ตอนนั้นพี่รองทั้งอบอุ่นและพูดจาอ่อนโยนต่อข้าเสมอ คอยมาปรึกษาหารือ เวลาเกิดเรื่องอะไรระหว่างพี่น้องขึ้นมา พี่รองมักจะพยายามช่วยอย่างสุดความสามารถเสมอ ส่วนสิ่งที่ข้าปฏิบัติกับน้องห้านั้น…ไม่ตีก็ด่า เกิดเรื่องอะไรขึ้นมา เขาคงจะไม่บอกข้าอย่างแน่นอน เรื่องเกิดขึ้นมาจนขนาดนี้ จะโทษเขาคนเดียวก็ไม่ได้ ข้า…ข้าดีสู้พี่รองไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว” ทิ้งท้ายประโยคด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม
ให้คนที่ตายไปแล้วมาเป็นเกณฑ์วัด คนที่ยังมีชีวิตอยู่ย่อมยากที่จะดีเทียบเท่า
สืออีเหนียงจ้องมองไปยังสวีลิ่งอี๋ด้วยความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ
“จะเริ่มเปลี่ยนแปลงตอนนี้ก็ยังไม่สายนี่เจ้าคะ!” น้ำเสียงของนางนุ่มนวลและอ่อนโยนอย่างไม่คาดคิด “ยิ่งไปกว่านั้น ปีนี้คุณชายห้าเพิ่งจะอายุสิบเก้าปี วันข้างหน้าท่านว่างงานอยู่บ้าน สิ่งที่ท่านมีมากก็คือเวลาเจ้าค่ะ”
สายตาของสวีลิ่งอี๋จับจ้องไปยังสืออีเหนียง
สีหน้าและรอยยิ้มของนางนิ่งสงบ จ้องมองไปยังเขาด้วยแววตาที่จริงใจและโอบอ้อมอารี
อารมณ์จิตใจของเขาเปลี่ยนเป็นสงบขึ้นมาอย่างฉับพลัน รู้สึกสบายใจและไม่ว้าวุ่นอีกต่อไป
“หวังว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้จะสามารถเป็นบทเรียน สอนให้เขาคิดได้และเป็นผู้ใหญ่มากกว่านี้” สวีลิ่งอี๋ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
สืออีเหนียงก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ “ตรวจสอบได้แล้วหรือยังเจ้าคะ ว่าผู้ใดเป็นคนจะรับซื้อเด็ก”
สวีลิ่งอี๋ส่ายหน้าเบาๆ “ตอนนี้ยังไม่มีอะไรคืบหน้า”
ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ก็มีบ่าวรับใช้ชายเข้ามาเรียนว่า “ท่านโหว ท่านจิ้วเหยีย[1]ที่ตรอกกงเสียนมาแล้วขอรับ!”
