“ช้าหน่อยๆ…เว่ยจวินมั่วเจ้าบ้านี่ ลงมือร้ายกาจเสียจริง เห็นสตรีดีกว่าเพื่อนจริงๆ” คุณชายฉังเฟิงบ่นพึมพำ
แม้ไม่รู้ว่าคุณชายฉังเฟิงสนทนาอันใดกับท่านแม่ทัพ แต่รู้สึกว่าเขาสมควรโดนแล้ว
เว่ยจวินมั่วนั่งอยู่หลังโต๊ะหนังสือคนเดียว ตรงหน้าเป็นจดหมายที่เพิ่งได้รับมา มองจดหมายที่ตนเองอ่านไปกว่าหลายรอบ คุณชายเว่ยลูบตัวอักษรบนกระดาษเบาๆ ใบหน้าหล่อเหลาดูระมัดระวังขึ้น ราวกับนั่นมิใช่จดหมาย แต่เป็นคนที่เขาคิดถึงที่สุด
อู๋สยามีลูก…ลูกคนแรกของพวกเขา แต่ว่า เขากลับ…
“อู๋สยา ขอโทษด้วย”
เวลาเช่นนี้ ข้ากลับไม่อาจอยู่เคียงข้างเจ้าได้
“รายงานท่านแม่ทัพ มีเรื่องเร่งด่วนต้องรายงานขอรับ” ด้านนอก มีเสียงดังขึ้น
ดวงตาของเว่ยจวินมั่ววูบไหวขึ้นมาเล็กน้อย รีบกลับมานิ่งสงบดังเดิม “เข้ามา”
คนที่เข้ามาคือทหารคนสนิทของเซี่ยลี่ ทหารคนสนิทยกมือประสานหันไปยังเว่ยจวินมั่ว เอ่ย “รายงานท่านแม่ทัพ แม่ทัพเซี่ยเพิ่งได้รับข่าว เป่ยหยวนแบ่งทหารออกเป็นสามทาง หนึ่งในนั้นมีกองกำลังทหารนับแสนนายกำลังมุ่งหน้าไปยังด่านฝานอวิ๋น แม่ทัพเซี่ยจึงขอกำลังเสริมจากท่านแม่ทัพโดยเร็วที่สุด”
“ด่านฝานอวิ๋นหรือ” เว่ยจวินมั่วเอ่ยเสียงเรียบ
“ตอบท่านแม่ทัพ ใช่แล้วขอรับ” ทหารคนสนิทหยุดไปชั่วครู่ เอ่ย “แม่ทัพเซี่ยบอกว่า ท่านแม่ทัพเพิ่งกลับมาจากการรบ พักผ่อนให้เพียงพอพรุ่งนี้ค่อยออกเดินทางก็ไม่เป็นไรขอรับ เพียงแต่…”
เว่ยจวินมั่วลุกขึ้น เอ่ยเสียงเรียบ “ไม่จำเป็น ออกเดินทางเดี๋ยวนี้”
“ขอรับ ท่านแม่ทัพ ข้าน้อยขอตัวลา”
เว่ยจวินมั่วก้มหน้า มองจดหมายที่อยู่บนโต๊ะ อู๋สยา ข้าจะรีบกลับไปให้เร็วที่สุด
ตั้งครรภ์แล้ว หนานกงมั่วพลันรู้สึกว่าตนเองสูงส่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มีคนคอยปรนนิบัติมากมาย ไม่ว่าสิ่งใดเพียงเอ่ยปากก็ถูกส่งมากองตรงหน้า องค์หญิงฉังผิงและพระชายาเยี่ยนอ๋องส่งคนมาก็ช่างเถิด แม้แต่ชวีเหลียนซิงและหลิ่วหันยังทำราวกับนางเป็นไข่มุกที่บอบบางต้องคอยระมัดระวัง จนหนานกงมั่วสงสัยว่าตนเองนั้นแทบจะพิการแล้ว
นอนอยู่บนเก้าอี้ยาวอย่างไร้เรี่ยวแรง หนานกงมั่วไร้ซึ่งคำจะเอ่ยมองหมิงฉินที่ถือถาดผลไม้สดหลากหลายชนิดมาตรงหน้า จากนั้นมองมือของจือซูที่ถือของว่างนานาชนิด อีกทั้งยังมีชวีเหลียนซิงที่กำลังยกถ้วยโจ๊กที่เพิ่งต้มเสร็จเดินเข้ามา อดไม่ได้ที่จะหงุดหงิด
“พวกเจ้าไม่มีอันใดทำกันแล้วหรือ”
ชวีเหลียนซิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “มีสิเจ้าคะ เรื่องสำคัญที่สุดสำหรับพวกเราคือดูแลจวิ้นจู่ให้ดีเจ้าค่ะ”
หมิงฉินและจือซูพยักหน้าพร้อมเพรียง “จวิ้นจู่ แม่นมหลานบอกว่าหากไม่ดูแลจวิ้นจู่ให้ดี จะถลกหนังหัวของพวกเราเจ้าค่ะ”
หนานกงมั่วกลอกตา “พอเถิด แม่นมหลานเพียงเอ่ยไปก็เท่านั้น” หมิงฉินและจือซูเป็นคนที่แม่นมหลานฝึกฝนมา แม่นมหลานที่ไม่มีบุตรชายบุตรสาวจึงดูแลพวกนางราวกับเป็นลูกแท้ๆ
จือซูส่ายศีรษะ เอ่ย “แม่นมหลานเป็นห่วงที่สุด ก็คือจวิ้นจู่นะเจ้าคะ”
แน่นอนว่าหนานกงมั่วเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี มาถึงเรือนชิงมั่วแล้วทุกสิ่งทุกอย่างแทบเป็นแม่นมหลานที่คอยจัดการดูแล ยามนี้นางตั้งครรภ์ จึงดึงงานที่หมิงฉินและจือซูต้องจัดการไปจนหมด ให้พวกนางมาคอยดูแลนาง หากมิใช่เพราะหนานกงมั่วยืนยันว่าไม่ยอม เกรงว่าแม่นมหลานคงมาดูแลนางด้วยตนเองแล้ว
หนานกงมั่วถอนหายใจออกมา กวาดตามองชวีเหลียนซิงที่กำลังวางถ้วยโจ๊กลงบนโต๊ะเอ่ยถาม “เชียนชื่อยังมีชีวิตอยู่หรือไม่”
ชวีเหลียนซิงยกมือขึ้นป้องปากพลางหัวเราะ เอ่ย “จวิ้นจู่วางใจ ซื่อจื่อยังมีชีวิตอยู่เจ้าค่ะ” อย่างมากก็คงทำสิ่งใดไม่ถูกสักหน่อย อีกทั้งก่อนหน้านี้จวิ้นจู่และซื่อจื่อได้จัดการเรื่องใหญ่ไว้หมดแล้ว เพียงให้ซื่อจื่อทำต่อไปก็พอแล้ว นึกถึงก่อนจะเข้ามามองเห็นพระชายาซื่อจื่อดวงตาเขียวปั๊ดเดินเร็วๆ ออกจากเรือนไป ด้านหลังมีกลุ่มคนหอบปึกกระดาษหนาหลากหลายรูปแบบตามออกไป ชวีเหลียนซิงแสดงออกให้เห็นว่านางมองไม่เห็นอันใดทั้งนั้น
“จวิ้นจู่อารมณ์ไม่ดีหรือ มีลูกแล้วควรมีความสุขสิเจ้าคะ” ชวีเหลียนซิงเอ่ยด้วยความกังวล หากอารมณ์ไม่ดีก็จะไม่ดีต่อลูก
หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเนิบช้า “เจ้าถูกคนรุมล้อมทั้งวันเช่นนี้จะอารมณ์ดีได้หรือ”
ชวีเหลียนซิงหัวเราะแห้ง “ก็เพราะทุกคนเป็นห่วงจวิ้นจู่มิใช่หรือเจ้าคะ”
หนานกงมั่วส่งเสียงหึเบาๆ ยื่นมือไปลูบหน้าท้องที่ยังดูไม่ออก “เป็นห่วงข้าหรือ ข้าว่าคงเป็นห่วงเขาเสียมากกว่า ยังไม่ทันออกมาก็ทำให้พวกเจ้าไม่เชื่อฟังข้าแล้ว”
พวกชวีเหลียนซิงทั้งสามมองสบตากัน มองเห็นรอยยิ้มในสายตาของอีกฝ่าย จวิ้นจู่ตั้งครรภ์แล้วขี้งอนขึ้นมากอย่างนั้นหรือ
“พวกเราจะไม่ฟังจวิ้นจู่ได้เยี่ยงไรเจ้าคะ จวิ้นจู่รีบมาทานโจ๊ก แล้วพวกเราออกไปเดินเล่นเป็นอย่างไรเจ้าคะ นี่เป็นอาหารและยาที่คุณชายเสียนเกอจัดไว้ด้วยตนเองเลยนะเจ้าคะ”
