ในขณะที่เซวียเจินกำลังนำทัพทำศึกนองเลือดกับเป่ยหยวนอยู่นอกด่านกำแพง เว่ยจวินมั่วนำทัพกองกำลังหว่าหลาที่ยืมมาไล่ล่าทหารเป่ยหยวนที่เหลือในเขตทุ่งหญ้าและทำลายไปทั่วอยู่นั้น เซี่ยลี่ที่เป็นผู้บัญชาการกองกำลังเมืองโยวโจวที่อยู่ในค่ายกลับอยู่อย่างเงียบสงบ
“แม่ทัพเซี่ย เซวียเจินนำทัพออกนอกด่านไปแล้ว ท่านไม่คิดจะหาวิธีเลยหรือ” เสียงแหลมของชายวัยกลางคนดังขึ้นเดินกลับไปกลับมาในกระโจมใหญ่อย่างร้อนรน มองเซี่ยลี่ที่นั่งพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทีนิ่งสงบ เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่พอใจ
เซี่ยลี่ลืมตาขึ้นมามองดูเขาอย่างสงบ “คิดหาวิธีอันใด ข้าทำอันใดเซวียเจินได้หรือ หรือว่าให้ข้านำทัพออกนอกด่านไปช่วยเป่ยหยวนกำจัดเว่ยจวินมั่วเล่า”
ชายวัยกลางคนสะอึก พูดไม่ออกชั่วขณะ ต่อให้เขาโง่จริงๆ ก็รู้ดี คิดอยากแตะต้องเว่ยจวินมั่วทำได้เพียงลับๆ หากให้เซี่ยลี่นำทัพออกไปสังหารคนของตนเอง ต่อให้สังหารเว่ยจวินมั่วสำเร็จจริงเมื่อกลับมาแล้วคนที่ต้องตายอีกก็คือพวกเขา ไม่ต้องถึงมือเยี่ยนอ๋อง ฝ่าบาทคงชิงลงมือสังหารพวกเขาก่อนเพื่อลดความโกรธแค้นของประชาชน
ชายวัยกลางคนสูดหายใจเข้าลึก มองเซี่ยลี่ เอ่ย “แต่แม่ทัพเซี่ยอย่าลืมเสีย หากปล่อยให้เว่ยจวินมั่วมีชีวิตกลับมา พวกเราใครก็ประจบประแจงไม่ได้”
เซี่ยลี่นวดหัวคิ้วอย่างเหนื่อยล้า เอ่ย “สิ่งที่ข้าทำได้ข้าก็ทำไปหมดแล้ว หากเว่ยจวินมั่วมีชีวิตกลับมา นั่นคงเป็นเพราะชีวิตของเขายังไม่จบสิ้น ข้าก็ทำอันใดไม่ได้ ขอให้ฝ่าบาทคิดหาทางอื่นเถิด ข้าไร้ความสามารถ”
“เซี่ย...”
“เชิญรายงานต่อฝ่าบาทเช่นนี้” คนผู้นั้นกำลังอยากเอ่ยโน้มน้าวอันใดอีก ทว่าถูกเซี่ยลี่เอ่ยขัดขึ้น
ชายวัยกลางคนผู้นั้นส่งเสียงหยันไม่อาจทำสิ่งใดได้ อย่างไรในกองทัพนี้เซี่ยลี่ก็เป็นผู้ตัดสินใจ นอกจากนี้เขาเองก็อยากรู้ว่าวิธีสังหารเว่ยจวินมั่วแบบลับๆ นั้นได้ผลหรือไม่ เมื่อครั้งอยู่จินหลิงฝ่าบาทยังสังหารเขาไม่ได้ ตอนนี้มาอยู่โยวโจวแล้วจะสำเร็จได้หรือ หากแม้กระทั่งกองทัพนับแสนของเป่ยหยวนยังไม่อาจสังหารเขาได้ พวกเขาส่ง…มือสังหารเข้าไปจะสำเร็จหรือไม่ หากรู้ดี คุณชายเว่ยเดิมทีก็เป็นหนึ่งในมือสังหารที่ร้ายกาจอยู่แล้ว
คิดมาถึงตรงนี้ ชายวัยกลางคนจำต้องยกมือขึ้นประสาน เอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าคงต้องขอตัวแล้ว ท่านแม่ทัพทำตามใจท่านเถิด”
เซี่ยลี่นิ่งเงียบไม่เอ่ยสิ่งใด ชายวัยกลางคนส่งเสียงหยันสะบัดแขนเสื้อและเดินออกไปจากกระโจม หากไม่ไป รอเว่ยจวินมั่วเจ้าดาวพิฆาตนั่นกลับมาเกรงว่าคงหนีไม่รอดแล้ว