สีหน้าของสวีลิ่งอี๋ชะงักไปเล็กน้อย เขาสั่งกับบ่าวรับใช้ชายไปว่า “เชิญจิ้วเหยียเข้ามา!” จากนั้นเขาก็หยัดกายลุกขึ้นแล้วลงจากเตียงเตา
สืออีเหนียงเปิดผ้าม่านส่งเขาด้วยตัวเอง จากนั้นก็เรียกหู่พั่วมา “เจ้าไปดูที่เรือนปั้นเย่ว์พั่นเสียหน่อย เขายังเด็กไม่รู้ความ ใครเป็นคนให้น้ำให้อาหารเด็กก็จะสนิทกับคนนั้น เจ้าเอาขนมไปด้วยสักหน่อย ให้ตงชิงเกลี้ยกล่อมเฟิ่งชิงกินอะไรเข้าไปบ้าง ท่านโหวบอกแล้ว อีกสองสามวันก็จะส่งเขาไปที่อื่น ระหว่างนี้นางคงต้องลำบากเสียหน่อย”
หู่พั่วขานรับแล้วจึงถอยออกไป
จากนั้นก็มีสาวใช้เข้ามาเรียนว่า “ฮูหยิน ท่านโหวให้ท่านไปที่ห้องโถงสักประเดี๋ยวเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงเดินไปยังหน้ากระจก จัดระเบียบเสื้อผ้าหน้าผม จากนั้นก็ตรงไปยังห้องโถงทันที
สวีลิ่งอี๋และหลัวเจิ้นซิ่งกำลังนั่งอยู่คนละฝั่งของโต๊ะสี่เหลี่ยมสีดำเงา บนโต๊ะยังมีกล่องไม้ที่มีอักษร ‘มั่งคั่ง’ ติดอยู่ ข้าวของเครื่องใช้ที่จะมอบเป็นของขวัญในวันปีใหม่ เมื่อเห็นสืออีเหนียงเดินเข้ามา หลัวเจิ้นซิ่งก็ลุกขึ้นพร้อมกับทักทายว่า “น้องหญิงสิบเอ็ด”
สืออีเหนียงเองก็เดินเข้าไปย่อตัวทำความเคารพ
สวีลิ่งอี๋ชี้ไปยังเก้าอี้ไท่ซือตำแหน่งถัดจากเขา “ไม่ใช่คนอื่นคนไกล ทุกคนนั่งลงคุยกันเถิด!”
สืออีเหนียงขานรับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็หย่อนตัวลงนั่ง สาวใช้ก็ได้ยกน้ำชาเข้ามาให้ แล้วจึงถอยออกไปอย่างสงบเสงี่ยม
สวีลิ่งอี๋จึงค่อยเอ่ยขึ้นว่า “เจิ้นซิ่งมาครั้งนี้ ก็เพื่อช่วยคุณชายจูมาส่งมอบของขวัญวันปีใหม่”
คุณชายจูส่งมอบของขวัญวันปีใหม่…จูอานผิง?
เมื่อความคิดนี้แล่นผ่านในหัว หลัวเจิ้นซิ่งก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เป็นน้องเขยเจ็ดสั่งคนมาส่งมอบของขวัญวันปีใหม่ให้กับทุกเรือนโดยเฉพาะ นึกไม่ถึงเลยว่าการเดินทางนั้นยากกว่าที่คิดไว้มาก ก็เลยล่าช้าไป เที่ยงนี้เพิ่งจะเดินทางมาถึง ข้าจึงถือโอกาสนำมาส่งให้”
“พี่หญิงเจ็ดเกรงใจไปแล้ว!” สืออีเหนียงค่อนข้างรู้สึกเกรงอกเกรงใจ
ล้วนเป็นบุตรีที่แต่งงานออกเรือนปีแรกเหมือนกัน ตนกับอู่เหนียงส่งมอบของขวัญให้กับรุ่นอาวุโสกว่าเท่านั้น แต่ไม่ได้มอบของขวัญให้กับรุ่นเดียวกันเลย
นางหันไปมองสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋รีบพยักหน้าให้นางทันที เพื่อบอกเป็นนัยว่าเขาเองได้เตรียมไว้แล้ว
