“เจ้าไม่กล้า เจ้าไม่กล้าอะไร” ไท่ฮูหยินชี้ไปที่สวีลิ่งควนด้วยปลายนิ้วที่สั่นเทา
ที่ไท่ฮูหยินเป็นแบบนี้ ก็เพราะว่านางไม่ต้องการให้สวีลิ่งควนพูดความจริงออกมา
สืออีเหนียงคิดเช่นนี้ก็รีบเดินเข้าไปพูดว่า “ท่านแม่ คุณชายห้าไม่ได้ตั้งใจเจ้าค่ะ ท่านอย่าโมโหเลยนะเจ้าคะ ประเดี๋ยวจะไม่สบายเอาได้” พูดจบนางก็ขยิบตาให้ฮูหยินห้า บอกให้นางช่วยเหลือสวีลิ่งควน เนื่องจากฮูหยินห้าตั้งครรภ์อยู่ ในสถานการณ์เช่นนี้ไท่ฮูหยินจะต้องไว้หน้านางแน่นอน เขาจะได้ถือโอกาสนี้หาทางออกได้
ฮูหยินห้าตกใจ
ตอนนี้เยี่ยนจิงรู้กันหมดแล้วว่าหย่งผิงโหวมีภรรยานอกสมรส แล้วยังมีบุตรอีกคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าสถานะของภรรยานอกสมรสคนนั้น บางครั้งลือกันว่าเป็นนางรำ บางครั้งลือกันว่าเป็นหญิงคณิกา ถึงขั้นมีคนพูดกันว่าเป็นหญิงของหัวหน้าค่ายทหารของเเคว้นเหมียวเจียง ไม่เช่นนั้น จะเลี้ยงไว้ข้างนอกทำไม เปลี่ยนสถานะแล้วแต่งเข้ามา หยวนเหนียงจะไม่ยอมเช่นนั้นหรือ สงสัยคงจะกังวลว่าหากแต่งเข้ามาแล้วนางจะกล้าเป็นชิวหลัวคนที่สอง ก่อนที่จะเป็นอี๋เหนียงนั้นเป็นคนที่สวยงามและเฉลียวฉลาด แต่หลังจากที่ได้เลื่อนขั้นเป็นอี๋เหนียงแล้วกลับกลายเป็นคนโง่เขลา บุรุษแต่งอนุภรรยาเข้ามา หนึ่งคือเพื่อบุตรของตัวเอง สองคือเพราะความชอบใจ แต่หยวนเหนียงกลับทำให้อี๋เหนียงแต่ละคนกลับกลายเป็นสตรีธรรมดาๆ บุรุษเห็นเช่นนี้แล้วจะรู้สึกอะไรได้เล่า แน่นอนว่าเขาต้องแอบคิดถึงเรื่องอื่น…แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ เหตุใดสวีลิ่งควนถึงต้องกระวนกระวายขนาดนี้
นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของเรือนคุณชายสี่!
น้องชายอย่างเขาจะไปจัดการได้เช่นไร
นางสับสนเป็นอย่างมาก แต่ในสถานการณ์ตอนนี้ ไม่เพียงแต่ถามไม่ได้ แล้วยังแสดงออกไม่ได้ ต้องรู้ว่า หากสามีภรรยาไม่รักและสามัคคีกัน คนอื่นก็จะรังแกเอาได้ หากตนทำเป็นทะเลาะกับสวีลิ่งควนต่อหน้าคนนอก ไม่ต้องพูดถึงไท่ฮูหยิน แม้แต่ในบรรดาลูกสะใภ้ด้วยกันก็จะดูถูกนางทันที ต้องรู้ว่า ภรรยาที่ไม่มีสามีคอยปกป้อง ต่อให้แข็งแกร่งเพียงใด ก็แข็งแกร่งไปกว่าโลกใบนี้ไม่ได้
ความคิดนี้วาบขึ้นมา ฮูหยินห้าพลันทำสีหน้าเสียใจ เดินเข้าไปแล้วคุกเข่าลง “ท่านแม่ ท่านอย่าโมโหไปเลยเจ้าค่ะ ท่านพี่นั้นพูดจาไม่เป็น…”
นางพึ่งจะคุกเข่าลง สืออีเหนียงก็รีบประคองนางยืนขึ้น “เจ้ากำลังตั้งครรภ์ คุกเข่าไม่ได้!” จากนั้นก็มองไปที่ไท่ฮูหยินด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ
