หนึ่งแม่ทัพที่ประสบความสำเร็จ แลกมาด้วยกระดูกนับหมื่นแสน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงตำแหน่งชินอ๋องเลย แต่เขา…จะปล่อยให้เสด็จพ่อผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้ตลอดไปหรือ
“ไต้ซือเนี่ยนหย่วน”
ที่ระเบียงทางเดินของวัดหลิงเฉวียน พระภิกษุที่ห่มอาภรณ์ขาวทั้งร่างกำลังเงยหน้ามองท้องฟ้า สีหน้าที่นิ่งสงบ แววตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยความเมตตา ประหนึ่งพระพุทธรูปหยกที่ถูกแกะสลักอย่างประณีตก็ไม่ปาน เมื่อได้ยินเสียงดังขึ้นมาจากด้านหลัง เนี่ยนหย่วนก็หันไปมองยังทิศทางของต้นเสียง จากนั้นก็พยักหน้าเบาๆ พลางกล่าวทักทายเสียงเรียบ “ซิงเฉิงจวิ้นจู่”
หนานกงมั่วค่อยๆ เดินมาที่ใต้ชายคา จากนั้นก็แหงนมองท้องฟ้าตามเนี่ยนหย่วน แต่กลับมองเห็นเพียงท้องฟ้าผืนเล็กๆ ผ่านช่องชายคาของลานสวนเท่านั้น ท้องฟ้าเรียบเนียนเป็นสีเดียวกัน ไม่มีก้อนเมฆปรากฏแม้แต่ก้อนเดียว
“จวิ้นจู่มีเรื่องจะคุยกับอาตมาหรือ” เนี่ยนหย่วนเอียงศีรษะหันไปมองหนานกงมั่วด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
หนานกงมั่วพยักหน้าเบาๆ “เมื่อครู่นี้ตอนที่อยู่ในห้องหนังสือ เหตุใดไต้ซือถึงได้หยุดข้าไว้”
เนี่ยนหย่วนถอนลมหายใจออกมาเบาๆ พลางเอ่ย “ได้ยินมาว่าเวลาที่จวิ้นจู่เจอกับเหตุการณ์ต่างๆ ก็มักจะตัดสินใจเด็ดขาดทุกสถานการณ์ ไร้ซึ่งความเมตตาปรานีเฉกเช่นสตรีทั่วไป แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจวิ้นจู่ยังคงมีความเมตตากรุณาและความสงสารอยู่บ้าง เมื่อไม่กี่วันก่อนอาตมาได้ยินมาว่าจวิ้นจู่จะสั่งประหารคนทั้งตระกูล ตอนนี้เยี่ยนอ๋องก็ทำตามความประสงค์ของจวิ้นจู่แล้วมิใช่หรือ แล้วเหตุใดถึงได้คิดจะขัดขวางด้วยเล่า”
หนานกงมั่วลูบจมูกเบาๆ ถึงแม้ว่านางจะไม่ใช่คนดี แต่ก็ไม่ถึงขั้นสั่งประหารคนทั้งตระกูลเช่นนี้หรอกกระมัง หากว่าเหตุการณ์นี้ส่งผลร้ายแรงขึ้นมาจริงๆ บางทีนางก็อาจจะตัดสินใจทำเช่นนี้ก็เป็นได้ แต่ไม่ใช่เพราะนางคิดว่าการทำเช่นนี้ถูกต้องหรือเหมาะสมอย่างแน่นอน แต่เพื่อที่จะระงับความโกรธของเหล่าบรรดาทหารและเพื่อเป็นการปลอบขวัญกำลังใจต่างหาก ความเมตตากรุณาถือเป็นสิ่งที่ดีงามที่ถูกยกย่องมาตั้งแต่สมัยโบราณ แต่เมื่อถึงเวลาเหตุการณ์จริง ไม่ว่าจะเป็นบุคคลเบื้องสูงคนไหนก็ตาม ต่างก็ชั่งน้ำหนักจากข้อดีข้อเสียมากกว่าชั่งน้ำหนักจากความเมตตากรุณาและความเอื้ออาทรอยู่ดี จิตใจที่เมตตากรุณาและความเอื้ออาทรที่กล่าวมาข้างต้น มักจะถูกนำมาเอื้อผลประโยชน์ให้แก่ตนเองเสียมากกว่า แต่เหตุการณ์ในครั้งนี้ ถือว่ายังพอจะสามารถดึงสถานการณ์กลับมาได้
