หนานกงมั่วนวดหว่างคิ้วเบาๆ พลางเอ่ยว่า “ไปตรวจสอบคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มาให้หมด”
“เจ้าค่ะ จวิ้นจู่”
“จวิ้นจู่” จู่ๆ หลิ่วหันก็เดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นเสียงขรึม “จวิ้นจู่ มีคนให้การแล้วเจ้าค่ะ”
หนานกงมั่วเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ “หืม บอกอันใดบ้าง”
หลิ่วหันสีหน้าเคร่งขรึมพลางเอ่ยตอบเสียงเบา “ในเหล่าบรรดาผู้ดูแลทั้งหมด มีสองคนที่ถูกเปลี่ยนตัวเข้ามา คนที่พึ่งฆ่าตัวตายไปเมื่อครู่นี้คือหนึ่งในนั้น ส่วนคนอื่นๆ ล้วนถูกข่มขู่ด้วยจุดอ่อนเจ้าค่ะ”
“หืม” หนานกงมั่วแปลกใจ “จุดอ่อนแบบไหนกัน ถึงได้สำคัญกว่าชีวิตคนในครอบครัวของตนเอง”
หลิ่วหันตอบกลับ “ตามแผนเดิมที่วางไว้ในตอนแรก การจัดเสบียงในรอบถัดไปก็คืออีกห้าวันหลังจากนี้ ดังนั้นพวกเขาก็เลยจะแยกย้ายหลังจากนี้อีกสามวัน แต่คาดไม่ถึงว่าเมืองที่ติดกับเขตชายแดนจะถูกทหารม้าของเป่ยหยวนโจมตี พืชผลถูกเผาทำลายจนหมด ก็เลยมีการเบิกเสบียงอาหารล่วงหน้า ดังนั้น…”
“ดังนั้นแผนของพวกเขาก็เลยยุ่งเหยิงไม่เป็นท่าหรือ” หนานกงมั่วเอ่ยถามขึ้น หลิ่วหันพยักหน้าเบาๆ หนานกงมั่วหลุบตาลงต่ำพลางใช้ความคิด ผ่านไปครู่ใหญ่จึงค่อยเอ่ยขึ้น “จับคนที่ให้การมาฆ่าเสีย”
“หา” ทั้งสามอึ้งไปชั่วขณะพลางหันไปมองหนานกงมั่วอย่างพร้อมเพรียง หนานกงมั่วจึงเอ่ย “เขาไม่ได้เอ่ยความจริง หรือจะเอ่ยว่า…จริงครึ่งเท็จครึ่งก็ว่าได้ เพราะหากการที่พวกเขาถูกข่มขู่ด้วยจุดอ่อนเป็นเรื่องจริง ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดเมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ต้องเผชิญหน้ากับคำสั่งประหารทั้งตระกูล ยิ่งไปกว่านั้น ข้าเองรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก เหตุใดพวกเขาถึงสามารถจับจุดอ่อนของคนจำนวนมากขนาดนี้มาทรยศจวนเยี่ยนอ๋องในเวลาเดียวกันได้ พวกเขาทำอย่างไรถึงทำให้คนเหล่านี้เชื่อมั่นว่าพวกเขาจะรักษาชื่อของทุกคนไว้เป็นความลับ ที่นี่…คือโยวโจวนะ” ทั้งยังเป็นอาณาเขตของเยี่ยนอ๋อง ตราบใดที่ยังอยู่ในอาณาเขตของโยวโจว ก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยได้เต็มปากว่าจะสามารถมีชีวิตรอดออกไปได้ และถึงแม้ว่าจะหลบหนีออกจากโยวโจวได้แล้ว แต่ขึ้นเหนือก็เป็นดินแดนแห้งแล้ง และหากลงใต้…ก็เป็นอาณาจักรของฉีอ๋องและชิ่งอ๋อง คนหนึ่งเป็นน้องชายร่วมมารดาของเยี่ยนอ๋อง