ฮูหยินสามเป็นคนฉลาด นางได้สติกลับมา ก็รีบเดินเข้าไปช่วยสวีลิ่งควนพูด “ใช่เจ้าค่ะท่านแม่ ท่านไม่เห็นแก่หน้าน้องห้าก็เห็นแก่หน้าน้องสะใภ้ห้าเถิดเจ้าค่ะ ให้อภัยน้องห้าสักครั้งเถิดเจ้าค่ะ เขาสำนึกผิดแล้ว”
เจตนาเดิมของไท่ฮูหยินคืออยากให้สวีลิ่งควนหยุดพูด เมื่อเห็นว่าทุกคนล้วนช่วยเขาพูดแก้ตัว นางจึงทำสีหน้าหายโมโห
สวีลิ่งอี๋เห็นเช่นนี้ก็รีบพูดว่า “ยังไม่รีบลุกขึ้นมาอีก! ยืนอยู่ข้างๆ ดีๆ อย่าได้พูดแทรก”
ฮูหยินสามได้ยินเช่นนี้ก็มองไปที่สวีลิ่งอี๋ ทำท่าทีอยากยิ้มแต่ก็ไม่กล้ายิ้ม ดูแล้วแปลกประหลาด
คุณชายสามเห็นเช่นนี้ก็เป็นกังวล
เรื่องของวันนี้แค่ฟังก็รู้ว่าไท่ฮูหยินกำลังหาข้ออ้างให้สวีลิ่งอี๋ ถือโอกาสรับเด็กคนนั้นเข้ามาในสกุล ใครขวางคนนั้นก็ซวย! อย่าปล่อยให้ภรรยาของตัวเองเข้าไปยุ่งโดยที่ไม่รู้เรื่องอะไรจะดีกว่า
เขารีบดึงแขนเสื้อของฮูหยินสามแล้วพูดเป็นนัยว่า “ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับท่านแม่ เจ้าพูดจาอะไรเหลวไหล”
ฮูหยินสามอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ
แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นความกังวลบนใบหน้าของสามีของตน นางจึงฝืนยิ้มเอาไว้
พวกเขาช่างคิดได้จริงๆ!
ถงอี๋เหนียงเสียชีวิตไปตั้งสิบกว่าปีแล้ว ตอนนี้มาเข้าฝันท่านโหวบอกให้เขารับเด็กมาเลี้ยงในนามของนางเพื่อคอยจุดธูปให้นาง เคยได้ยินแค่ว่าเมื่อภรรยาเอกเสียชีวิตแล้วแต่ไม่มีบุตรชาย จึงต้องไปรับเด็กมาเลี้ยงในนามของตัวเอง เพื่อคอยจุดธูปให้นาง แต่ไม่เคยได้ยินว่ามีอนุภรรยาที่ไหนที่สามารถทำเหมือนเช่นภรรยาเอกได้ ในเมื่อรักนางขนาดนี้ เหตุใดตอนนั้นถึงไม่สืบเรื่องราวให้ดี ปล่อยให้หยวนเนียงชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ แต่ตอนนี้กลับคิดจะรับเด็กมาเลี้ยงในนามของถงอี๋เหนียง…
คิดเช่นนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองสืออีเหนียง
นางกลับอยู่เป็น ไม่พูดไม่จา ท่านโหวจะกระทำสิ่งใดก็ปล่อยให้เขาทำ อาจจะเป็นเพราะว่าไม่เคยมีใครสอนสั่งนาง เราต้องรู้ว่าบุรุษก็เหมือนเด็กน้อย ตบหัวแล้วต้องลูบหลัง เอาแต่เชื่อฟังเขาตลอด เขาจะค่อยๆ มองไม่เห็นหัวตัวเอง และหากเอาแต่ดุด่าเขา เขาก็จะค่อยๆ หวาดกลัวแล้วไม่เข้าใกล้
แต่ว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของพวกเขา ไม่เกี่ยวกับตัวเอง เมื่อปีใหม่พ้นไปแล้ว ตนก็จะพาลูกๆ และสามีออกไปจากเมืองหลวง ไปใช้ชีวิตเช่นฮูหยินที่ไร้แม่สามี ไม่มีเหล่าบรรดาสะใภ้ด้วยกันคอยพูดจาอะไรเหลวไหล ฉินเกอและเจี่ยนเกอก็ไปเป็นขุนนางข้าราชการ ยามที่พูดเอ่ยสิ่งใดออกไปก็ล้วนน่าเชื่อถือและมีหน้ามีตา เรื่องแต่งงานก็ไม่น่าเป็นห่วงแล้ว