สืออีเหนียงจึงค่อยรู้สึกโล่งใจ
หลัวเจิ้นซิ่งพูดขึ้นว่า “มีหลายอย่างที่น้องหญิงเจ็ดตั้งใจมอบให้เจ้าโดยเฉพาะ ข้าช่วยเอามาด้วยแล้ว”
ในเมื่อเข้าเมืองหลวงมาเพื่อส่งมอบของขวัญวันปีใหม่ หากให้ป้ารับใช้ที่ติดตามมาด้วยไปคารวะทักทายผู้หลักผู้ใหญ่ ทั้งเหมาะสมและยังมีเกียรติ ไม่ได้ทำให้เสียเรื่องเสียเวลาแต่อย่างใด แต่ทำไมจึงนึกไม่ถึงเรื่องนี้เลย กลับให้ชายชาตรีอย่างพี่ใหญ่มาส่งมอบของขวัญแทน…
ในใจก็แอบบ่นพึมพำว่าจูอานผิงนั้นทำงานหยาบกระด้าง แต่นางกลับแสดงออกด้วยรอยยิ้มพลางลุกขึ้นทำความเคารพหลัวเจิ้นซิ่ง “รบกวนพี่ใหญ่แล้ว”
หลัวเจิ้นซิ่งยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เรื่องเล็กน้อย” จากนั้นก็ได้ดันกล่องไม้บนโต๊ะไปข้างหน้า “ข้าเองตั้งใจว่าจะให้ป้ารับใช้ที่ติดตามพวกเขาตามเข้ามาคารวะพวกเจ้าด้วย เจ้าเองก็จะได้ถือโอกาสนี้ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของน้องหญิงเจ็ด พวกเจ้าเองจะได้ฝากหรือรับฟังเรื่องส่วนตัวของกันและกัน เพียงแต่ว่าป้ารับใช้สองคนนั้นกลัวว่าจะเสียมารยาท ไม่ว่าข้าจะพูดอย่างไรก็ไม่กล้าเข้ามา จึงต้องฝากข้าเข้ามาแทน”
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะอับอายจนเหงื่อตก
ที่แท้แล้วไม่ใช่เพราะเขาทำงานหยาบกระด้าง แต่เพราะเกรงกลัวฐานะที่สูงส่งของนางก็เลยไม่กล้าที่จะเข้ามา…ในใจสืออีเหนียงจึงเกิดความรู้สึกผิดขึ้นมาลึกๆ หากว่าได้เจอหน้ากัน ได้ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของชีเหนียงก็คงจะดีไม่น้อย!
นางอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ให้ท่านป้าทั้งสองเข้ามาให้ข้าได้เห็นหน่อยเถิด”
หลัวเจิ้นซิ่งยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้าว่าช่างเถิด! จะทำคนอื่นเขาตกใจเอาได้”
สืออีเหนียงจึงไม่ได้ฝืนต่อ ลี่ว์อวิ๋นที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เข้าไปเก็บกล่องไม้ใบนั้น สวีลิ่งอี๋จึงได้ถามไถ่ถึงนายท่านใหญ่และนายหญิงใหญ่ขึ้นมา “…สุขภาพร่างกายของทั้งสองท่านยังดีอยู่หรือไม่”
“ยังดีขอรับ” สุขภาพร่างกายของนายหญิงใหญ่ไม่ได้เพิ่งจะมาป่วยวันสองวันนี้ หลัวเจิ้นซิ่งตอบกลับด้วยความเกรงใจ
“หากมีเรื่องอะไรที่ต้องให้ข้าออกหน้าเองก็พูดออกมาให้เต็มที่” สวีลิ่งอี๋พูดขึ้น “สองวันก่อนข้าเพิ่งจะได้โสมอายุห้าสิบปีมาสองหัว ตอนเจ้ากลับก็นำกลับไปด้วย จะได้บำรุงร่างกายของท่านทั้งสอง”
