ตอนที่ 236 นี่ผมดูอ่อนปวกเปียกเหรอ
เวรดึกของคืนที่ผ่านมาคุณหมอฟางต้องเจอกับคนไข้ฉุกเฉินหลายราย
ทำให้ตอนเช้าเขามากินมื้อแรกของวันที่ร้านของหลินม่ายด้วยสีหน้าที่ดูอิดโรยเหนื่อยล้า
ทันทีที่ชายหนุ่มทิ้งตัวลงในห้องนั่งเล่นชั้นสอง หลินม่ายก็ยกซุปไก่ชามใหญ่ใส่พุทราจีนและเก๋ากี้มาวางลงตรงหน้าเขา
ฟางจั๋วหรานเงยหน้าขึ้นมองเธอ “มีของดี ๆ ให้กินแต่เช้าเลยเหรอเนี่ย”
หลินม่ายรับเอาก้วนทังเปา*จากโต้วโต้วมาวางอีกหนึ่งชาม
*ซาลาเปาที่มีไส้และน้ำซุปอยู่ข้างใน เสี่ยวหลงเปาก็เรียก
ก่อนเอ่ยอย่างเป็นห่วง “ช่วงนี้คุณทำงานหนักมากเลย ต้องบำรุงด้วยของดี ๆ “
ฟางจั๋วหรานยกยิ้มแล้วเริ่มกินซุปไก่
เมื่อพบว่ามีผลเก๋ากี้สีแดง ๆ เล็ก ๆ หลายผลอยู่ในซุปเลยใช้ช้อนตักมันขึ้นมาแล้วถามหลินม่ายว่า “นี่อะไรน่ะ”
หลินม่ายมองตามกระพริบตาปริบ ๆ “เก๋ากี้ไง คุณไม่รู้จักจริงเหรอ”
ชายหนุ่มดูเคืองขึ้นมาเล็กน้อย “ผมหมายความว่าทำไมต้องเอาเก๋ากี้มาให้ผมกินด้วย นี่ผมดูอ่อนปวกเปียกขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย”
หลินม่ายขมวดคิ้ว ทำไมเขาต้องดูเคืองเพียงเพราะเธอเป็นห่วงไตของเขาด้วยล่ะ
“ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันเคยได้ยินว่าถ้านอนดึกบ่อย ๆ จะมีปัญหากับไตได้ ก็เลยใส่เก๋ากี้ให้คุณด้วย…”
ยิ่งอธิบายมากเท่าไรเสียงของเธอก็ยิ่งเบาลงเพราะเขากำลังจ้องมาที่เธอด้วยสายตาแฝงแววเจ้าเล่ห์
“อยากลองพิสูจน์ความแข็งแรงไหม?”
หลินม่ายหน้าแดงขึ้นมาทันที “โต้วโต้วกินข้าวอยู่ตรงนี้นะคะ”
ฟางจั๋วหรานมองไปทางเด็กน้อย
โต้วโต้วที่อยู่ ๆ ก็ถูกแม่เรียกชื่ออย่างกะทันหันก็หันมามองผู้ใหญ่ทั้งสองด้วยแววตาใสซื่อ
ชายหนุ่มกลับพูดต่ออย่างไม่ติดขัด “ผมหมายความว่าจะวิดพื้นให้คุณดูสักร้อยครั้ง เพื่อให้เห็นว่าไตผมยังดีอยู่ ไม่เห็นต้องห่วงเลยว่าโต้วโต้วกำลังกินข้าวอยู่ตรงนี้ นี่คุณคิดอะไรอยู่เหรอ”
หลินม่ายเขินหนักกว่าเดิมจนไม่กล้าพูดอะไรออกมา
คุณหมอหนุ่มซดซุปไก่ชามนั้นจนหมดแล้วพูดกับเธอว่า “เดี๋ยวผมจะไม่อยู่สองวันนะ ต้องไปสัมมนาที่ต่างจังหวัด”
หลินม่ายสำลักซาลาเปาที่กำลังกินอยู่ในปาก จนต้องจิบต้านจิ่ว* สองอึกแล้วกลืนลงคอไป
*蛋酒 ซุปไข่ที่ใส่ข้าวหมาก น้ำตาล บางครั้งมีการเติมพุทราจีนและเก๋ากี้ลงไปด้วย
เธอเริ่มเอ่ยอย่างไม่สบายใจ “คุณยุ่งจนหัวหมุนไปหมดแล้ว ไม่ได้พักผ่อนดี ๆ มาตั้งหลายวัน แล้วยังต้องไปสัมมนาอีก บอกหัวหน้าว่าครั้งนี้ขอไม่ไปไม่ได้เหรอคะ”