เพียงเอ่ยถึงคุณชายเสียนเกอ หนานกงมั่วพลันนึกถึงน้ำล้างหม้อที่ดื่มไปเมื่อหลายวันก่อน อดไม่ได้อยากอาเจียนออกมา
“โอ้ จวิ้นจู่อยากอาเจียนหรือเจ้าคะ” ความจริงลูกคนนี้เชื่อฟังมากทีเดียว หลายวันมานี้หนานกงมั่วไม่ได้มีอาการแพ้ท้องอาเจียนแต่อย่างใด ตอนนี้สามเดือนกว่าแล้วอย่างไรก็คงจะไม่…
หนานกงมั่วกัดฟัน “ยกของบ้านั่นออกไป” ข้าไม่มีทางให้ลูกข้ากินน้ำล้างหม้อนั่นหรอก
ชวีเหลียนซิงมองโจ๊กถ้วยนั้นโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ก็หอมดีนี่นา ไม่เคยได้ยินว่าจวิ้นจู่ไม่ชอบปลา เอาล่ะ คุณชายเสียนเกอบอกว่าคนตั้งครรภ์อารมณ์ไม่มั่นคง ให้คนครัวเตรียมไว้ตลอดเวลา ไม่แน่ว่าตอนไหนจวิ้นจู่อาจจะหิวขึ้นมาก็ได้
ในห้องหนังสือที่เงียบสงบ จูชูอวี้นั่งอยู่หลังโต๊ะหนังสือตั้งใจอ่านตำราในมือ เก้าอี้ตรงหน้าห่างออกไปไม่ไกลเฉินซื่อกำลังนั่งมองสำรวจน้องสะใภ้ตรงหน้านิ่งดวงตาไม่ขยับ แววตาริษยาพาดผ่าน
“น้องสะใภ้” เห็นจูชูอวี้ไม่สนใจตนเอง เฉินซื่อจึงกระแอมไอแล้วเอ่ยเรียก
จูชูอวี้หยุดมือ เงยหน้าขึ้นมายิ้มบางๆ เอ่ย “พี่สะใภ้ใหญ่ มีเรื่องใดหรือเจ้าคะ”
เฉินซื่อรู้สึกกลัดกลุ้ม ซุนเหยียนเอ๋อรที่เดิมขี้ขลาดถ่อมเนื้อถ่อมตัวอยู่ตลอดเวลาไม่ต้องเอ่ยถึง จูชูอวี้ที่ว่ากันว่าสร้างเรื่องมากมายที่จินหลิงเมื่อแต่งเข้ามาในจวนเยี่ยนอ๋องแล้ว หลังจากก่อนและหลังวันแต่งงาน เห็นชัดว่าถ่อมตัวเป็นพิเศษ ตั้งแต่นางถูกเสด็จแม่ทอดทิ้ง ซุนเหยียนเอ๋อร์กลับได้ดูแลงานในจวนต่อจากเสด็จแม่ไปไม่น้อย กลับกันพวกนางที่เป็นสะใภ้สองคนกลับคว้าอันใดเอาไว้ไม่ได้ เดิมทีนางคิดว่าจูชูอวี้จะรับการปฏิบัติที่แตกต่างนี้ไม่ได้ เวลานานไปคงเริ่มเหน็บแนมซุนเหยียนเอ๋อร์ ใครจะรู้ว่ารอมาตั้งนานนอกจากจะไม่สำเร็จก็ยังมีซิงเฉิงจวิ้นจู่มาอีกคน เวลาผ่านไปนานเข้ายังมีใครจำการมีอยู่ของนางพระชายาซื่อจื่อผู้นี้ได้บ้าง
แม้ว่าแรกเริ่มเฉินซื่อจะมีภาพจำที่ไม่เลวกับหนานกงมั่ว แต่เมื่อสถานการณ์ของตนเองเปลี่ยนไป ความคิดเองก็ค่อยๆ เปลี่ยนตามไปด้วย แต่มิใช่ว่าตอนนี้เฉินซื่อจะเกลียดหนานกงมั่วแล้ว แต่เพราะนางที่เป็นพระชายาผู้สืบทอดจวนเยี่ยนอ๋อง ทว่าไปที่ใดกลับเห็นแต่หน้าของหลานสะใภ้ท่านอ๋อง แม้กระทั่งซื่อจื่อของตนก็เชื่อฟังหนานกงมั่ว เฉินซื่อจะไม่คิดอันใดได้อย่างไร
เฉินซื่อลังเลอยู่ชั่วครู่ เอ่ย “ข่าวพี่สะใภ้ตั้งครรภ์ น้องสะใภ้ได้ยินมาบ้างหรือไม่”