นางคิดพลางขมวดคิ้ว
ตอนที่กลับไปมอบของขวัญปีใหม่ที่สกุลเดิม ได้ยินพี่สะใภ้ใหญ่บอกว่านางชอบคุณชายน้อยใหญ่สกุลหวังของเจิ้นหนานโหว เมื่อรู้เจตนาของตัวเอง นางก็อยากให้คุณหนูสาม บุตรสาวของอนุภรรยามาแต่งงานกับฉินเกอ
ความคิดนี้วาบขึ้นมา ฮูหยินสามพลันมีสีหน้าเย็นชาลง
คิดว่าตัวเองสูงส่งแล้วดูถูกคนอื่น
รอให้คุณชายสามหาประสบการณ์ข้างนอกสักสองสามปี มีความดีความชอบ แล้วค่อยไปขอร้องฮองเฮา ให้เขารับตำแหน่งรองเจ้ากรมอาลักษณ์ก็ได้ ถึงตอนนั้น ข้าจะดูว่าเจ้าจะทำหน้าเช่นไรกับข้า!
ฮูหยินสามกำลังครุ่นคิดเรื่องนี้ ขณะที่คุณชายสามเดินไปประคองสวีลิ่งควนให้ลุกขึ้น
“มีอะไรก็ค่อยๆ พูด ค่อยๆ จา” เขาเกลี้ยกล่อมน้องชาย “ท่านแม่รักและเอ็นดูเจ้ามาตลอด เจ้าอย่าทำให้ท่านแม่เสียใจ”
“ข้า…” ทุกคนกดดันเขา ทำให้สวีลิ่งควนไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน
ไท่ฮูหยินเห็นว่าเขาไม่เข้าใจ รู้ว่าตอนนี้ต้องตัดสินใจให้เด็ดขาด ดีที่ตนตระเตรียมแผนการเอาไว้แล้ว…
นางกระแอมอย่างแรง
ในห้องพลันเงียบลงทันที ทุกคนต่างก็มองมาที่นาง
“เว่ยจื่อ” ไท่ฮูหยินเรียกสาวใช้ให้เข้ามา “ไปบอกให้ป้าตู้เข้ามา”
เว่ยจื่อตอบรับผ่านผ้าม่าน ผ่านไปไม่นานม่านก็เปิดขึ้น ป้าตู้อุ้มเฟิ่งชิงเดินเข้ามา
ทุกคนดูตกใจ
ตอนแรกบอกว่าจะเลี้ยงเด็กคนหนึ่งในนามของถงอี๋เหนียง จากนั้นก็อุ้มเด็กเข้ามาให้ทุกคนดู เห็นได้ชัดว่านางวางแผนไว้อยู่แล้ว
ดูเด็กคนนั้น…
เขากำลังมองดูทุกคนด้วยความหวาดกลัว
เมื่อเห็นหน้าตาที่คุ้นเคย สายตาของเขาก็เป็นประกายขึ้น จากนั้นก็มองไปที่สวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงอย่างมีความหวัง
สวีลิ่งอี๋กำลังมองไปที่สวีลิ่งควนที่มีท่าทีแปลกๆ ทำให้เขาไม่สบายใจ เขาไม่ได้สังเกตเห็นท่าทีของเด็กคนนั้น แต่สืออีเหนียงที่สังเกตเห็นทุกอย่างจึงยิ้มให้เฟิ่งชิงอย่างอ่อนโยน บอกเขาว่าไม่ต้องหวาดกลัว
เฟิ่งชิงดิ้นอยู่ในอ้อมแขนของป้าตู้ เห็นสืออีเหนียงส่ายหน้าให้ตัวเองเบาๆ เขาก็รู้สึกถึงความไม่พอใจของสืออีเหนียง จึงพยายามอดทนอดกลั้นต่อความหวาดกลัว ปล่อยให้ป้าตู้ที่เกือบจะโดนเขากัดเมื่อครู่อุ้มอยู่ในอ้อมแขนเช่นเดิม
“นี่ก็คือเด็กคนนั้น” ไท่ฮูหยินพูดอย่างตรงไปตรงมา “ปีนี้อายุสามขวบ อยู่อันดับที่ห้าของบรรดาพี่น้อง ความล้มเหลวในอดีตคือบทเรียนในปัจจุบัน ท่านโหวตั้งชื่อเขาว่าซื่อเจี้ย...”
