มองสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เยี่ยนอ๋องถอนหายใจออกมาส่ายศีรษะเผลอยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ “เจ้าเด็กนี่”
องครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูห้องหนังสือได้ยินเสียงโกรธเกรี้ยวของเยี่ยนอ๋องดังขึ้น ตกใจไม่น้อย ยังไม่ทันตัดสินใจได้ว่าจะเข้าไปถามหรือไม่ก็ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำขึ้นมา รีบก้มหน้าลง พวกเขาไม่ได้ยินอันใดทั้งนั้น
หลังจากวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระชายาเยี่ยนอ๋อง ชั่วพริบตาก็จะข้ามปีแล้ว วันเวลาที่เหลืออยู่จากตลอดปีที่วุ่นวายควรเป็นช่วงเวลาที่ผ่อนคลาย ทว่าด้วยเหตุผลใดที่ประชาชนไม่อาจรู้ได้ บรรยากาศของเมืองโยวโจวถึงได้หม่นหมองและตึงเครียดขึ้นมา หลังจากพักผ่อนครบหนึ่งเดือนแล้ว เว่ยจวินมั่วยังคงกลับไปยังกองทัพของเซี่ยลี่ เว้นเพียงสามวันห้าวันก็กลับเข้าเมืองมาเยี่ยมภรรยาที่กำลังตั้งท้องและมารดา เป็นดั่งที่เว่ยจวินมั่วคาดเอาไว้ เซี่ยลี่ที่เดิมทีเข้มงวดไม่ไว้หน้าใครกลับหลับตาข้างเดียวต่อการกระทำของเว่ยจวินมั่ว กระทั่งยังเอ่ยบอกเว่ยจวินมั่วกลับไปเยี่ยมภรรยาและมารดาด้วยตนเอง แต่เพียงมองผิวเผินก็ดูออก ว่าแม่ทัพเว่ยกำลังถูกบีบคั้นให้ออกจากตำแหน่งสำคัญในกองทัพ ไม่มีทางปล่อยให้เขายื่นมือเข้ามายุ่งในเรื่องสำคัญหลายเรื่อง
เดิมทีก็ไม่มีอันใด ความจริงแล้วตั้งแต่เริ่มแรกเว่ยจวินมั่วก็ไม่เคยเข้าสู่ตำแหน่งสำคัญของกองทัพเลยด้วยซ้ำ แต่ในตอนนี้แม่ทัพเว่ยผู้ถูกสั่งให้ออกจากด่านชายแดนไปอย่างน่าประหลาด สุดท้ายเอาชนะเป่ยหยวนนำชัยกลับมาให้ต้องถูกบีบคั้น ทำให้นายทหารชั้นกลางและชั้นล่างมากมายเริ่มทนไม่ได้
ในกองทัพเลื่อมใสและนับถือวีรบุรุษ วีรบุรุษที่ไร้ข้อกังขาและมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วในปีนี้คือเว่ยจวินมั่ว แต่วีรบุรุษมักถูกคนบีบคั้นถูกใส่ร้าย เลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่ยุติธรรมแทนเขา และเลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่พอใจต่อคนที่บีบคั้นเขา ส่วนคนที่ติดตามเว่ยจวินมั่วออกนอกด่านไปและมีชีวิตรอดกลับมา ยิ่งมีใจออกห่างจากเซี่ยลี่ หากมิใช่เพราะแม่ทัพเว่ย พวกเขายังจะมีชีวิตรอดกลับมาได้หรือ พวกเขาที่เป็นทหารไม่เคยได้เรียนหนังสือเท่าใดนัก ทว่ายังรู้จักความหมายของประโยคที่ว่าบุญคุณต้องตอบแทนห้าพยางค์นี้