“ท่านแม่ทัพ ข้าน้อยขอเข้าพบขอรับ” ด้านนอกมีเสียงคนหนุ่มดังขึ้น เซี่ยลี่ลืมตาขึ้นมา “เข้ามาเถิด”
มองขุนพลหนุ่มที่เดินเข้ามาท่าทางกระอึกกระอัก เซี่ยลี่หลุบตาลงเอ่ยถามเสียงเข้ม “ว่ามาเถิด มีเรื่องอันใด”
ขุนพลหนุ่มผู้นั้นเอ่ยตอบว่า “ท่านแม่ทัพ ในกองทัพผู้คนต่างพากันลือเลื่อง…บอกว่า ท่านแม่ทัพตั้งใจส่งแม่ทัพเว่ยออกนอกด่านไป เพื่อที่จะ…”
“จะอันใด”
“คนหนุ่มกัดฟัน เอ่ย “ต้องการกำจัด ใช้โอกาสนี้สังหารแม่ทัพเว่ย”
เซี่ยลี่นิ่งสงบไม่เอ่ยสิ่งใด คนหนุ่มเริ่มร้อนใจ เอ่ย “ท่านแม่ทัพ ตอนนี้มีข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วทั้งกองทัพ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่า…เกรงว่าเหล่าทหารจะมีใจไม่สงบ”
“เช่นนั้นเจ้าว่า ควรทำเช่นไร” เซี่ยลี่เอ่ยถาม
คนหนุ่มยกมือประสาน เอ่ย “ข้าน้อยยินดีนำทัพออกไปสนับสนุนแม่ทัพเว่ย ขอเพียงท่านแม่ทัพส่งกองหนุนออกไป ช่วยแม่ทัพเว่ยและพี่น้องที่เหลือกลับมา ข่าวลือในกองทัพจะเลือนหายไปเองขอรับ”
เซี่ยลี่มองเขา “ตอนนี้เจ้ารู้หรือว่าพวกเขาอยู่ที่ใด เจ้ารู้หรือไม่เพียงออกจากด่านไปก็ยากที่จะมีชีวิตรอดกลับมาได้”
“แต่ว่า…”
เซี่ยลี่ยกมือขึ้นห้ามวาจาของเขา “ถ้าหาก ข้าบอกเจ้าว่า…นี่ไม่ใช่ข่าวลือเล่า”
“…”
ต้นเดือนสิบเอ็ด โยวโจวมีหิมะตกโปรยปราย เพียงคืนเดียว ทั่วทั้งโยวโจวพลันมีหิมะสีขาวปกคลุมเป็นชั้นบางๆ ไปทั่ว หนานกงมั่วคลุมเสื้อคลุมสีแดงผืนหนาปักลายลูกท้อสีขาวเดินเชื่องช้าอยู่ในจวนเยี่ยนอ๋อง สีแดงสดและขนจิ้งจอกสีขาวนุ่มยิ่งขับให้ใบหน้างดงามนวลผ่องราวกับหยกมากขึ้น แม้คนรอบข้างจะบำรุงนางมากมาย ทว่าผ่านไปนานก็ยังไม่เห็นเนื้อหนังของหนานกงมั่วจะเพิ่มขึ้น แม้หนานกงมั่วจะบอกว่าร่างกายของนางเป็นเช่นนี้ แต่องค์หญิงฉังผิงก็ยังยืนยันที่จะเชื่อว่าสาเหตุเป็นเพราะนางเป็นห่วงเว่ยจวินมั่วที่อยู่ในสนามรบ ยิ่งรู้สึกเห็นใจลูกสะใภ้มากขึ้น
“จวิ้นจู่มาแล้วเจ้าค่ะ” ด้านนอก สาวใช้ทั้งสองมองเห็นหนานกงมั่วเดินเข้ามา รีบเข้าไปแสดงความเคารพ
หนานกงมั่วพยักหน้าเอ่ยถาม “เสด็จลุงตื่นแล้วหรือ”
“ตอบจวิ้นจู่ ท่านอ๋องตื่นแล้วเจ้าค่ะ ท่านอ๋องสั่งเอาไว้ว่า หากจวิ้นจู่มาให้เข้าไปด้านในได้เลยเจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม
หนานกงมั่วพยักหน้า เอ่ยเพียงรบกวนแล้ว จากนั้นจึงเดินเข้าไปด้านใน
ที่นี่ไม่ใช่ห้องหนังสือของเยี่ยนอ๋อง แต่เป็นห้องในเรือนเตี๋ย ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันเยี่ยนอ๋องล้มป่วยกะทันหัน ยังไม่ดีขึ้น บอกกับคนอื่นเพียงว่าเป็นเพราะบาดแผลเก่ากำเริบขึ้นมา ดังนั้นจึงอยู่ในเรือนเตี๋ยโดยมีกงเสี่ยวเตี๋ยคอยดูแล