“คงไม่ได้หรอก” ฟางจั๋วหรานตอบในทันทีก่อนที่จะตักก้วนทังเปาขึ้นมากัดอย่างระวังเพราะกลัวน้ำซุปข้างในจะหกออกมา
“สัมมนาครั้งนี้เกี่ยวกับการผ่าตัดให้คนสำคัญท่านหนึ่งด้วย ผมก็เลยจำเป็นต้องไปน่ะ”
“อื้ม ต้องไปขึ้นรถไฟกี่โมงคะ”
“รถออกบ่ายโมงครึ่ง”
หลินม่ายพูดอย่างครุ่นคิด “งั้นคุณก็ไม่ต้องกลับไปที่ห้องหรอก ไปนอนในห้องฉันก็ได้ค่ะจะได้ไม่ต้องเสียเวลา”
ชายหนุ่มไม่ปฏิเสธ เข้าไปนอนบนเตียงหลังใหญ่ของหลินม่ายในห้องนอนทันทีหลังกินข้าวเช้าเสร็จ
แม้เตียงของหลินม่ายจะไม่ได้นุ่มสบายเหมือนกับเตียงที่ห้องของเขาเอง แต่บนที่นอนมีกลิ่นหอมที่เป็นกลิ่นประจำกายของเธออยู่ ทำเอาคุณหมอหนุ่มผ่อนคลาย หลับสนิทจนกระทั่งเจ้าของห้องขึ้นมาปลุกให้ตื่น
เจ้าของร่างสูงเดินออกมาหลังจากพักผ่อนอย่างเต็มที่ก็พบว่าโต๊ะกินข้าวในห้องนั่งเล่นเต็มไปด้วยกับข้าวหลายอย่างที่หน้าตาดูน่ากินมากทั้งนั้น
หลังจากกินมื้อกลางวันเรียบร้อยหลินม่ายก็ไปส่งฟางจั๋วหรานที่สถานีรถไฟ
เมื่อเห็นสีหน้าเป็นห่วงของแฟนสาว เขาก็ยกมือขึ้นมาบีบแก้มกลมของเธอเบา ๆ “ไม่ต้องเป็นห่วงนะ เดี๋ยวผมก็กลับมาแล้ว”
หลังจากขึ้นรถไฟ และนั่งประจำที่ตามตั๋วโดยสารเรียบ ฟางจั๋วหรานก็ขยับกายชิดริมหน้าต่าง จ้องมองแฟนสาวที่ยังยืนอยู่ที่ชานชาลา
เธอมองเขาอยู่ เหมือนกับภรรยาตัวน้อยที่มาส่งสามีเดินทางไกลไปต่างบ้านต่างเมือง
ปรารถนาจะเป็นผู้หญิงที่เขาทะนุถนอมด้วยชีวิต และมอบความรักให้ทั้งหัวใจ
หลินม่ายไม่ใช่คนที่จะรับของจากใครฟรี ๆ เสี่ยวม่านให้ที่คาดผมเธอมาและยังเลี้ยงไอศกรีมเธอกับหลี่หมิงเฉิงอีก
หลังจากตั้งร้านตอนกลางคืนแล้ว ก็เลยเอาไส้ไก่ผัดพริกและกึ๋นไก่พะโล้ของที่ร้านไปฝากอีกฝ่ายด้วย
เสี่ยวม่านได้รับของกินน่าอร่อยตั้งสองอย่างก็มีความสุขมาก และยิ่งมีความสุขมากขึ้นไปอีกเมื่อได้ลองชิมมัน ดวงตาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ “แม่เธอทำมาให้เหรอเนี่ย แม่ของเธอต้องเป็นยอดฝีมือด้านอาหารแน่ ๆ ส่วนแม่ฉันก็คงเป็นยอดฝีมือด้านการวางยาพิษ ฉันไม่เคยเจอใครทำอาหารได้แย่เท่าแม่ฉันมาก่อนเลย”
หลินม่ายส่ายหัวแล้วตอบไป “เปล่า ฉันทำเอง แล้วแม่ฉันก็ทำอาหารได้แย่มากเหมือนกัน อาจจะสูสีกับแม่เธอก็ได้”
เสี่ยวม่านหัวเราะชอบใจเมื่อได้ยินแบบนั้น “เราคงเจออะไรน่ากลัวมาพอ ๆ กัน แม่ฉันถึงจะรสมือไม่ดีแต่ก็เป็นแม่ที่อ่อนโยนกับฉันมาก คอยปกป้องฉันตลอดเวลาที่มีคนอื่นว่าดูถูกว่าฉันไม่เก่งพ่อกับพี่ชายฉันก็เหมือนกัน”
