หลิ่วหันไม่ได้ตอบกลับ ชายารองกงตั้งใจจะแสดงเป็นพระโพธิสัตว์ที่กำลังโปรดสัตว์หรืออย่างไรกัน สมองของนางคงจะมีปัญหากระมัง
เหล่าบรรดาผู้ดูแลต่างพากันคลานเข่าเข้าไปหากงเสี่ยวเตี๋ยพลางวิงวอนร้องขอความช่วยเหลือ ตนนั้นถูกใส่ร้ายป้ายสีและได้รับความไม่เป็นธรรม
กงเสี่ยวเตี๋ยเอ่ยขึ้น “เรื่องนี้ยังไม่ได้รับการตรวจสอบให้กระจ่าง เหตุใดถึงได้ฆ่าคนตามอำเภอใจเช่นนี้”
หลิ่วหันตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ชายารองกง ไม่ทราบว่าเหตุใดท่านถึงมาอยู่ที่นี่ได้ และเข้ามาแทรกแซงการตัดสินใจของจวิ้นจู่ด้วยฐานะใดหรือ”
กงเสี่ยวเตี๋ยกัดริมฝีปากแน่น จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นพลางเอ่ย “ข้าคือชายารองของเยี่ยนอ๋อง ยังไม่เพียงพออีกหรือ”
“ฮ่าๆๆ” หลิ่วหันได้ยินแล้วก็หัวเราะดังลั่น “แม้แต่พระชายายังไม่เข้ามาก้าวก่ายการตัดสินใจของจวิ้นจู่และท่านซื่อจื่อเลย”
กงเสี่ยวเตี๋ยขบฟันแน่น จากนั้นก็หยิบป้ายอาญาสิทธิ์ออกมาจากแขนเสื้อ พลางถามหลิ่วหันว่า “สิ่งนี้ เพียงพอหรือไม่”
ป้ายอาญาสิทธิ์ของเยี่ยนอ๋องหรือ
หลิ่วหันขมวดคิ้วพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “บ่าวจะไปเรียนจวิ้นจู่เดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
กงเสี่ยวเตี๋ยกระแอมเบาๆ พลางเอ่ยว่า “รับสั่งของท่านอ๋อง เจ้ากล้าฝ่าฝืนหรือ” หลิ่วหันเหลือบมองกงเสี่ยวเตี๋ยอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “ข้าคือคนของจวิ้นจู่ ซิงเวย!”
ซิงเวยพยักหน้าเบาๆ เพื่อบอกเป็นนัยว่าเขาจะดูแลทางนี้เอง ภายในห้องหนังสือ หลังจากที่ได้ยินรายงานจากหลิ่วหัน หนานกงมั่วก็ขมวดคิ้วแน่น “กงเสี่ยวเตี๋ยนำป้ายอาญาสิทธิ์ของเยี่ยนอ๋องมาช่วยชีวิตคนหรือ”
หลิ่วหันพยักหน้าเบาๆ “จวิ้นจู่ ข้าน้อยตรวจดูแล้ว ป้ายอาญาสิทธิ์เป็นของจริงเจ้าค่ะ” หนานกงมั่วส่ายหน้าพลางหัวเราะเบาๆ “เรื่องนี้ข้าไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด กงเสี่ยวเตี๋ยกล้านำป้ายอาญาสิทธิ์มาหลอกลวงผู้อื่นเสียที่ไหนกัน แต่ทว่า…เหตุใดเยี่ยนอ๋องถึงได้ต้องการละเว้นชีวิตคนเหล่านี้ด้วย”
“เรื่องนี้…” หลิ่วหันส่ายหน้าเบาๆ นางไม่ค่อยถนัดคิดเรื่องเช่นนี้นัก ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เข้าใจอยู่ดี หนานกงมั่วจึงเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น “ช่างเถิด ตอนนี้รีบนำตัวคนเหล่านั้นไปขังไว้ก่อน”
หลิ่วหันค่อนข้างแปลกใจ ตามหลักนิสัยของจวิ้นจู่ หากมีความตั้งใจที่จะฆ่าคนเหล่านี้แล้ว อย่าว่าแต่กงเสี่ยวเตี๋ยมีป้ายอาญาสิทธิ์ของเยี่ยนอ๋องเลย เกรงว่าถึงแม้จะนำราชโองการมาก็ไร้ประโยชน์ อย่างไรเสียนางก็ต้องไว้หน้าเสด็จลุงอยู่แล้ว การฆ่าคนเหล่านี้นอกจากได้ระบายโทสะเพียงชั่วขณะก็ไม่มีประโยชน์อื่นใดอีก
หลิ่วหันเข้าใจได้ในทันที “จวิ้นจู่ไม่ได้มีเจตนาฆ่าพวกเขาตั้งแต่ทีแรก”
“แต่ก็ยังจำเป็นต้องเชือดไก่ให้ลิงดูอยู่ดี” หนานกงมั่วเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ นางเองไม่ใช่คนประเภทใจอ่อนขี้สงสาร หากจำเป็นจะต้องฆ่าคนจำนวนหนึ่งจริงๆ นางก็ไม่ได้ติดขัดอันใด หนานกงมั่วค่อยๆ ลุกขึ้นยืนพลางเอ่ยขึ้นว่า “รีบจัดการเรื่องเสบียงอาหารก่อน ส่วนทางฝั่งกงเสี่ยวเตี๋ย เยี่ยนอ๋องคงจะมีคำชี้แจงให้เรา”