อีกคนก็เป็นผู้ติดตามที่ซื่อสัตย์และจงรักภักดีของเยี่ยนอ๋อง หากมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกก็เป็นอาณาจักรของหนิงอ๋อง ความสัมพันธ์ระหว่างหนิงอ๋องกับเยี่ยนอ๋องก็ถือว่าไม่เลวทีเดียว และสามกองทัพไท่หนิงส่วนพระองค์ก็ไม่ใช่เล่นๆ เกรงว่าถึงแม้คนเหล่านี้จะสามารถหลบหนีออกจากอาณาเขตโยวโจวได้ก็ไม่สามารถหลบหนีความตายได้อยู่ดี
“บ่าวจะรีบไปทันที” เมื่อรู้ตัวว่าถูกนักโทษเหล่านั้นหลอก หลิ่วหันก็รีบหมุนตัวออกไปด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมทันที เซียวเชียนชื่อหันไปมองหนานกงมั่วด้วยสีหน้าครุ่นคิด หนานกงมั่ววางมือลงบนที่ท้าวแขนของเก้าอี้พลางเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่ต้องทำหน้าเช่นนี้ ข้าพอจะเดาได้แล้ว…ว่าใครเป็นคนวางแผนการครั้งนี้”
“จริงหรือ ผู้ใดกัน”
หนานกงมั่วเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “ในจวนเยี่ยนอ๋อง นอกจากเสด็จลุงแล้ว ก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะสามารถควบคุมผู้คนมากมายขนาดนี้”
เซียวเชียนชื่อเงียบงัน มีไม่มากจริงๆ เสียด้วย แม้แต่พวกเขาที่เป็นถึงบุตรชายของเยี่ยนอ๋องก็อาจจะทำเช่นนี้ไม่ได้เสียด้วยซ้ำ ก่อนที่จะได้เข้ามาสัมผัสกับอำนาจของจวนเยี่ยนอ๋อง ผู้ใต้บังคับบัญชาของเสด็จพ่อให้ความเคารพพวกเขาเป็นอย่างมาก แต่ครั้นเมื่อต้องเผชิญหน้าอย่างเป็นทางการแล้ว คนเหล่านั้นกลับไม่ได้เชื่อฟังพวกเขาอย่างแท้จริง
ผ่านไปครู่หนึ่ง เซียวเชียนชื่อก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ขบกรามแน่นพลางเอ่ย “ข้าจะไปนำตัวคนผู้นั้นมาให้พี่สะใภ้ไต่สวนประเดี๋ยวนี้!” หากลองใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็พอจะเดาได้คร่าวๆ ว่ามีใครบ้าง ส่วนจะเป็นใครนั้นก็ต้องตรวจสอบให้แน่ชัดอีกที เพียงแต่ว่า “อีกฝ่ายจะไหวตัวทันแล้วหลบหนีไปก่อนหรือไม่ขอรับ”
หนานกงมั่วหรี่ตาลง ชวีเหลียนซิงหัวเราะเบาๆ พลางเอ่ย “ท่านซื่อจื่อวางใจเถิด จวิ้นจู่ได้สั่งให้ปิดทุกทางเข้าออกของโยวโจวเรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นในและนอกเมืองก็ล้วนถูกปิดกั้นหมดแล้ว รับรองว่าแม้แต่ยุงตัวเดียวก็ไม่สามารถบินเล็ดลอดออกไปได้เจ้าค่ะ”
เซียวเชียนชื่อปาดเหงื่อที่หน้าผากเบาๆ “ยังเป็นพี่สะใภ้ที่ละเอียดรอบคอบ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้เลย”
“รบกวนเจ้าแล้ว” หนานกงมั่วพยักหน้าเบาๆ
