เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค – ตอนที่ 203 อันตราย แผนซ้อนแผน (2)

ตอนที่ 203 อันตราย แผนซ้อนแผน (2)

มั่วเชียนเสวี่ยใจหนาวสั่น พลางส่ายหัวอย่างรุนแรง “ไม่เอา…ถ้าจะไปก็ต้องไปด้วยกัน”

หมัวมัวกับอาอู่ก็ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง นางไม่อาจเห็นแก่ตัว หลบหนีไปคนเดียว หากต่อไปไม่มีหมัวมัว ชูอีและอาอู่แล้ว ใจนางจะเป็นสุขได้อย่างไร

“คุณหนู เหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้ต้องการฆ่าพวกเราแต่ต้องการจะจับเป็น”

“ชูอี”

มองย้อนกลับไป คนเหล่านั้นอยู่ไม่ไกลแล้ว ชูอีผลัก มั่วเชียนเสวี่ยไปข้างหน้าและพูดขัดจังหวะนาง”ที่นี่อยู่ห่างจากหมู่บ้านหวังจยาไม่ไกลแล้ว คุณหนูรีบวิ่งไปอย่างสุดกำลัง บ่าวยังสามารถรับมือได้อีกสักพัก รอให้ท่านไปบอกให้กูเหยียมาช่วยบ่าว”

ที่นี่อยู่ห่างจากหมู่บ้านหวังจยาสิบกว่าลี้ นี่ยังเรียกว่าไม่ไกลอย่างนั้นหรือ นี่คือการวิ่งมาราธอนระยะทางสิบกิโลเมตรเลยนะ!

เมื่อเห็นว่ามั่วเชียนเสวี่ยไม่ขยับตัวไปไหน ชูอีก็ชักกระบี่มาวางไว้ที่คอ “หากท่านยังไม่วิ่งไป ข้าก็จะตายต่อหน้าท่านตอนนี้เลย”

“อย่า…” มั่วเชียนเสวี่ยรีบวิ่งหนีไป มาถึงตอนนี้ พูดอะไรไปก็ล้วนไร้เหตุผล นางไม่อาจทำให้ความหวังดีของชูอีนั้นสูญเปล่า

ชูอี ดูแลตัวเองด้วย……

ไม่รู้ว่าวิ่งมานานเท่าไรแล้ว จึงมองย้อนกลับไปโดยไม่รู้ตัว ห่างออกไปยังมีคนกำลังไล่ตามนางอยู่ ใจของมั่วเชียนเสวี่ยก็จมดิ่ง!

ชูอี…หมัวมัว…อาอู่…

หวังว่า พวกเขาเพียงต้องการจับเป็น…

มีลมออกมาจากฝีเท้าของมั่วเชียนเสวี่ย นางไม่เคยรู้ว่าก่อนเลยว่าตนเองสามารถวิ่งได้เร็วถึงเพียงนี้

นางไม่กล้าที่จะหอบ และยิ่งไม่กล้าที่จะหยุด นางไม่รู้ว่าจะสามารถรักษาความเร็วนี้ได้อีกนานแค่ไหน แต่นางรู้ว่าถ้านางวิ่งเร็วขึ้นหน่อย ก็จะยิ่งเข้าใกล้หมู่บ้านหวังจยา และจะทำให้มีโอกาสรอดมากขึ้น

หมู่บ้านหวังจยา นั้นยังคงสงบเงียบเช่นเคย

องครักษ์คนหนึ่งเข้ามากระซิบกับอาซานสองสามคำ อาซานจึงออกไปครู่ใหญ่ๆ แล้วก็กลับมา เขาเข้าไปรายงานหนิงเซ่าชิงในห้อง

“เจ้านายพบคนสองคนแอบซุ่มอยู่ในป่าหลังภูเขา”

เกิดหมอกควันขึ้นในใจหนิงเซ่าชิง แต่สีหน้าของเขากลับแลดูไม่แปลกใจ

“บ่าวไว้ชีวิตสองคนนั้น แต่ไม่ทันคาดคิดสองคนนั้นได้กัดลิ้นฆ่าตัวตาย บ่าวทำงานได้ไม่ดี เจ้านายโปรดลงโทษด้วย”