เนี่ยนหย่วนส่ายหน้าเบาๆ เอ่ย “จวิ้นจู่ นอกเหนือจากความเดือดดาลของเยี่ยนอ๋องแล้ว ยังมีอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้คนเหล่านี้สมควรต้องตาย เป็นสิ่งที่จวิ้นจู่จะไม่ทำ และไม่คิดที่จะทำด้วย”
“ไต้ซือโปรดชี้แนะ” หนานกงมั่วเอ่ยขึ้น
“เพื่อที่จะสร้างความหวาดกลัว” ไต้ซือเนี่ยนหย่วนเอ่ยขึ้น “สามารถเอ่ยได้ว่า… เป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู เฉกเช่นตอนนี้ ถึงแม้ว่าทุกอย่างจะดูเหมือนสงบ แต่คนนอกจะรับรู้ถึงแรงคลื่นที่ปั่นป่วนท่ามกลางความมืดมิดได้อย่างไรกัน จวิ้นจู่คงพอจะรู้มาบ้างแล้วว่าไม่ใช่ทุกคนในใต้หล้านี้ที่จะเป็นขุนนางซื่อสัตย์จงรักภักดีไม่รับใช้เจ้านายถึงสองคน หากไม่ให้บทเรียนราคาแพงกับคนเหล่านั้นไว้เป็นตัวอย่าง แล้วคนรุ่นหลังจะรู้ได้อย่างไร…ว่าราคาของการทรยศนั้นต้องชดใช้ด้วยสิ่งใด”
หนานกงมั่วอึ้งไปชั่วขณะ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงค่อยส่ายหน้าพลางยิ้มเจื่อน “ข้านึกไม่ถึงข้อนี้จริงๆ” ไม่ใช่เพราะนึกไม่ถึง แต่ไม่เคยนึกถึงต่างหาก
ถึงแม้ว่านางจะใช้ชีวิตอยู่ในภพชาตินี้มาเจ็ดแปดปีแล้ว แต่ความคิดความอ่านก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนได้ทั้งหมด ภพชาติที่แล้ว ถึงแม้จะเป็นพวกอันธพาลที่ใช้ชีวิตบนเส้นทางสีดำ ก็คงจะไม่เลือกวิธีฆ่าคนทั้งตระกูลเพื่อตักเตือนคนรุ่นหลังหรอก เรื่องผู้น้อยกับเรื่องของคนใหญ่คนโตไม่เหมือนกัน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงนักฆ่าเช่นนางที่เคยชินกับการทำทุกอย่างคนเดียว การที่นางสามารถจัดการเรื่องนี้ได้ชัดเจนขนาดนี้ก็ถือว่าสวรรค์ประทานความฉลาดมาให้แล้ว นางจะไปกล้าคาดเดาความคิดความอ่านของเจ้านายได้เยี่ยงไร
เนี่ยนหย่วนหัวเราะเบาๆ พลางเอ่ยปลอบใจ “จวิ้นจู่ไม่ต้องกังวลใจจนเกินไป ถึงแม้ว่าเมื่อครู่นี้ท่านจะเอ่ยออกมาจริงๆ เยี่ยนอ๋องก็ไม่มีทางที่จะโกรธท่านอย่างแน่นอน”
หนานกงมั่วพยักหน้าเบาๆ หากว่านางโน้มน้าวให้เยี่ยนอ๋องใจเย็น เขาก็แค่ไม่ฟังนางก็เท่านั้น แต่หากเซียวเชียนชื่อกล้าเอ่ยปากแล้วล่ะก็ เยี่ยนอ๋องจะต้องโมโหเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาอย่างแน่นอน นี่คือความแตกต่าง ไม่ว่าหนานกงมั่วจะเก่งกาจมากความสามารถเพียงใด เยี่ยนอ๋องก็ยังอยากที่จะให้หลานสะใภ้มีจิตใจอ่อนโยนเสียมากกว่า ดังนั้นนี่จึงมิใช่ข้อเสียของนาง แต่หากเป็นบุตรชาย การมีจิตใจที่เมตตากรุณาและมักจะสงสารผู้อื่นจนเกินไปนั้นถือเป็นข้อเสียที่ใหญ่ที่สุด
หนานกงมั่วถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า “ขอบคุณไต้ซือที่ชี้แนะ”
เนี่ยนหย่วนส่ายหน้าเบาๆ ไม่ได้เอ่ยอันใดต่อ
หนานกงมั่วจ้องมองพระภิกษุอาภรณ์ขาวที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ในใจยังคงรู้สึกว่าคนผู้นี้สะอาดบริสุทธิ์และได้ปลีกวิเวกจากคนทางโลกไปแล้ว แต่วาจาที่เอ่ยออกมานั้นฟังดูไม่เหมือนวาจาของคนที่ออกบวชเช่นเขาเลย พลอยทำให้คนที่ได้รับฟังรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก หากเนี่ยนหย่วนยืนคู่กับเสียนเกอ ผู้คนร้อยทั้งร้อยต่างก็คงจะรู้สึกว่าเนี่ยนหย่วนดูเหมือนคนดีมากกว่าเสียนเกอเสียด้วยซ้ำ แต่หนานกงมั่วกลับรู้สึกว่าพระภิกษุอาภรณ์ขาวรูปงามที่ยืนอยู่เบื้องหน้าดูเย็นชากว่าศิษย์พี่ของนางที่สนุกกับการใช้ชีวิตเป็นไหนๆ
ราวกับว่าเนี่ยนหย่วนอ่านแววตาของหนานกงมั่วออกอย่างไรอย่างนั้น แต่เขากลับไม่ได้โต้แย้งแต่อย่างใด “จวิ้นจู่กำลังคิดว่าอาตมาไม่เหมือนพระภิกษุหรือ”
หนานกงมั่วรู้สึกผิดขึ้นมาทันที แต่เนี่ยนหย่วนไม่ได้ใส่ใจ “ถึงแม้ว่าอาตมาจะเป็นพุทธศาสนิกชน แต่ก็ไม่เคยคิดจะแสวงหาชาติหน้า ยิ่งไม่เคยคิดที่จะบรรลุนิพพานเพื่อขึ้นเป็นพระพุทธเจ้า อาตมาพอจะหยั่งรู้ถึงลิขิตสวรรค์ ดอกยี่เข่งมืดมน ดาวอังคารเคลื่อนตัวเข้าใกล้ทิศใต้ ทลายทัพดับสลาย เจ็ดฆ่าฟันเหนือท้องฟ้า ใต้หล้าเปลี่ยนแปลงพลิกผันใหญ่หลวง เยี่ยนอ๋องผู้มีสติปัญญาอันเฉียบแหลม มี…”
แค่กๆ หนานกงมั่วไอเสียงเบา ตัดบทสนทนาของเนี่ยนหย่วนไป
ถึงแม้นางจะฟังไม่ออกว่าปรากฏการณ์ดวงดาวตามโหราศาสตร์นั้นเป็นอย่างไร แต่กลับเข้าใจคำเอ่ยของเขาอย่างน่าแปลกใจ ความหมายของไต้ซือเนี่ยนหย่วนก็คือ ‘เขาได้ทำนายดวงดาวบนท้องฟ้าในยามค่ำคืน สังเกตเห็นว่าเซียวเชียนเยี่ยใกล้จะไม่ไหวแล้ว ใต้หล้ากำลังจะตกอยู่ภายใต้ความโกลาหลวุ่นวาย เมื่อเห็นว่าเยี่ยนอ๋องสามารถขึ้นครองราชย์ได้ก็เลยคิดจะเข้าไปช่วยเขาปกครอง’ อย่างนั้นหรือ
ทว่าคำพูดนี้ ไต้ซือเนี่ยนหย่วนเอ่ยออกมาได้ง่ายดาย แต่หนานกงมั่วกลับรู้สึกว่าไม่ค่อยน่าฟังนัก ไต้ซือเนี่ยนหย่วนเป็นถึงพุทธสาวกผู้แตกฉานในพุทธศาสนา แต่กลับมายุยงให้ชินอ๋องก่อกบฏเช่นนี้มันจะดีหรือ เซียวเชียนเยี่ยมีความบาดหมางกับท่านหรืออย่างไรกัน
เนี่ยนหย่วนไม่ได้รู้สึกโกรธที่ถูกหนานกงมั่วตัดบทสนทนา ยังคงจ้องมองหนานกงมั่วด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ราวกับว่าสิ่งที่เขาเอ่ยมาเมื่อครู่นี้เป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