ระหว่างที่อีกฝ่ายเล่าถึงเรื่องนี้ก็มีประกายแห่งความสุขฉายออกมารอบ ๆ ตัวเธอ
หลินม่ายมองภาพนั้นด้วยความอิจฉาเบา ๆ ที่เห็นว่าเสี่ยวม่านมาจากครอบครัวที่อบอุ่น
สำหรับหลินม่าย เธออาจจะไม่ได้มีพ่อแม่แบบนั้น แต่ในตอนนี้ก็มีฟางจั๋วหรานแล้ว ตอนนี้เขาเป็นครอบครัวของเธอ คนที่จะคอยมอบความรัก ความอบอุ่นให้กัน
ในคืนนั้นหญิงสาวนอนอยู่บนเตียงหลังเดิมของตัวเองที่มีกลิ่นของแฟนหนุ่มติดอยู่ นั่นทำให้เธอรู้สึกราวกับว่ามีเขานอนอยู่ข้าง ๆ ท่าทางว่าคืนนี้จะฝันดีเป็นพิเศษ
…
เช้าวันต่อมา หลังจากกินอาหารเช้าแล้ว หลินม่ายก็หยิบเอาซาลาเปาหกลูกไปที่บ้านฝั่งตรงข้าม
อย่างแรกเธอตั้งใจจะมาดูความคืบหน้าของงานปรับปรุงอาคาร และอย่างที่สองคือเธอต้องการจะมาคุยเรื่องรายการวัสดุก่อสร้างที่ต้องใช้กับนายช่างจาง เพื่อจะได้ไปจัดการหาซื้อของที่ยังขาดอยู่
เมื่อนายช่างเห็นว่าหลินม่ายเอาอาหารมาให้ ก็รับมาอย่างมีความสุข
เธอเริ่มถามเขาเรื่องรายการวัสดุก่อสร้างและเขาก็ให้คำตอบว่า “ฉันให้รายการของที่ขาดไปกับอาจารย์ฟางแล้วนะ ตอนที่สถาปนิกมาตรวจโครงสร้างวันนั้น เมื่อวานซืนก็มีของมาส่งแล้ว ตอนนี้วางอยู่ที่ชั้นสอง”
หลินม่ายรู้แบบนั้นเลยขึ้นไปที่ชั้นสองเพื่อดูกระเบื้องสีขาวสำหรับผนัง โถส้วม ซิงค์ล้างจาน โคมไฟคริสตัล มีแต่ของหายากในยุคนี้ทั้งนั้น
ตอนนั้นเองที่หลินม่ายเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมฟางจั๋วหรานถึงไม่ได้บอกเธอว่าเขาเจอนายช่างจางแล้ววันนั้น เป็นเพราะเขาอยากจะซื้อของพวกนี้มาให้โดยที่ไม่อยากให้เธอรู้ก่อนนี่เอง
หลินม่ายพลันรู้สึกอบอุ่นหวานล้ำในใจขึ้นมา
พอลงมาจากชั้นสองเธอก็เริ่มคุยกับนายช่างจางต่อเรื่องระยะเวลาในการปรับปรุง
นายช่างคิดคำนวณในใจซักพักก็สรุปได้ว่า “ถึงจะไม่ใช่งานใหญ่ แต่เพราะฉันทำคนเดียว คิดว่าเดือนนึงคงไม่ทัน”
เขาถามอย่างกังวลใจ “เธอรีบหรือเปล่า หรือต้องหาคนเพิ่มซักคนสองคนมาช่วย”
หลินม่ายเอ่ยตอบ “ถึงจะไม่ได้รีบร้อนเปิดร้านขนาดนั้น แต่ฉันต้องเตรียมหาคนมาทำงานเพิ่ม ฉันก็เลยอยากรู้ก่อนน่ะค่ะว่าร้านจะเสร็จเมื่อไหร่ จะได้หาคนมาล่วงหน้าก่อนซักครึ่งเดือน”
เธอคิดอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวว่า “งั้นก็หาคนมาช่วยซักสองคนดีกว่านะคะ ยังไงก็จะต้องต่อเติมเพิ่มอีกชั้น แล้วก็ยังมีส่วนที่ต้องปรับปรุงเพิ่มอีก ถ้าทำคนเดียวน่าจะต้องรอไปอีกสองเดือนเลยกว่าชั้นสามจะเริ่มทำได้”