ตั้งชื่อนี้ให้เขา!
สืออีเหนียงหันไปมองสวีลิ่งอี๋
แต่สวีลิ่งอี๋กำลังมองดูสวีลิ่งควนที่สีหน้าเปลี่ยนไปเป็นเคร่งขรึม
สำหรับฮูหยินห้าที่เอาแต่มองสามีของตัวเอง นางเอาแต่ขมวดคิ้ว
“…ให้สืออีเหนียงเป็นคนเลี้ยงดูเขา” ไท่ฮูหยินพูดแล้วหยิบถ้วยชาขึ้นมา “ดึกมากแล้ว ทุกคนแยกย้ายกันไปเถิด”
คุณชายสามได้ยินเช่นนี้ก็รีบดึงเสื้อของฮูหยินสาม ยิ้มแล้วลากบุตรชายสองคนที่กำลังตกใจกับข่าวนี้ “ท่านแม่ เช่นนั้นเราขอตัวกลับก่อนนะขอรับ พรุ่งนี้คือวันส่งท้ายปีเก่า ยังต้องจัดพิธีบูชาบรรพบุรุษ!”
ฮูหยินสามก็พูดต่อทันที “ใช่เจ้าค่ะ พรุ่งนี้เช้าเรายังต้องตื่นมาจัดอาหารค่ำวันส่งท้ายปีเก่า ขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ”
ไท่ฮูหยินพยักหน้า
พวกเขาสองคนก็พาบุตรชายของตัวเองกลับไป
ฮูหยินห้ามองดูสามีที่กำลังเหม่อลอยของตัวเอง นางยิ้มแล้วผลักเขาเบาๆ “คุณชายห้า เราก็กลับกันเถิดเจ้าค่ะ ทางเดินในสวนหลังจวนไม่ค่อยสะดวกนัก”
สวีลิ่งควนราวกับตื่นขึ้นมาจากความฝัน เขาเหลือบมองเฟิ่งชิง กระอึกกระอัก แต่กลับไม่รีบออกไปพูด
“น้องสะใภ้ห้า ข้ามีเรื่องจะพูดกับน้องห้า” สวีลิ่งอี๋พูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน “เจ้ากลับไปก่อนเถิด! ประเดี๋ยวเขาตามไป”
“พี่สี่…” สวีลิ่งควนได้ยินเช่นนี้ก็มองไปที่สวีลิ่งอี๋ด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน
ระหว่างพวกเขาสองคนก็มีความเข้าใจกันที่อธิบายไม่ได้
ฮูหยินห้าหันหน้ามากล่าวด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ” จากนั้นก็พูดกับสวีลิ่งควนเบาๆ “คุณชายห้าระวังถนนหนทางด้วยนะเจ้าคะ”
สวีลิ่งควนพยักหน้าอย่างใจลอย
จากนั้นฮูหยินห้าก็เดินออกไปกับบรรดาสาวใช้
“ท่านแม่ เหตุใดเขาถึงมาอยู่ที่จวนของเรา” จู่ๆ ก็มีเสียงที่ชัดเจนที่เต็มไปด้วยความสงสัยของจุนเกอดังขึ้นมา “เขาจะอยู่กับท่านเหมือนพี่หญิงหรือขอรับ”
สืออีเหนียงรู้สึกละอายใจ
เอาแต่เป็นห่วงสวีลิ่งควน แต่กลับลืมเด็กสองคนนี้ไป!