“คำพูดเหล่านี้ ไต้ซือเนี่ยนหย่วนเคยเอ่ยกับเสด็จลุงแล้วหรือยัง” หนานกงมั่วถามขึ้น
เนี่ยนหย่วนยิ้มบางพลางเอ่ย “เยี่ยนอ๋องอุทิศตนทุ่มเทเพื่อแผ่นดินอย่างสุดหัวใจ ไหนเลยจะมาฟังคำพูดเช่นนี้”
เหอะๆ เหตุใดข้าถึงไม่เชื่อเลย
หนานกงมั่วยิ้มขึ้นเล็กน้อย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จวิ้นจู่อย่างข้าก็ทำเหมือนไม่เคยได้ยินก็แล้วกัน ไต้ซือถนอมกายด้วย ข้าขอตัวก่อน”
เนี่ยนหย่วนถอนลมหายใจอย่างจนใจ “ในเมื่อลิขิตสวรรค์เป็นเช่นนี้ เหตุใดจวิ้นจู่ถึงไม่ยอมเปิดใจเสียที”
เปล่าเลย ข้าเปิดใจเสียยิ่งกว่าอันใดดี เพียงแต่ว่าไม่อยากให้คำพยากรณ์มีอิทธิพลก็เท่านั้น
ตอนที่เยี่ยนอ๋องไม่อยู่ เวลาที่เผชิญหน้ากับซื่อจื่อไม่ว่าจะเป็นขุนนางข้าราชการเล็กใหญ่รวมไปถึงบุคคลสำคัญของโยวโจวต่างก็มักจะชอบสร้างความลำบากให้กับซื่อจื่อตามอำเภอใจ แต่หลังจากที่เยี่ยนอ๋องกลับมาแล้ว ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปทันควัน คำวิพากษ์วิจารณ์ที่คอยโจมตีซื่อจื่อก็หายเข้ากลีบเมฆทันที เยี่ยนอ๋องเอ่ยว่าจะฆ่าคน ย่อมไม่ใช่แค่คำขู่อย่างแน่นอน เมื่อรับสั่งว่าจะประหารคนทั้งตระกูล ก็ไม่ปล่อยให้ใครเล็ดลอดแม้แต่คนเดียว ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวัน ลานกว้างที่ชานเมืองนอกกำแพงทางเหนือของโยวโจวก็เรียงรายไปด้วยศีรษะนับร้อยที่ร่วงหล่นลงสู่พื้น กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่ว พลอยทำให้ผู้ที่ได้กลิ่นแทบจะหายใจไม่ออกเสียด้วยซ้ำ เมื่อเห็นสีหน้าที่เรียบเฉยไร้ซึ่งความรู้สึกของเยี่ยนอ๋อง ต่างก็พากันสั่นสะท้านในใจด้วยความหวาดกลัว
ถึงแม้ว่าเมื่อเร็วๆ นี้จะได้ยินมาว่าเยี่ยนอ๋องกำลังพัวพันอยู่กับสตรี แต่นิสัยเดิมของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่นิดเดียว หากคิดอยากจะมีชีวิตรอดก็ให้ซื่อสัตย์เข้าไว้
เนื่องจากเยี่ยนอ๋องจะประหารคน หนานกงมั่วจึงพักที่วัดหลิงเฉวียนต่ออีกสองสามวันแล้วค่อยเดินทางกลับ เพราะอย่างไรเสียที่จวนเยี่ยนอ๋องก็มีเยี่ยนอ๋องกลับมาประจำการแล้ว อีกทั้งยังไม่ใช่กงการใดของนาง และตอนนี้นางก็เป็นหญิงที่กำลังตั้งครรภ์ หลังจากที่หนานกงมั่วกลับไปถึงโยวโจวแล้ว โยวโจวก็ได้กลับมาสงบสุขเฉกเช่นที่ผ่านมา เพียงแต่ว่า ขาดบุคคลที่ใบหน้าคุ้นเคยไปหลายคน ผู้ว่าการโยวโจวที่เดิมทีมักจะชอบหาเรื่องอยู่ตลอด ตอนนี้กลับดูสงบเสงี่ยมอย่างสิ้นเชิง