ในห้องไม่ได้มีเพียงเยี่ยนอ๋องและกงเสี่ยวเตี๋ยสองคน ยังมีเซียวเชียนชื่อและจูชูอวี้อยู่ด้วย กงเสี่ยวเตี๋ยนั่งอยู่ขอบเตียงประคองเยี่ยนอ๋อง เซียวเชียนชื่อและจูชูอวี้ยืนอยู่ริมหน้าต่างไม่ไกลโต้ตอบ
ได้ยินเสียงเท้าเดินเข้ามา ทุกคนจึงหันมามองหนานกงมั่ว
“เสด็จลุง”
เยี่ยนอ๋องสีหน้าดีขึ้น พยักหน้า เอ่ย “อู๋สยามาแล้ว นั่งสิ”
หนานกงมั่วเอ่ยขอบคุณ มองเซียวเชียนชื่อและจูชูอวี้ที่ยืนอยู่อีกฝั่ง เอ่ยถาม “เสด็จลุงเรียกอู๋สยามา มีเรื่องอันใดหรือเพคะ”
เยี่ยนอ๋องกระแอมไอไปสองครั้ง รับสมุดพับที่กงเสี่ยวเตี๋ยยื่นมาให้ เอ่ย เอาไปดูสิ อีกไม่กี่วันจวินเอ๋อร์ก็คงกลับมาแล้ว”
หนานกงมั่วรับกระดาษพับมาด้วยความสงสัย เป็นรายงานสถานการณ์เขตชายแดนจากเฉินอวี้ ในกระดาษพับ บอกเล่าถึงเซี่ยลี่ส่งเว่ยจวินมั่วออกนอกด่าน เว่ยจวินมั่วยืมกองกำลังของหว่าหลาจัดการกับเป่ยหยวน ลอบโจมตีและทำลายเสบียงของชาวเป่ยหยวนกลางดึก เป็นต้น ได้รับการเขียนออกมาอย่างละเอียด ในนั้นยังเขียนความคิดเห็นและข้อเสนอของเฉินอวี้ต่อการศึกในอนาคต เฉินอวี้มีฉายาว่าแม่ทัพอันดับหนึ่งแห่งโยวโจว ดูท่าจะสมคำร่ำลือจริงๆ
หนานกงมั่วเงยหน้าขึ้นมา เยี่ยนอ๋องเอ่ยถาม “อ่านจบแล้วหรือ มีแนวคิดใดอยากเอ่ยหรือไม่”
หนานกงมั่วสัมผัสกระดาษพับในมือเบาๆ เอ่ย “คนจินหลิงฝั่งนั้นเตรียมลงมือกับเว่ยจวินมั่วแล้วหรือเพคะ” แม้นางไม่ได้รู้จักเซี่ยลี่เป็นอย่างดี แต่พอเข้าใจอยู่บ้าง ด้วยนิสัยของเขาไม่มีทางใช้อำนาจทางการทหารลงมือกับเว่ยจวินมั่วเพื่อประโยชน์ส่วนตนอย่างแน่นอน คงเป็นคำสั่งของเซียวเชียนเยี่ย เซี่ยลี่ที่เป็นข้าราชบริพารไม่อาจขัดต่อรับสั่งได้ก็เท่านั้น
เซียวเชียนเยี่ยทำเช่นนี้นับได้ว่ามีความกล้าลงมือกับเว่ยจวินมั่วอย่างเปิดเผย เอ่ยได้ว่าเขาเตรียมตัวลงมือกับเยี่ยนอ๋องแล้วเช่นกัน แน่นอนว่าไม่กลัวที่จะแตกหักกับจวนเยี่ยนอ๋องแล้ว
เยี่ยนอ๋องส่งเสียงหยัน ย่นคิ้ว เอ่ย “น้องหกถูกเซียวเชียนเยี่ยแต่งตั้งไปอยู่ที่หนานหนิง”
หนานกงมั่วย่นคิ้ว โลกนี้ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์หรือภูมิศาสตร์เมื่อเทียบกับโลกเก่าของนางแล้วทำได้เพียงเทียบเคียงทว่าไม่อาจเทียบให้ตรงได้ ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าหนานหนิงนี่อยู่ที่ใด เพียงแต่เซียวเชียนเยี่ยไม่มีทางประทานพื้นที่มั่งคั่งให้ฉีอ๋องอย่างแน่นอน
จูชูอวี้ที่ยืนอยู่ด้านข้างมองเห็นสีหน้าของหนานกงมั่ว เอ่ยเสียงเบา “พี่สะใภ้ หนานหนิงอยู่ทางใต้ของอี้โจวเจ้าค่ะ อยู่ติดกับพื้นที่ปกครองเดิมของหวาหนิงจวิ้นอ๋อง”
หนานกงมั่วเข้าใจทันใด ก็ได้ เป็นพื้นที่แร้นแค้นอย่างแท้จริง ความจริงเซียวเชียนเยี่ยคงแทบอยากส่งฉีอ๋องเข้าไปเป็นคนป่าอยู่ในหุบเขากระมัง