หนิงเซ่าชิงเงยหน้าขึ้น โบกมือให้อาซานลุกขึ้นพลางกล่าวเบาๆ “ตรวจสอบสถานะของสองคนนั้นให้ชัดเจนแล้วหรือยัง” แม้ว่าคนจะตาย ก็น่าจะมีเบาะแสบางอย่างที่มิอาจปกปิดได้

“ขอบคุณเจ้านายที่เว้นโทษ” อาซานลุกขึ้นแล้วกล่าวรายงานเสียงดังฟังชัด “บ่าวได้ตรวจสอบสองคนนี้อย่างละเอียดแล้ว พวกเขาคือหน่วยกล้าตายที่ตระกูลเซี่ยฝึกฝนมา”

“หาข้าเจอแล้วหรือนี่” หนิงเซ่าชิงลุกขึ้นเดิน พลางพูดพึมพำกับตัวเอง ดูเหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นไปตามที่เขาคาดการณ์เอาไว้

ไม่ช้าก็เร็วย่อมจะหาเขาเจออยู่แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคนของตระกูลเซี่ย หน่วยกล้าตายของตระกูลเซี่ย! สองคนนี้เป็นหน่วยกล้าตายของตระกูลเซี่ยจริงๆ เขากับตระกูลเซี่ยไม่เคยมีความแค้นต่อกัน มาตามหาเขาในเวลานี้ น่าจะช่วยสองแม่ลูกชั่วร้ายอำมหิตนั่น ดูท่า สองคนนี้จะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อฆ่าเขาให้ได้

สตรีแซ่เซี่ยผู้เหี้ยมโหดผู้นั้น เดิมทีคิดว่านางจะไม่สนความเป็นไปของตระกูลเซี่ยแล้ว นึกไม่ถึงว่ากลับยังคงข้องเกี่ยวกับตระกูลเซี่ยอยู่

อย่างไรก็ตาม พวกเขาเคยคิดบ้างไหมว่า พวกเขายืมกำลังของตระกูลเซี่ยเช่นนี้ สุดท้ายแล้วจะเป็นการชักศึกเข้าบ้าน

สิ่งที่หัวหน้าตระกูลขุนนางควรให้ความสำคัญมากที่สุดคือเมตตาธรรม มโนธรรม จริยธรรม ปัญญาและสัจจะ อย่างน้อยๆ ผิวเผินก็ต้องเป็นเช่นนี้ วางแผนจะเอาชีวิตพี่ชายให้ได้ หนิงเซ่าอวี๋ก็จะมีอำนาจที่แท้จริง เป็นหัวหน้าตระกูลของตระกูลหนิง คาดว่าเขาน่าจะถูกบังคับและควบคุมโดยตระกูลเซี่ย

ถ้าเรื่องพวกนี้ยังคงดำเนินต่อไป ตระกูลหนิงของเขาก็คงจะถูกปกครองโดยตระกูลเซี่ย

ตระกูลเซี่ยช่างชั่วร้ายเสียจริง!

เช่นนี้ หากตระกูลหนิงตกอยู่ในเงื้อมมือของหนิงเซ่าอวี๋ไม่เพียงแต่ไม่สามารถรักษาอำนาจเอาไว้ได้ ไม่แน่ว่ารากฐานนับร้อยชั่วอายุคนอาจถูกทำลายในคราวเดียว

แม่ลูกมหาภัยเลอะเลือนไปแล้ว!

ความกังวล และความโกรธแวบเข้ามา ความรู้สึกที่ต้องรับผิดชอบต่อตระกูลผุดขึ้นในหัวใจ ในเมื่อเขาต้องกลับไปเอาของที่เขาสมควรจะได้รับกลับคืนมาอยู่แล้วเช่นนั้นเขาก็จะไม่ปล่อยให้ใครทำลายได้แม้แต่น้อย

เขาเคยให้โอกาสพวกเขาแล้ว แต่พวกเขาไม่เห็นค่า เช่นนั้น ก็อย่าโทษว่าเขาไม่เห็นแก่สายสัมพันธ์ครอบครัวก็แล้วกัน

เพียงแต่ เขาขมวดคิ้ว ขณะที่คิ้วของเขาขมวด สายตาก็เฉียบขาดและดุดันในเวลาเดียวกัน ความคิดที่ไม่ดีบางอย่างก็ตามมา