ขณะที่หนานกงมั่วพาหลิ่วหันกลับไปยังลานกว้าง ก็เจอเข้ากับเซียวเชียนชื่อที่กำลังพาคนจำนวนหนึ่งกลับมาพอดี เมื่อเห็นว่าคนนับร้อยยังคงมีชีวิตอยู่ ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองหนานกงมั่วด้วยความแปลกใจ เหตุใดถึงยังไม่ลงมือ ดูไม่เหมือนนิสัยของพี่สะใภ้เลย
“พี่สะใภ้ มีอันใดเปลี่ยนแปลงหรือ” เซียวเชียนชื่อเดินไปยืนข้างๆ หนานกงมั่วพลางถามขึ้นเสียงเบา
หนานกงมั่วส่งสายตาบอกเป็นนัยให้เขามองไปที่กงเสี่ยวเตี๋ย เซียวเชียนชื่อก็สังเกตเห็นว่าในมือของกงเสี่ยวเตี๋ยถือป้ายอาญาสิทธิ์อยู่ รูม่านตาของเขาก็หดแคบลงทันที
“จวิ้นจู่” กงเสี่ยวเตี๋ยรีบเดินเข้าไปหาหนานกงมั่ว ยิ้มพลางเอ่ย “ท่านอ๋องมีรับสั่งว่าห้ามประหารชีวิตคนเหล่านี้”
หนานกงมั่วแสยะยิ้มพลางกวาดสายตามองผู้คนที่พากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก พยักหน้าเบาๆ “ข้าเข้าใจแล้ว เชิญชายารองกลับไปเถิด”
กงเสี่ยวเตี๋ยชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นจึงจ้องมองไปยังหนานกงมั่วอย่างอึ้งๆ
หนานกงมั่วยิ้มบางพลางเอ่ย “ชายารองยังมีธุระอื่นอีกด้วยหรือ”
กงเสี่ยวเตี๋ยมองไปยังกลุ่มคนที่ถูกเซียวเชียนชื่อนำตัวมาเมื่อครู่นี้ คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่ค่อนข้างสำคัญของเยี่ยนอ๋อง เห็นได้ชัดว่าเซียวเชียนชื่อไว้หน้าแล้ว จึงไม่ได้มัดกุมหรือคุมตัวคนเหล่านี้มา
หนานกงมั่วมองตามสายตาของนาง จากนั้นก็ยิ้มพลางเอ่ยขึ้นว่า “ชายารองโศกเศร้าอาดูรเป็นห่วงราษฎร ช่างน่าซาบซึ้งใจยิ่งนัก ท่านวางใจเถิด ในเมื่อข้าไม่ได้ประหารคนเหล่านี้ แน่นอนว่าข้าย่อมไม่ไปแตะต้องพวกเขาอยู่แล้ว อย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นบุคคลที่ได้รับความไว้วางใจจากเยี่ยนอ๋อง ชายารองยังรู้สึกกังวลใจอยู่อีกหรือ”
“เปล่า…”
“เช่นนั้นก็เชิญเถิด ทหาร ส่งชายารองกลับไปทูลเสด็จลุงที่วัดหลิงเฉวียน ข้าเข้าใจเจตนารมณ์ของเสด็จลุงแล้ว” หนานกงมั่วไม่ให้กงเสี่ยวเตี๋ยมีโอกาสได้เอ่ยสิ่งใดต่อ
“ขอรับ จวิ้นจู่” องครักษ์สองนายเดินเข้าไปหากงเสี่ยวเตี๋ยพร้อมกับประสานมือคารวะ “ชายารอง เชิญขอรับ”
กงเสี่ยวเตี๋ยจ้องมองแววตานิ่งเฉยของหนานกงมั่วและเซียวเชียนชื่อ รวมไปถึงผู้คนที่อยู่รอบๆ จึงรู้ตัวว่าตนนั้นไม่สามารถทำอันใดได้ จึงเอ่ยขึ้นด้วยความจนใจว่า “ข้าพาคนของข้ามาเอง ไม่ต้องส่ง” องครักษ์ทั้งสองยังคงเดินเข้าหากงเสี่ยวเตี๋ยพลางเอ่ยขึ้นว่า “ชายารอง เชิญขอรับ” ราวกับว่าไม่ได้ยินคำเอ่ยของนางอย่างไรอย่างนั้น กงเสี่ยวเตี๋ยกัดฟันพลางสะบัดแขนเสื้อหมุนตัวเดินออกไปทันที
“พี่สะใภ้ นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่ เหตุใดเสด็จพ่อถึงได้…กงเสี่ยวเตี๋ยแอบอ้างรับสั่งของเสด็จพ่อหรืออย่างไรกัน” เซียวเชียนชื่อถามขึ้น
หนานกงมั่วส่ายหน้าพลางเอ่ยว่า “ไม่หรอก กงเสี่ยวเตี๋ยไม่ได้ใจกล้าขนาดนั้น”