หลัวเจิ้นซิ่งรีบปฏิเสธทันควัน “ร่างกายของท่านโหวเองก็ไม่ดีเท่าไรนัก เป็นเวลาที่เหมาะกับการใช้ยาที่สุด จะกล้ารับโสมของท่านได้อย่างไรกัน”
“คนบ้านเดียวกัน ไม่พูดจาแบ่งเป็นสองบ้าน” สวีลิ่งอี๋ก็ได้เรียกบ่าวรับใช้ให้ไปเอาโสมกับพ่อบ้านไป๋ จากนั้นก็ได้พูดต่อว่า “พ่อตาคิดวางแผนไว้อย่างไรบ้าง”
สีหน้าของหลัวเจิ้นซิ่งเก้อเขินเล็กน้อย เพราะนึกว่าสวีลิ่งอี๋ถามถึงสีหน้าตอนนายท่านใหญ่ที่ได้ยินคำพูดที่เขาฝากไปเมื่อครั้งก่อนว่าเป็นอย่างไรบ้าง
“ท่านพ่อมีนิสัยใจคอปัญญาชน เกรงว่าคงจะต้องใช้เวลาสักหน่อยจึงจะสามารถรับรู้และเข้าใจถึงพระประสงค์ที่แท้จริงของการอภัยโทษทั่วใต้หล้าตามเจตนารมณ์ของฝ่าบาทได้”
ใบหน้าของสวีลิ่งอี๋ปรากฏสีหน้าที่จนใจ เขาพูดขึ้นว่า “พ่อตาเป็นคนที่รับตำแหน่งขุนนางที่ใด ก็มักจะสร้างผลประโยชน์ให้กับราษฎรที่นั่น หากว่างเว้นจากงานอยู่แต่จวนเช่นนี้ ก็น่าเสียดายไม่น้อย แต่ตอนนี้ฝ่าบาททรงกำลังอยู่ในวัยหนุ่ม และทรงประสงค์ที่จะเรียนรู้ผลงานทางด้านวัฒนธรรม การศึกษาและวรยุทธ์ของฮ่องเต้ไท่จง เพื่อที่จะเป็นยอดจักรพรรดิของราชสมัย ต้นฤดูใบไม้ผลิปีหน้าจะเริ่มการสอบใหญ่ ตำแหน่งที่จะขยับเคลื่อนไหวนั้นค่อนข้างมีมาก หลิ่วเก๋อเหล่าลาออกจากราชสำนักก็ราวสองปีแล้ว เจิ้นซิ่งควรจะเกลี้ยกล่อมพ่อตาดีๆ หากได้การตัดสินใจที่ชัดเจนแล้ว ข้าจะได้วางแผนจัดการได้ง่ายขึ้น”
เขาบอกเป็นนัยว่าหากสามารถทำให้งานของนายท่านใหญ่ลุล่วงได้ ให้เขาติดตามฝ่าบาทด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น ฤดูใบไม้ผลิของปีหน้า เขาสามารถหาตำแหน่งที่ว่างเว้นให้ได้
หลัวเจิ้นซิ่งได้ยินแล้วกลับไม่ได้แสดงสีหน้าที่ควรจะดีใจออกมา แต่เขากลับลังเลไปครู่ใหญ่ จากนั้นก็ได้หันไปหาสวีลิ่งอี๋พลางตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “น้ำใจของท่านโหวข้ารับด้วยใจแล้ว เพียงแต่ว่าปีนี้ท่านพ่อชรามากแล้ว ร่างกายไม่ได้เป็นเหมือนเช่นเมื่อก่อน แทนที่จะไปรับตำแหน่งสูงๆ แล้วให้คนที่จวนเป็นห่วงกังวลใจ สู้อยู่บ้านเลี้ยงลูกดูแลหลานหรือปลูกต้นไม้เลี้ยงปลาจะสบายใจกว่า”
สุดท้ายก็ได้ปฏิเสธความตั้งใจของสวีลิ่งอี๋ไป
สวีลิ่งอี๋ค่อนข้างรู้สึกประหลาดใจ เขาพูดขึ้นอย่างลังเลว่า “เจ้าจะกลับไปปรึกษาหารือกับพ่อตาก่อนหรือไม่”