หนิงเซ่าชิงรู้สึกใจคอไม่ดีเล็กน้อย ใบหน้าเคร่งขรึม แล้วเขาก็ตะโกน “แย่แล้ว!” เขาได้กระโจนออกไป

พอออกจากห้องแล้ว เขาก็กวาดสายตามองไปบนกำแพง ทันใดนั้นก็เห็นอาซานวิ่งออกมาจากห้อง เขาหรี่ตาลง หยุดการเคลื่อนไหวพลางสั่ง

 “สถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลง เตรียมออกเดินทางล่วงหน้า ตอนนี้ข้าจะไปรับฮูหยิน อาซาน เจ้ารีบพาสืออู่ไปเก็บของให้ไว แล้วรีบตามข้ามา ค่อยพบกันระหว่างทางที่ไปเมืองเทียนเซียง”

พอพูดจบ ร่างของหนิงเซ่าชิงก็พุ่งออกไปหลายจั้งแล้ว มีเงาสูงๆ ตามหลังของเขาอยู่ อิ่งซาย่อมจะติดตามเขาไปไม่ห่างอยู่แลัว

ผู้คนที่อยู่ข้างหลังนางได้ตามมาทันแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยสูดลมหายใจเข้าลึก หยุดลง แล้วหันกลับไป

นางไม่มีวิชาตัวเบา ภายใต้ระยะห่างเช่นนี้ หากนางอยากจะหลบหนีไปดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย

คนที่ตามมามีเพียงสองคน บางทีพวกเขาอาจคิดว่าจับสตรีที่ไม่มีวิทยายุทธ์เพียงคนเดียว ใช้สองคนก็พอ หรือบางทีคนอื่นๆ อาจถูกชูอี หมัวมัวและอู่จับมัดเอาไว้แล้ว

เมื่อคนเราตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง สมองก็จะกลับมาปลอดโปร่งแจ่มใสยิ่งขึ้น ตอนที่มั่วเชียนเสวี่ยหยุดวิ่ง ก็แอบหยิบเข็มเงินมาไว้ที่หว่างนิ้ว

ในเวลานี้ก็ได้แต่พึ่งพาตัวเองเท่านั้น จัดการได้แค่ไหนก็แค่นั้น

ทั้งสองคนเห็นว่ามั่วเชียนเสวี่ยยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ ก็มีทีท่าลังเลเล็กน้อย ไม่ได้ก้าวไปข้างหน้าทันที แต่พวกเขาต่างขยิบตาให้กัน แล้วค่อยๆ เคลื่อนตัวไปข้างหน้า

หนิงเซ่าชิงกำลังมุ่งไปข้างหน้าอย่างเร่งรีบ มองจากระยะไกลก็เห็นสองร่างกำลังเข้าใกล้มั่วเชียนเสวี่ย ใจเขาก็รู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมา

ระยะทางที่ไกลขนาดนี้ ต่อให้ซัดฝ่ามือออกไป ลมจากฝ่ามือก็ไปได้ไม่ไกลขนาดนั้น และถึงแม้จะไปได้ไกล สองคนนั้นก็อยู่ใกล้มั่วเชียนเสวี่ยมาก อาจได้รับบาดเจ็บกันทั้งหมด ใช้กำลังภายในจนถึงจุดสูงสุด ฝีเท้าเร็วขึ้น กระบี่มายาหยกที่อยู่ตรงเอวก็ถูกชักออกจากฝักแล้ว หวังเพียงว่าจะยังทัน

ทั้งสองคนที่เคลื่อนตัวมาข้างหน้าแน่ใจว่ามั่วเชียนเสวี่ยไม่รู้วิทยายุทธ์นานแล้ว เมื่อเห็นว่ากำลังเคลื่อนตัวเข้ามา มั่วเชียนเสวี่ยก็ยังคงยืนมึนงงอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน แววตาไร้ชีวิตชีวา นัยน์ตาเยาะเย้ยดูแคลน ผู้หญิงคนหนึ่งที่ตกใจจนก้าวไม่ออก จะทำให้พวกเขาหวาดกลัวอย่างเหลือเชื่อ

ทั้งสองมองหน้ากันพลางยิ้มเล็กน้อย ซ้ายคน ขวาคน เอื้อมมือไปจับ ชั่วพริบตาเดียว เข็มเงินที่อยู่ในมือของมั่วเชียนเสวี่ยก็ส่องประกาย นางเล็งไปที่จุดฝังเข็มที่มือของพวกเขา

วิธีนี้นี้เป็นหนึ่งในสิ่งที่หมอหวังสอนมา นั่นคืออาการชา

นางมีโอกาสเดียวเท่านั้น!