“แต่นี่ดูไม่เหมือนนิสัยของเสด็จพ่อเลย” เซียวเชียนชื่อไม่เข้าใจ ตามหลักนิสัยของเยี่ยนอ๋องแล้ว เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ ถึงแม้คนเหล่านี้ตายไปก็ย่อมไม่เสียดายเลยด้วยซ้ำ จะส่งคนมายับยั้งได้อย่างไรกัน ยิ่งไปกว่านั้น เหมาะสมแล้วหรือกับการที่ส่งกงเสี่ยวเตี๋ยมาขัดขวาง
หนานกงมั่วยักไหล่เบาๆ “ข้าจะไปรู้ได้เช่นไรกัน” นางมิใช่เทพธิดาหยั่งรู้เสียหน่อย
หนานกงมั่วจ้องมองกลุ่มคนที่ถูกนำตัวมาอยู่ครู่หนึ่ง โดยรวมแล้วล้วนเป็นคนที่รู้จักเสียส่วนใหญ่ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทุกคนต่างรู้ว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น การที่พวกเขาถูกนำตัวมาไต่สวนนั้นถือเป็นเรื่องปกติ จึงไม่ได้ร้องโวยวายไม่พอใจเหมือนเช่นเหล่าบรรดาผู้ดูแลก่อนหน้านี้ หนานกงมั่วถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นจึงหันกลับไปมองเซียวเชียนชื่อ เอ่ย “แบ่งทหารเป็นสองกอง เจ้าจะไปจัดการเรื่องเสบียงอาหาร หรือว่าจะสืบค้นข้อเท็จจริงอยู่ที่นี่”
“จัดการกับเสบียงอาหารหรือขอรับ” เซียวเชียนชื่ออึ้งไปชั่วขณะ “พี่สะใภ้มีแผนรับมือแล้วหรือ”
หนานกงมั่วเอ่ยตอบ “ตอนนี้ควรไปขอยืมเสบียงอาหารจากใต้เท้าฉีมาจำนวนหนึ่งก่อน รับมือกับปัญหาตรงหน้าเรียบร้อยแล้ว ที่เหลือเราค่อยว่ากันอีกที”
เซียวเชียนชื่อลูบจมูกเบาๆ “ข้าอยู่ที่นี่เอง” เขารู้ตัวว่าตนเองนั้นไม่มีปัญญาที่จะไปเอาเสบียงอาหารจากผู้ว่าการโยวโจวได้อยู่แล้ว
หนานกงมั่วพยักหน้าพลางตบไหล่เซียวเชียนชื่อเบาๆ จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกจากลานพร้อมกับคนจำนวนหนึ่ง ด้านหลัง เซียวเชียนชื่อกวาดตามองดูผู้คนที่อยู่เบื้องหน้าด้วยแววตาที่เคร่งขรึมกว่าเดิม เขาโยนเรื่องยุ่งยากเช่นนี้ให้พี่สะใภ้ไปช่วยจัดการแล้ว คนส่วนที่เหลือเขาก็ควรจะจัดการให้ดีถึงจะถูก
หนานกงมั่วนั่งจิบชาอยู่ในห้องโถงใหญ่ของสำนักผู้ว่าการโยวโจว ผู้ว่าการโยวโจวค่อยๆ เดินเข้ามาอย่างช้าๆ ด้วยความใจเย็น ดูจากฝีเท้าของเขาแล้ว เห็นได้ชัดว่ากำลังอารมณ์ดีไม่น้อย ก็จริง จวนเยี่ยนอ๋องเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ ไม่ว่าเขาจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่ เขาย่อมต้องอารมณ์ดีอยู่แล้ว
“ซิงเฉิงจวิ้นจู่ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่จวิ้นจู่มาเยือนหยาเหมินเมืองเล็กๆ ของข้า” ผู้ว่าการโยวโจวรีบเดินเข้ามาต้อนรับพร้อมกับประสานมือคารวะ เมื่อไม่กี่วันก่อนเขาเพิ่งจะขาดทุนครั้งใหญ่ภายใต้น้ำมือของหนานกงมั่ว วันนี้สามารถชดเชยกลับมาได้ ผู้ว่าการโยวโจวจึงรู้สึกอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
ใต้เท้าฉีย่อมรู้ถึงจุดประสงค์การมาของหนานกงมั่วอยู่แล้ว
หนานกงมั่ววางถ้วยน้ำชาลงพลางเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “ใต้เท้าฉีเกรงใจไปแล้ว ข้ามารบกวนท่านกะทันหันเช่นนี้ ขอใต้เท้าฉีโปรดอย่าถือสา”
“มิกล้า มิกล้า” ผู้ว่าการเมืองโยวโจวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเกรงใจพลางหย่อนตัวนั่งลงบนที่นั่งประจำตำแหน่ง
“มิทราบว่าจวิ้นจู่มีธุระใดหรือ”