หลัวเจิ้นซิ่งหันไปมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความแปลกใจของสืออีเหนียง เขาส่ายหน้าเบาๆ “ไม่ปรึกษาหารือคงจะดีกว่า เฉกเช่นทุกวันนี้ ราชสำนักแปรปรวนมิอาจคาดเดาได้ แทนที่จะเข้าไปผสมโรงท่ามกลางวุ่นวายในเวลานี้ สู้อยู่บ้านใช้ชีวิตอย่างมั่นคงปลอดภัยเสียยังดีกว่า” พูดจบก็ได้ลุกขึ้นยืน พร้อมกับโค้งตัวคารวะสวีลิ่งอี๋ “ขอท่านโหวเห็นแก่ความตั้งใจของข้า ให้ความกตัญญูของเจิ้นซิ่งนี้สมดังที่หวังด้วยเถิด”
สืออีเหนียงแอบพยักหน้าเบาๆ
ถึงแม้ว่าการตัดสินใจเช่นนี้จะเป็นการขัดขวางอนาคตของนายท่านใหญ่ ถือเป็นการอกตัญญู แต่หากเปรียบเทียบกับความทะเยอทะยานของนายท่านใหญ่แล้ว สู้ให้เขาว่างเว้นอยู่บ้านเสียยังดีกว่า อย่างน้อยๆ ก็ไม่ต้องไปพัวพันกับเรื่องวุ่นวายเหล่านั้น อีกอย่างปีหน้าที่จะใกล้ถึงนี้ หลัวเจิ้นซิ่งก็คงจะได้รับตำแหน่งแล้ว แทนที่จะช่วยให้นายท่านใหญ่หวนคืนตำแหน่งในราชสำนัก สู้คิดหาวิธีหาตำแหน่งที่ดีให้กับหลัวเจิ้นซิ่งเสียยังดีกว่า
สวีลิ่งอี๋รู้สึกยังตัดสินใจไม่ได้
เขาไม่ได้จะต่อต้านความคิดของหลัวเจิ้นซิ่งแต่อย่างใด ตรงกันข้าม เขาเห็นด้วยกับความคิดของหลัวเจิ้นซิ่งเป็นอย่างมาก ยังรู้สึกซาบซึ้งในการกระทำของหลัวเจิ้นซิ่งเสียด้วยซ้ำ แต่ฐานะของเขานั้นคือบุตรเขย…มีใครบ้างที่จะไม่อยากให้สกุลเดิมเจริญรุ่งโรจน์ อีกทั้งยังสามารถกลับมาหนุนนำตนให้ยืนหยัดในบ้านสกุลสามีได้อย่างมั่นคงได้อีกด้วย และใช่ว่าเขาจะไม่มีกำลังความสามารถที่จะช่วยเหลือนายท่านใหญ่ไม่ได้เสียหน่อย
เมื่อนึกถึงสิ่งเหล่านี้ เขาก็ได้หันมามองสืออีเหนียง
สืออีเหนียงเองเมื่อเห็นว่าสวีลิ่งอี๋ไม่ได้พูดอะไรออกมา จึงได้หันไปมองเขา ทั้งสองหันมาสบตากันอย่างไม่ได้ตั้งใจ
เมื่อมองเห็นสีหน้าที่ลังเลใจของสวีลิ่งอี๋ นางจึงรีบพยักหน้าเบาๆ ให้กับเขา เพื่อบอกเป็นนัยว่าเห็นด้วยกับความคิดของหลัวเจิ้นซิ่ง
สีหน้าของสวีลิ่งอี๋ประหลาดใจเล็กน้อย
สืออีเหนียงจึงถือโอกาสนี้หันไปถามหลัวเจิ้นซิ่งด้วยรอยยิ้มว่า “ปีหน้าพี่ใหญ่ก็จะต้องเข้ารับตำแหน่งแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”
หลัวเจิ้นซิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
สวีลิ่งอี๋จึงได้เข้าใจ ทิ้งการซักไซ้ไถ่ถามเรื่องของนายท่านใหญ่ไป พลางยิ้มพร้อมกับหันมาถามหลัวเจิ้นซิ่งว่า “เช่นนั้นเจิ้นซิ่งคิดวางแผนไว้อย่างไรบ้าง ข้าว่ากระทรวงขุนนางก็ไม่เลวทีเดียว เจ้ามีความตั้งใจจะไปฝึกฝนเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่กระทรวงขุนนางหรือไม่”