นายช่างจางถามต่อ “เพื่อนบ้านคนอื่น ๆ เห็นด้วยกับการต่อเติมพื้นที่บ้านแล้วหรือยังนะ”
หลินม่ายส่ายหน้า “ฉันยังไม่แน่ใจค่ะ เดี๋ยวไปถามพี่อวี๋ที่อยู่บ้านข้าง ๆ ดูนะคะ”
หญิงสาวมาที่หน้าประตูบ้านอวี๋ แล้วเรียกหาคนในบ้าน
อวี๋เจียจิ้นยิ้มและพูดกับหลินม่าย “ผมกำลังจะไปหาคุณพอดีเลย”
“เกี่ยวกับเรื่องต่อเติมพื้นที่หรือเปล่าคะ”
ชายข้างบ้านพยักหน้าตอบ “ใช่ครับ”
“คุณเห็นด้วยไหมคะ”
อวี๋เจียจิ้นขมวดคิ้วแล้วเริ่มอธิบาย “เราไม่ติดขัดอะไรหรอก แต่ปัญหามันอยู่ที่ไม่มีใครอยากเป็นผู้นำในการทำการก่อสร้างด้วยกันน่ะสิ”
หลินม่ายกล่าวต่อ “แต่เราจะเป็นคนรับผิดชอบเรื่องการทำชั้นเพิ่มเองนะคะ”
อวี๋เจียจิ้นรับคำ “ใช่ ผมก็คิดแบบนั้น แต่แม่เสี่ยวหงที่อยู่บ้านข้าง ๆ คุณเขาไม่เห็นด้วย”
หลินม่ายเริ่มไม่เข้าใจ “ก็มันเป็นการเพิ่มชั้นในบ้านของเราแล้วทำไมต้องมาถามหล่อนด้วย”
ชายข้างบ้านเอ่ยเตือน “บ้านของคุณกับบ้านเสี่ยวหงใช้กำแพงเดียวกันอยู่ ถ้าบ้านเสี่ยวหงไม่อยากจ่ายค่าปรับปรุงด้วยคุณจะจ่ายเงินทั้งหมดเองเลยเหรอ”
“ฉันจ่ายให้ได้ก่อนได้นะคะ แล้วหล่อนมีเงินเมื่อไรก็ค่อยเอามาคืนฉันก็ได้”
ได้ยินแบบนั้นอวี๋เจียจิ้นก็ยิ้มแห้ง “พวกเขาไม่ยอมจ่ายเงินให้คุณแน่ ๆ “
“ไม่จ่ายก็ไม่ต้องจ่าย ค่ากำแพงนั่นก็ใช่ว่าจะเป็นเงินมากมายอะไร”
หลินม่ายไม่ได้เป็นคนใจกว้างอะไรขนาดนั้น แต่เพียงแค่ค่ากำแพงส่วนกลางสิบกว่าหยวน เมื่อเทียบกับพื้นที่ที่จะได้เพิ่มมาหนึ่งชั้น และค่าเวนคืนที่จะได้ในอนาคตนั้นคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม
หญิงสาวจะไม่เสียดายเงินเล็กน้อยเหล่านี้จนทำให้พลาดเงินก้อนใหญ่ในอนาคตแน่นอน
เมื่ออวี๋เจียจิ้นเห็นว่าหลินม่ายยืนยันแบบนั้นเขาก็ไม่ได้ขัดอะไรต่อ
ทั้งหมดพูดคุยกันต่ออีกนิดหน่อยและตกลงจ้างนายช่างจางเป็นคนทำกำแพงรวมทั้งเพิ่มชั้นในบ้านตามที่คุยกันไว้
นายช่างจางเป็นช่างฝีมือที่ทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม แถมยังเป็นคนกันเองที่หลินม่ายรู้จัก เพราะงั้นการจ้างเขาก็ทำให้อุ่นใจได้มากกว่าจ้างคนอื่น
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ฮั่นแน่ คิดอะไรอะม่ายจื่อ คิดลึกนะเรา คิดเองเขินเองนำไปก่อนแล้ว
พี่หมอน่ารักจังเลย ซื้อของมาให้ก่อนเดินทางไปไกลด้วย
ไหหม่า(海馬)