นอกหน้าต่างหิมะกำลังตกหนัก ด้านในหน้าต่างกลับเต็มไปด้วยความอบอุ่น หนานกงมั่วเอนตัวพิงอยู่กับอกของเว่ยจวินมั่วหาวเบาๆ เว่ยจวินมั่วที่กำลังเปิดตำราบนโต๊ะวางพู่กันลงก้มศีรษะลงไปมองนาง “ง่วงแล้วหรือ” หนานกงมั่วส่ายศีรษะ ก้มศีรษะลงยกมือขึ้นลูบท้องที่นูนขึ้นมาแล้ว ย่นคิ้วพลางเอ่ย “ลูกโตเร็วมาก” เห็นอยู่ว่าตอนเว่ยจวินมั่วเพิ่งกลับมานั้นมีน้อยนิด เมื่อสวมชุดคลุมในหน้าหนาวก็ดูไม่ออก นี่เพิ่งผ่านไปเดือนกว่าๆ ยังไม่ถึงสองเดือน กลับกลายเป็นลูกแตงโมเสียแล้ว ชาตินี้หรือชาติไหน หนานกงมั่วก็ไม่เคยรู้สึกไม่สะดวกแบบนี้มาก่อน ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็รู้สึกราวกับมีลูกบอลติดไปด้วย…
เว่ยจวินมั่วยื่นมือไปกุมมือของนางไว้ มืออีกข้างวางลงบนหน้าท้องกลม รู้สึกถึงเท้าของลูกที่กำลังถีบมาที่มือของตนได้พอดี สีหน้าเคร่งขรึมอ่อนโยนลงทันใด เอ่ยเสียงเบา “คุณชายเสียนเกอบอกแล้ว ว่าด้านในมีลูกสองคนมิใช่หรือ”
หนานกงมั่วพยักหน้า “วิชาการแพทย์ของศิษย์พี่ไม่พลาดอย่างแน่นอน” ราวๆ สี่เดือนกว่า ถูกศิษย์พี่คาดการณ์ว่าในท้องนี้มีสองคนนางเองไม่อยากเชื่อ ทว่าคุณชายเสียนเกอยิ้มเย็นชาให้นาง เอ่ย “รอท้องของเจ้าตีกันขึ้นมาเดี๋ยวเจ้าก็เชื่อแล้ว” แน่นอนว่านางไม่ได้สงสัยต่อการแพทย์ของศิษย์พี่ เพียงแต่มันน่าเหลือเชื่อก็เท่านั้น
องค์หญิงฉังผิง เยี่ยนอ๋อง พระชายาเยี่ยนอ๋องเหล่านี้ เมื่อได้ยินข่าวนี้พลันดีใจกันยกใหญ่ องค์หญิงฉังผิงเอาแต่บอกว่าของที่เตรียมเอาไว้ก่อนหน้านี้นั้นไม่เพียงพอ ต้องเตรียมเพิ่มอีกหนึ่งชุด หนานกงมั่วอยากบอกว่า ก่อนหน้านี้ก็เตรียมชุดชายหญิงไว้แล้วนี่นา ก็ได้…บางทีอาจจะเป็นลูกชายทั้งสองหรือลูกสาวทั้งสองก็ยังไม่แน่
เว่ยจวินมั่วก้มลงไปจูบขมับของนาง เอ่ยเสียงเบา “ลำบากอู๋สยาแล้ว”
หนานกงมั่วกลอกตา ยื่นมือขึ้นไปบีบแก้มใบหน้าหล่อเหลา “ที่ไหนเล่า คุณชายเว่ยต่างหากที่ลำบาก”
หลังจากเว่ยจวินมั่วกลับมา งานที่มีอยู่น้อยนิดของหนานกงมั่วพลันถูกกีดกันแล้ว คุณชายเว่ยสามวันไปสองวันกลับระหว่างกองทัพและเมืองโยวโจว ยังไม่ลืมยึดงานบางอย่างที่นางต้องจัดการด้วยตัวเองเอาไปจนหมด แม้แต่สิ่งที่คุณชายเว่ยเกลียดที่สุดอย่างการตรวจบัญชี คิดบัญชีต่างเอาไปจัดการเองหมดแล้ว เพียงเพราะประโยคเดียวของศิษย์พี่ หญิงตั้งครรภ์จ้องเกินไปไม่ดีต่อสายตา ดังนั้นตอนนี้ทั้งสองราวกับเป็นคนละขั้น คนหนึ่งยุ่งแทบตาย อีกคนว่างแทบตาย แต่ต่อให้คุณชายเว่ยยุ่งจนหัวหมุน ก็ยังยืนยันไม่ให้นางมายุ่งเรื่องพวกนี้ ดังนั้นหนานกงมั่วเองก็รู้สึกสนุกที่ได้เห็นคิ้วของใครบางคนต้องขมวดมุ่นยามอ่านบัญชี