หลังจากที่เซียวเชียนชื่อรีบออกไปแล้ว ชวีเหลียนซิงก็ถามด้วยความสงสัย “ท่านซื่อจื่อโมโหขึ้นมาจริงๆ แล้วหรือเจ้าคะ”
หนานกงมั่วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “คนที่สามารถควบคุมคนเหล่านี้ได้ อย่างน้อยๆ ก็ต้องเป็นคนสนิทของเยี่ยนอ๋อง แม้แต่กลุ่มคนเหล่านี้ก็มีศัตรูแทรกแซงเข้ามาได้ เขาจะไม่โมโหได้อย่างไรกัน ตอนนี้ เรารีบคิดหาวิธีรับมือกับปัญหาเรื่องเสบียงอาหารที่จะต้องส่งในอีกสองวันดีกว่า”
“จวิ้นจู่มีแผนการอย่างไรเจ้าคะ”
หนานกงมั่วกุมขมับพลางส่ายหน้าเบาๆ จากนั้นเอ่ยถามขึ้นว่า “ข้าสั่งให้คนไปแย่งชิงเสบียงอาหารของสำนักผู้ว่าการหยาเหมินเมืองโยวโจวได้หรือ”
ชวีเหลียนซิงอึ้งไปชั่วขณะ “คงจะ…ไม่ได้กระมังเจ้าคะ” แย่งชิงเสบียงอาหารของขุนนางข้าราชการถือเป็นการก่อกบฏอย่างร้ายแรงเชียว
หนานกงมั่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ไปเชิญผู้ว่าการเมืองโยวโจวมาหน่อย ข้าจะคุยเกี่ยวกับปัญหาของเสบียงอาหารที่เขานำมาส่งคืน ว่าเกิดการเสื่อมสภาพของเสบียงอาหารอย่างไรบ้าง” ชวีเหลียนซิงค่อนข้างแปลกใจ “ใต้เท้าฉีคงจะไม่ยอมรับหรอกกระมัง เพราะอย่างไรเสียก็มีเพียงเสบียงอาหารที่เขานำมาส่งคืนขึ้นราเท่านั้น อีกอย่าง เวลาที่นำเสบียงอาหารเข้าคลังเสบียงจะต้องมีการตรวจสอบอยู่แล้ว ตอนแรกไม่เห็นบอกว่าเสบียงอาหารมีปัญหา พอตอนนี้ดันมาบอกว่ามีปัญหา ฟังดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลนัก”
หนานกงมั่วโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “เช่นนั้นก็คุยเรื่องยืมเสบียงอาหารกับเขาแทน อย่างไรเสียเขาก็คงจะไม่ปล่อยให้กองกำลังโยวโจวทำศึกสงครามด้วยความหิวโหยหรอก หากเราถอนกำลัง ทหารเกือบแสนนายของทางฝั่งแม่ทัพเซี่ยจะสามารถต้านทานอันใดได้”
ถึงแม้ว่าชวีเหลียนซิงจะรู้สึกว่าความเป็นไปได้ไม่ค่อยสูงเท่าใดนัก แต่ก็ยังคงพยักหน้าตอบรับพร้อมกับรีบไปจัดการทันที
หนานกงมั่วถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นก็เอนตัวนอนพิงกับพนักเก้าอี้พลางหลับตาพักผ่อนอย่างช้าๆ มืออีกข้างคอยลูบท้องอย่างเบามือ แสงอาทิตย์ยามอัสดงสาดส่องผ่านหน้าต่างลายฉลุกระทบลงมาบนใบหน้าของนาง พลอยทำให้บรรยากาศห้องที่เดิมทีเงียบสงัดและวังเวงดูอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย
ณ ลานกว้าง หลิ่วหันกำลังจ้องมองผู้คนที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยแววตาเย็นยะเยือก ข้างๆ ไม่ไกลมากมีศพใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งศพ ทุกคนต่างพากันสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว เด็กที่ยังไม่รู้ความต่างพากันร้องไห้สุดเสียง หลิ่วหันเหลือบมองธูปในกระถางอยู่ครู่หนึ่ง ธูปที่ปักอยู่กลางกระถางได้เผาไหม้จนหมดแล้ว
“หมดเวลาแล้ว เมื่อครู่นี้เพราะคนที่พึ่งตายไปช่วยชีวิตพวกเจ้าไว้ แต่น่าเสียดาย…จวิ้นจู่ไม่ค่อยพอใจกับคำตอบของเขาเท่าใดนัก ดังนั้น เรามาคุยเรื่องก่อนหน้านี้กันต่อดีกว่า เตรียมตัวลงมือได้”
องครักษ์ที่ยืนเรียงรายอยู่ในลานกว้างก็พากันรายล้อมเข้ามาดึงตัวของกลุ่มผู้คนแยกออกจากกัน จากนั้นก็ดึกอาวุธสังหารออกมาอย่างพร้อมเพรียง
“ฮือๆ ท่านพ่อ ช่วยลูกด้วย! ลูกไม่อยากตาย…”
“ฮือๆๆ …ท่านพี่ ช่วยข้าด้วย”
“พวกข้าไม่รู้เรื่องอันใดจริงๆ ฮือๆๆ …”
หลิ่วหันก้มหน้ามองหนึ่งในบรรดาผู้ดูแล เขาเป็นคนที่สารภาพว่าเป็นสายลับ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าไม่ต้องกลัว ตอนนี้ยังไม่ถึงวาระตายของเจ้า แล้วก็ไม่ต้องเป็นกังวลใจไป เพราะอย่างไรเสียคนเหล่านั้นคงจะไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับเจ้า ข้าเอ่ยถูกต้องหรือไม่” ผู้ดูแลคนนั้นกลืนน้ำลายลงคอเบาๆ พลางจ้องมองหลิ่วหันตาเขม็ง หลิ่วหันหัวเราะเบาๆ พร้อมกับตะโกนสั่งว่า “ลงมือได้”
“ช้าก่อน!” จู่ๆ ก็มีเสียงที่ค่อนข้างร้อนใจดังมาจากหน้าประตู
หลิ่วหันเลิกคิ้วขึ้นสูงพร้อมกับหันไปมองที่ประตู ก็เห็นกงเสี่ยวเตี๋ยที่เดิมทีตอนนี้ควรจะติดตามเยี่ยนอ๋องไปนมัสการพระพุทธรูปที่ชานเมืองยืนอยู่ที่หน้าประตู หลิ่วหันอุทานขึ้นด้วยความแปลกใจ “ชายารองกงหรือ”
“พวกเจ้ากำลังทำอันใดกัน” กงเสี่ยวเตี๋ยเดินเข้ามาด้วยความเร่งรีบพลางเอ่ยถามขึ้นเสียงสูง
หลิ่วหันตอบกลับ “จวิ้นจู่ออกคำสั่ง ให้นำตัวคนทั้งตระกูลของผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มาประหารเจ้าค่ะ”
กงเสี่ยวเตี๋ยสูดลมหายใจเฮือก “พวกเจ้าเสียสติไปแล้วหรืออย่างไรกัน! นี่มันชีวิตคนนับร้อยชีวิตเชียวนะ”
หลิ่วหันหัวเราะเยาะเบาๆ “ชายารองกง ที่ด่านชายแดนมีทหารแค่ไม่กี่สิบชีวิตเสียที่ไหนกัน”
กงเสี่ยวเตี๋ยชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นก็กัดฟันแน่นพลางเอ่ยขึ้นว่า “คนเหล่านั้นก็ยังไม่ได้เป็นอันใดเสียหน่อย หากตอนนี้เราช่วยกันคิดหาวิธี จะต้องจัดการกับปัญหาได้อยู่แล้ว เหตุใดถึงต้องเข่นฆ่าชีวิตคนมากมายเช่นนี้ด้วย”