อยู่เป็นขุนนางในราชสำนักที่เมืองเยี่ยนจิง แล้วเริ่มต้นจากหกกรมของราชสำนักก่อน นี่ถือเป็นการเริ่มต้นที่ค่อนข้างสูงมากเสียด้วยซ้ำ คนอื่นอยากจะวิงวอนร้องขอก็ยังทำไม่ได้
สืออีเหนียงหันไปยิ้มให้กับหลัวเจิ้นซิ่ง
หลัวเจิ้นซิ่งก็ยังคงปฏิเสธอย่างสุภาพ “…เรียนหนังสือตำรามานานนับหลายปี ล้วนแล้วแต่เป็นทฤษฎีการทหารบนกระดาษเท่านั้น อยากจะเป็นขุนนางที่มีความสามารถอย่างแท้จริง ควรเริ่มต้นจากการเป็นนายอำเภอก่อนจะดีกว่า”
สวีลิ่งอี๋ยิ้มขึ้นบางๆ พลางพูดขึ้นว่า “ถึงแม้จะมีคำพูดที่ว่าการจะเป็นขุนนางที่ดีควรเริ่มจากการเป็นนายอำเภอก่อน แต่ทว่า หากเจ้าเริ่มจากการเป็นขุนนางในราชสำนักของเมืองเยี่ยนจิงสักหลายปีก่อน คบค้าสมาคมกับสหายผองเพื่อนบ้าง ภายภาคหน้าจะมีประโยชน์ต่อการงานตอนอยู่ข้างนอกของเจ้าเป็นอย่างมาก”
หลัวเจิ้นซิ่งกำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่สวีลิ่งอี๋กลับพูดก่อนว่า “อย่างไรเสียก็ยังพอมีเวลาเหลือ เรื่องนี้เจ้ากลับไปคิดทบทวนดีๆ เถิด ฟังเจตนารมณ์ของพ่อตาแล้วค่อยทำการตัดสินใจก็ไม่เสียหาย”
เจตนาและท่าทีของสวีลิ่งอี๋ชัดเจนเป็นอย่างมาก หลัวเจิ้นซิ่งจึงไม่อาจพูดอะไรต่อได้ ทั้งสองจึงได้พูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นหลัวเจิ้นซิ่งก็ได้พูดขึ้นว่าจะต้องไปส่งของขวัญวันปีใหม่ให้กับซื่อเหนียงต่อ จึงได้ลุกขึ้นพร้อมกับขอตัวลา
สองสามีภรรยาจึงเดินไปส่งหลัวเจิ้นซิ่งคารวะไท่ฮูหยิน จากนั้นก็ได้เดินไปส่งเขาที่ประตูฉุยฮวา
พ่อบ้านไป๋ได้จัดเตรียมของขวัญตอบแทนน้ำใจเรียบร้อยแล้ว บ่าวรับใช้จำนวนหนึ่งกำลังช่วยกันขนของขึ้นรถม้าเพื่อที่จะส่งไปยังจวนสกุลจู สืออีเหนียงเห็นว่าจวนสกุลสวีมอบของขวัญตอบกลับจวนสกุลจูเต็มรถม้าหนึ่งคันเห็นจะได้ จึงตกใจเป็นอย่างมาก
หลัวเจิ้นซิ่งยิ้มเจื่อน “ของขวัญจวนสกุลจูค่อนข้างมาก เราทุกคนได้มาเรือนละหนึ่งคันรถม้าเห็นจะได้”
สืออีเหนียงเผลอยิ้มออกมา อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “พี่หญิงเจ็ดแต่งกับคนร่ำรวยจริงๆ เสียด้วย”
จวนสกุลสวีส่งมอบของขวัญวันปีใหม่ใช้ค่าใช้จ่ายไม่เกินแปดสิบตำลึงเงิน ข้าวของเพียงสิบยกเท่านั้น แต่จวนสกุลจูกลับส่งมอบของขวัญเป็นลำรถเชียว
—————-
[1]จิ้วเหยีย พี่ชายคนโตของภรรยา