นางรีบมองไปที่สวีซื่ออวี้ที่ไม่พูดไม่จา นางชอบเด็กที่พูดจาสื่อสารกันง่าย แต่นางกลัวแค่คนที่เก็บเรื่องต่างๆ ไว้ในใจ
สีหน้าของสวีซื่ออวี้ซีดลง เขาก้มหน้าก้มตามองดูก้อนอิฐสีฟ้าที่อยู่ใต้เท้าของตัวเอง ท่าทีก็เงียบสงบราวกับก้อนอิฐที่อยู่ใต้เท้า
เขาโตแล้ว รู้ความแล้วจึงมีความคิดมากกว่า
เฟิ่งชิงที่เปลี่ยนชื่อแล้วเข้ามาเป็นสมาชิกในตระกูล สำหรับเขาแล้วมันหมายความอย่างไร เขามีความรู้สึกที่ลึกซึ้งกว่าคนอื่น…นามของเฟิ่งชิงคือ ‘เจี้ย’ มีความหมายว่า ‘บัญญัติ’ ส่วนชื่อของเขาคือ ‘อวี้’ มีความหมายว่า ‘บัญชา’ นอกจากความหัวอกเดียวกันของลูกอนุเหมือนกันแล้ว เกรงว่าเขาคงจะกังวลว่าสวีลิ่งอี๋จะรักและเอ็นดูสวีซื่อเจี้ยมากกว่าเขา!
สืออีเหนียงเดินเข้าไปลูบหัวจุนเกอแล้วพูดเบาๆ “ตั้งแต่นี้ไป เขาคือบุตรบุญธรรมของพ่อเจ้า นับเป็นน้องชายของเจ้า ดังนั้นเขาต้องอยู่ที่จวนของเรา เหมือนกับเจินเจี่ยเอ๋อร์ ย้ายไปอยู่ที่เรือนของข้า เขาอายุน้อยกว่าเจ้า ต่อไปเจ้าจะต้องดีกับเจี้ยเกอเหมือนที่พี่ๆ ของเจ้าดีกับเจ้า”
จุนเกอยิ้มอย่างสดใส “เช่นนั้นข้าให้เขาช่วยรินชาให้ข้าได้หรือไม่ขอรับ”
สืออีเหนียงอดหัวเราะไม่ได้ “ได้สิ แต่ว่าต้องรอให้เขาโตกว่านี้อีกหน่อย ไม่เช่นนั้นเขาจะถูกน้ำร้อนลวกมือเอาได้”
จุนเกอพยักหน้า “ข้าจะเอาลูกขนไก่ของข้าให้เขาเตะด้วย” เขาพูดแล้วเดินไปจับมือเฟิ่งชิงที่เปลี่ยนชื่อเป็นสวีซื่อเจี้ยแล้ว แต่กลับถูกสวีซื่อเจี้ยสะบัดมือออก จากนั้นก็หลบเข้าไปในอ้อมกอดของป้าตู้แล้วมองไปที่สืออีเหนียง
ไท่ฮูหยินเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้ว
สืออีเหนียงรีบเดินเข้าไปอุ้มสวีซื่อเจี้ยมาไว้ในอ้อมแขนของตัวเอง
ประสบการณ์ของเขาทำให้เขาหวาดกลัวคนแปลกหน้า นางเข้าใจได้ แต่ใช่ว่าทุกคนจะให้อภัยในความไร้มารยาทของเขา โดยเฉพาะการกระทำเช่นนี้ต่อความเป็นมิตรของบุตรภรรยาเอกอย่างสวีซื่อจุน
“จุนเกอเอ๋อร์” นางยิ้ม “เจี้ยเกอเอ๋อร์พึ่งจะมาถึง เขาจึงกลัวคนแปลกหน้า ต่อไปหากเขาสนิทกับเจ้าแล้ว รู้ว่าเจ้าคือพี่ชายของเขา เขาก็จะไปเล่นกับเจ้าอย่างแน่นอน” จากนั้นก็ยิ้มแล้วถามสวีซื่อเจี้ย “ใช่หรือไม่”
สวีซื่อเจี้ยกอดคอสืออีเหนียงแน่นแต่ก็ไม่พูดอะไร