เว่ยจวินมั่วยกมือขึ้นมาจับกุมมือของนางที่กำลังซุกซนอยู่บนใบหน้าของตน ดวงตาสีม่วงเข้มลุ่มลึก หนานกงมั่วถอนหายใจอยู่ในใจ ขยับเข้าไปจูบเบาๆ ที่ดวงตาของเขา “สวยจัง”
แม้ใบหน้าของคุณชายเว่ยจะงดงามไม่อาจมีใครเทียบได้ แต่หนานกงมั่วคิดว่าที่สวยที่สุดคงเป็นดวงตาคู่นั้น บางครั้ง…อยากจะควักออกมาใส่ให้ตัวเองจริงๆ “ท่านว่า ลูกจะมีดวงตาสีม่วงเหมือนท่านหรือไม่”
เว่ยจวินมั่วกุมมือของนางเอาไว้ ส่ายศีรษะ “เหมือนอู๋สยาจะดีกว่า” แม้อู๋สยาชอบดวงตาของเขาจะทำให้เขารู้สึกยินดีอยู่ในใจ แต่หากเป็นลูกให้เหมือนอู๋สยาจะดีกว่า หนานกงมั่วยักไหล่ นางไม่สนว่าดวงตาของลูกจะสีใด อย่างไรนางก็มีหนึ่งเดียวที่ไม่มีที่ไหนนั่นแล้ว แต่ว่า…ความเป็นไปได้นี้ยังมีอยู่ หนานกงมั่วรู้ดีว่าเว่ยจวินมั่วไม่ได้ปล่อยวางต่อเรื่องชาติกำเนิดของตนเองได้ทั้งหมด เขาเพียงไม่ต้องการให้องค์หญิงฉังผิงลำบากใจเท่านั้น
ทั้งสองคนอิงแอบอยู่ด้วยกัน พูดคุยถึงเรื่องลูก ตั้งแต่ชื่อไปจนถึงรูปลักษณ์ เอ่ยถึงการอบรมสั่งสอนลูกในอนาคต คุณชายเว่ยที่ไม่ชอบเอ่ยวาจายามนี้กลับพูดคุยสนุกขึ้นมา เอ่ยไปเอ่ยมา หนานกงมั่วก็หลับไปอยู่ในอ้อมแขนของเว่ยจวินมั่ว เว่ยจวินมั่วก้มลงไปลูบใบหน้าสวยของสตรีที่กำลังหลับสบายอยู่ในอ้อมแขนของตน มุมปากยกยิ้มขึ้นมา โน้มลงไปจูบเบาๆ ที่ริมฝีปากของนาง “อู๋สยา ขอบคุณเจ้ามาก”
“อื้อ…” คนที่กำลังหลับสบายย่นคิ้วเบาๆ ขยับศีรษะหาท่าทางที่สบายมากขึ้นจากนั้นหลับลึกกว่าเดิม
ด้านนอก ชวีเหลียนซิงค่อยๆ ถอยห่างออกไป เดินออกไปไกลแล้วค่อยเอ่ยกับสาวใช้ด้านข้าง “จวิ้นจู่หลับแล้ว เดี๋ยวค่อยนำของว่างไปให้ทีหลัง”
“เจ้าค่ะ ผู้ดูแลชวี”
“แม่นางชวี” ปลายทางเดิน ชายท่าทางเหมือนผู้ดูแลเดินเข้ามา ชวีเหลียนซิงจำได้ว่านั่นคือผู้ดูแลของจวนเยี่ยนอ๋อง รีบเดินเข้าไปต้อนรับ “ผู้ดูแลหลี่ มีเรื่องอันใดหรือ”
ผู้ดูแลหลี่ยกมือขึ้นประสาน “ท่านอ๋องเชิญคุณชายเว่ยไปที่จวนสักหน่อย”
ชวีเหลียนซิงมีท่าทีลังเล จวิ้นจู่เพิ่งจะนอนหลับไป นางคล้ายจะเห็นว่าคุณชายเว่ยกำลังอุ้มจวิ้นจู่ ไปหาตอนนี้…เป็นการตัดสินใจที่ฉลาดหรือ
ผู้ดูแลหลี่เอ่ยเสียงเบา “มีเรื่องเร่งด่วน แม่นางได้โปรดช่วยรายงาน”
ชวีเหลียนซิงเองเข้าใจเรื่องเร่งด่วน จึงพยักหน้า “ผู้ดูแลรอสักครู่”
“ไม่ต้องแล้ว มีเรื่องอันใด” ด้านหลัง น้ำเสียงเย็นชาของเว่ยจวินมั่วดังขึ้น ทั้งสองรีบหันไปคารวะ ผู้ดูแลหลี่เอ่ย “รายงานคุณชายเว่ย จินหลิงเกิดเรื่องแล้วขอรับ”