หมอหวังบอกมาสามวิธี ความจริงแล้วในแต่ละวิธี ก็แยกย่อยออกเป็นวิธีละสามแบบ ซึ่งอันที่จริงแล้วก็มีถึงเก้าวิธี ทำให้คนอื่นคาดไม่ถึง เข็มนี่โหดร้ายมาก

วิธีที่หนึ่งคือถึงตาย แยกย่อยเป็นสามวิธี คือจู่โจมคอ ใบหน้า และหัวใจ ถ้าวิธีไหนโดนศัตรู ศัตรูก็จะถูกเข็มสังหารจนตาย

 วิธีที่สองอาการชายังแบ่งออกเป็นสามวิธี วิธีที่หนึ่งคือฝังไปที่หว่างนิ้วสามเข็ม สองคือฝังที่ด้านหลังสองเข็ม สามคือฝังที่คอเข้าหลอดเลือดแดงหนึ่งเข็มวิธีไหนโดนศัตรูได้ศัตรูจะตัวชาในทันทีเหมือนฝังเข็มเพื่อหยุดการเคลื่อนไหว ระยะเวลาของอาการชาหยุดเคลื่อนไหวนั้นแตกต่างกันขึ้นอยู่กับความลึกซึ้งในทักษะ ก็เหมือนกับมั่วเชียนเสวี่ยที่ใช้กำลังภายในไม่ได้ ก็จะสามารถหยุดการเคลื่อนไหวพวกเขาได้เพียงนับหนึ่งถึงสิบ

วิธีที่สามคือสลบ เช่นเดียวกัน หนึ่งคือหลังใบหู สองคือใต้แขน และข้อศอก

เพียงการเคลื่อนไหวเก้าแบบนี้ ช่วงเวลาหลายวันมานี้นางได้ฝึกฝนมาหลายพันครั้ง ไม่เพียงแต่ฝึกด้วยมือขวาเท่านั้น แต่ยังฝึกด้วยมือซ้ายอีกด้วย นางเป็นคนที่ถ้ายิ่งวิกฤติก็จะยิ่งสงบเป็นแบบนี้มาโดยตลอด แม้จะเป็นการต่อกรกับศัตรูครั้งแรก แต่นางก็ไม่หวาดหวั่น

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

Status: Ongoing

เพราะสำลักน้ำชาจนขาดอากาศ(?)ทำให้ มั่วเชียนเสวี่ย สาวมั่นหัวการค้าทะลุมิติมาอยู่ในโลกยุคโบราณและในร่างของคนอื่น

แต่นั่นยังไม่น่าตระหนกเท่าการที่ร่างนี้กำลังจะแต่งงานเพื่อแก้เคล็ดให้กับชายหนุ่มที่ป่วยร่อแร่เต็มที!

ในโลกที่หากขาดที่พึ่งผู้หญิงก็สามารถถูกขายเป็นทาสได้ตลอดเวลาสามีคนนี้ของนางนับว่าเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลยทีเดียว

ทั้งมีความรู้ สุภาพและไม่ใช้กำลังแถมหน้าตายังหล่อเหลาอีกด้วย เสียตรงร่างกายอ่อนแอไปหน่อยเท่านั้น

ชีวิตครอบครัวชนบทแสนยากจนของนางจึงเริ่มขึ้นที่ตรงนั้น… แต่อย่างไรนางไม่ยอมงอมืองอเท้ารับชะตากรรมแบบนี้แน่

ในเมื่อนางมีความรู้ความสามารถยังต้องกลัวสร้างกิจการไม่ได้อีกหรือ?!

เส้นทางร่ำรวยสายนี้นางจะบุกเบิกมันขึ้นมาด้วยตนเอง! และหวังว่าทุกอย่างจะราบรื่นด้วยดี

เพราะเหมือน ‘ร่างนี้’ ของนางกับฐานะเดิมของสามีเหมือนจะไม่ค่อยธรรมดาเสียด้วยสิ…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท