คุณชายเสียนเกอส่งเสียงจึ๊ปากเบาๆ เอ่ยอย่างขอไปที “ศิษย์น้องเอ่ยถูกแล้ว”
องค์หญิงฉังผิงยังคงไม่วางใจ เพียงแต่ไม่อาจมองพระชายาเยี่ยนอ๋องไปเสี่ยงอันตรายเช่นกัน ยามนี้พี่ชายและบุตรชายไม่อยู่ คนที่เชื่อถือได้และมีความสามารถก็คงมีแต่บุตรสะใภ้แล้ว คำของคุณชายเสียนเกอทำให้นางไม่อาจหาข้ออ้างมาได้อีกแล้ว
พระชายาเยี่ยนอ๋องมองหนานกงมั่วด้วยความซาบซึ้งใจ “อู๋สยา ขอบใจเจ้ามาก”
หนานกงมั่วส่ายศีรษะ รังพลิกตกลงมาแล้วไข่จะปลอดภัยได้เยี่ยงไร หากเกิดเรื่องอันใดกับจวนเยี่ยนอ๋องจริงๆ ชีวิตของพวกนางเองก็คงมิได้ดีเท่าใดนัก หากมีเพียงนางและเว่ยจวินมั่ว แผ่นดินกว้างใหญ่มีที่ใดไม่อาจไปได้เล่า แต่ว่ายังมีองค์หญิงฉังผิงและลูกน้อยที่ยังไม่ครบเดือนทั้งสอง ไม่ว่าอย่างไรหนานกงมั่วก็ต้องดูแลความปลอดภัยของจวนเยี่ยนอ๋องจนกว่าเยี่ยนอ๋องและเว่ยจวินมั่วจะกลับมา
“พี่สะใภ้ พวกเราจะไปกับท่าน” เซียวเชียนจย่งรีบเอ่ยฃ
หนานกงมั่วปรายตามองเข้าเล็กน้อย เอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าอยู่ที่นี่ ดูว่าจะช่วยอันใดเชียนชื่อได้ ข้าพาซิงเวยและหลิ่วหันไปด้วย มีประโยชน์กว่าเจ้า”
เซียวเชียนจย่งมองซิงเวยและหลิ่วหันที่ยืนอยู่ด้านข้าง แม้ว่าจะถูกพี่สะใภ้รังเกียจทว่าทำได้เพียงลูบปลายจมูกยอมรับแล้ว
คุณชายเสียนเกอเลิกคิ้ว เอ่ย “ข้าก็จะไปด้วย”
“ศิษย์พี่หรือเจ้าคะ” หนานกงมั่วเลิกคิ้ว คุณชายเสียนเกอส่งเสียงหยัน “แม้ว่าเจ้ากับเว่ยจวินมั่วเจ้าเด็กนั่นจะตระหนี่จนทำให้คนอื่นทนมองไม่ได้ แต่คุณชายอย่างข้าก็ไม่อยากเห็นลูกศิษย์ในอนาคตของข้าไม่มีมารดาตั้งแต่ยังเด็กหรอกหนา”
หนานกงมั่วจนปัญญา กลั้นเสียงหัวเราะ เอ่ยว่า “ศิษย์พี่ เป็นโสดนานเกินไปก็ไม่ดีนะเจ้าคะ นิสัยของท่านนับวันยิ่งแย่ขึ้นเรื่อยๆ แล้ว โชคดีที่ศิษย์น้องเช่นข้ายังทนท่านได้ มิเช่นนั่นท่านคงน่าสงสารแม้แต่คนจะคุยด้วยยังไม่มี” นิสัยเยี่ยงนี้ ทั่วไปเรียกว่าเก็บกด
“…” สองคนนี้ไม่รู้ใครหน้าหนากว่ากัน ทุกคนได้แต่ลอบคิดอยู่ในใจ
คุณชายเสียนเกอจ้องหนานกงมั่วเขม็ง เอ่ย “อย่ามายั่วโมโหศิษย์พี่อย่างข้า ข้าโมโหขึ้นมาแม้แต่ตัวข้าเองก็ยังกลัว”
หนานกงมั่วแลบลิ้นไม่ต่อล้อต่อเถียงกับเขาอีก เมื่อใดคุณชายเสียนเกอโมโหขึ้นมามักไม่แยกพวกพ้องหรือศัตรู
หนานกงมั่วถอนหายใจเบาๆ เอ่ยว่า “ศิษย์พี่ ข้าพาซิงเวยและหลิ่วหันไปด้วยก็พอแล้วเจ้าค่ะ ท่านช่วยอยู่ดูแลเยาเยากับอานอานแทนข้าได้หรือไม่”
หากหนานกงมั่วเอ่ยอย่างอื่นคุณชายเสียนเกอคงไม่ฟัง แต่เมื่อเอ่ยถึงเด็กทั้งสองที่ทำให้ใจคนแทบหลอมละลายนั้น คุณชายเสียนเกอพลันไม่อาจละสายตาได้ โบกมือเอ่ย “ได้ พวกเจ้ารีบไปรีบกลับ ข้ารับรองได้ว่าจนกว่าพวกเจ้าจะกลับมาจะไม่ยอมให้ใครมาแตะต้องพวกเขาได้แม้เพียงเส้นขน”
“เช่นนั้นก็รบกวนศิษย์พี่แล้ว” หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม อย่างอื่นไม่ต้องเอ่ยถึง ฝากเด็กทั้งสองไว้กับศิษย์พี่รับรองว่าพึ่งได้อย่างแน่นอน
พระชายาเยี่ยนอ๋องร้อนใจกับเรื่องในเมือง รีบเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อู๋สยาพวกเรารีบไปกันเถิด” หนานกงมั่วพยักหน้า สุดท้ายก้มลงไปกระซิบกำชับกับเซียวเชียนชื่ออีกไม่กี่ประโยค จากนั้นจึงพาซิงเวยและหลิ่วหันเดินตามพระชายาเยี่ยนอ๋องออกไป
มองพวกเขาเดินออกไป องค์หญิงฉังผิงถอนหายใจออกมา มองเด็กทั้งสองที่อยู่ในเปลตรงหน้า เอ่ยอย่างลังเลด้วยสายตาเรียบนิ่ง “คุณชายเสียนเกอ เด็กๆ ทั้งสองคงต้องรบกวนท่านแล้ว” เวลานี้เมืองโยวโจวไม่ปลอดภัย แม้ว่าเรือนชิงมั่วจะแข็งแกร่งไม่อาจผ่านเข้ามาได้ง่ายๆ แต่หากมีคนอย่างคุณชายเสียนเกอก็คงจะวางใจขึ้นมาได้บ้าง
คุณชายเสียนเกอสีหน้าจริงจัง พยักหน้า เอ่ย “ต้าจั่งกงจู่วางใจเป็นพอ”
องค์หญิงฉังผิงพยักหน้า ความกังวลบนหว่างคิ้วยังคงมีไม่น้อย เพียงแต่มิใช่เพียงเพราะเด็กน้อยที่ยังอ่อนแอ ยังเป็นเพราะบุตรชายและพี่ชายที่ไม่รู้ว่าตอนนี้ไปอยู่ที่ใด
คุณชายเสียนเกอเองไม่ใช่คนจะปลอบใจใครเป็น ทำได้เพียงหันไปมองฉินจื่อซวี่และหนานกงชวี่ สุดท้ายสายตามาหยุดอยู่ที่ฉินจื่อซวี่ “ตอนนี้คุณชายใหญ่ฉินมีแผนเช่นไร” ฉินชื่อซวี่โชคไม่ดีนัก เพิ่งมาถึงโยวโจวก็เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ยามนี้จุดยืนของฉินจื่อซวี่นั่นคือปัญหา
ฉินจื่อซวี่ท่าทางสงบนิ่ง “ไร้ชื่อเสียงไร้บารมี ไหนเลยจะกล้ามีแผนการเล่า อาการป่วยของน้องสาวยังต้องอาศัยคุณชายเสียนเกอ” ดังเช่นที่กล่าว นับตั้งแต่ตอนนี้เขาก็มิใช่คุณชายใหญ่ตระกูลฉินอีกแล้ว
คุณชายเสียนเกอยิ้มหยัน คิ้วที่ผูกเป็นปมคลายออกเล็กน้อย
ในห้องโถงหยาเหมินผู้ว่าการโยวโจว ผู้ว่าการโยวโจวลูบหนวดเคราสีขาวยาวเดินไปมาอย่างร้อนใจ ออกคำสั่งปิดเมือง เรื่องนี้จนมาถึงตอนนี้เขาเองก็ไม่รู้ว่าตนเองทำถูกหรือไม่ ผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไร แต่ว่าในเมื่อทำลงไปแล้ว ลูกธนูที่ยิงออกไปแล้วแน่นอนว่าไม่อาจเอากลับคืนมาได้
อาศัยจังหวะที่เยี่ยนอ๋องไม่อยู่โยวโจวตลบหลัง แม้ว่าจะไร้ซึ่งคุณธรรม เขาอยู่ในตำแหน่งมากว่าครึ่งชีวิต ทำงานหนักมาตั้งแต่สมัยอดีตฮ่องเต้จนมาถึงฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน แน่นอนว่าไม่ได้ร่ำเรียนจนเป็นบ้ากลายเป็นหนอนหนังสือที่รู้จักแต่ศีลธรรมคุณธรรม การเป็นราษฎร การรับใช้กษัตริย์เป็นสัจธรรมที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ส่วนผลที่ตามมา… ฉีซั่วหลับตาไม่คิดถึงมันอีก เขารู้เพียงว่านี่เป็นรับสั่งจากฝ่าบาท ต่อให้ไม่มีรับสั่งของฝ่าบาท เพียงเยี่ยนอ๋องเคลื่อนทัพก่อกบฏเขาก็คงต้องตอบแทนฝ่าบาทด้วยความตายของเขา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไยจึงจะไม่อาจสู้ตายสักครั้งเล่า
สำหรับผลสุดท้าย อย่างไรก็มีเพียงชนะเป็นกษัตริย์แพ้เป็นคนชั่วก็เท่านั้น
“รายงานใต้เท้า พระชายาเยี่ยนอ๋องเสด็จมาขอรับ” ทหารองครักษ์คนหนึ่งรีบวิ่งเข้ามารายงาน
ดวงตาของฉีซั่ววูบไหว “พระชายาเยี่ยนอ๋องหรือ มีเพียงพระชายาเยี่ยนอ๋องเพียงคนเดียวหรือ”
ทหารองครักษ์ส่ายศีรษะ “พระชายาเยี่ยนอ๋องมีคนมาด้วย อีกทั้ง…อีกทั้งยังมีสตรีที่งดงามมากๆ คนหนึ่งด้วยขอรับ คงจะเป็น…ซิงเฉิงจวิ้นจู่ขอรับ” แม้ว่าจะไม่เคยเห็นซิงเฉิงจวิ้นจู่ แต่ผู้คนในหยาเหมินผู้ว่าการโยวโจวต่างก็เคยได้ยินถึงจวิ้นจู่ผู้แปลกประหลาดคนนี้
“ซิงเฉิงจวิ้นจู่หรือ” ฉีซั่วย่นคิ้ว พยักหน้าเบาๆ เอ่ย “เชิญพระชายาเข้ามา”
“ขอรับ”
เพียงไม่นาน พระชายาเยี่ยนอ๋องก็เดินนำพวกหนานกงมั่วเข้ามา ยังไม่ทันได้ก้าวเข้าประตูเสียงของพระชายาเยี่ยนอ๋องก็ดังเข้ามาก่อน “ใต้เท้าฉี ท่านคิดจะทำอันใดกันแน่” ฉีซั่วจัดการกับสีหน้า แล้วจึงเดินเข้าไปต้อนรับด้วยรอยยิ้ม “กระหม่อมถวายพระพรพระชายาเยี่ยนอ๋อง คารวะซิงเฉิงจวิ้นจู่ ยินดีกับจวิ้นจู่ที่ให้กำเนิดคุณชายและคุณหนูผู้สูงส่ง กระหม่อมยังไม่มีโอกาสไปแสดงความยินดีที่จวนด้วยตนเอง ขอจวิ้นจู่ได้โปรดอภัยด้วย”
หนานกงมั่วหลุบตาลง ยิ้มบาง เอ่ย “ใต้เท้าฉีกล่าวหนักไปแล้ว มิกล้า” ฉีซั่วเองก็ไม่โต้ตอบกับหนานกงมั่วอีก หันกลับมาหาพระชายาเยี่ยนอ๋อง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พระชายามีเรื่องอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ ไยจึงกรุ่นโกรธมาเพียงนี้ หรือว่าคนของหยาเหมินข้าไปล่วงเกินพระชายาแล้ว”
พระชายาเยี่ยนอ๋องแสยะยิ้ม เอ่ย “ฉีซั่ว เจ้าอย่ามาเล่นลิ้นกับข้า เจ้าส่งคนไปปิดเมืองโยวโจวทั้งนอกทั้งใน คิดจะทำการใด”
ฉีซั่วแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา “ปิดเมืองโยวโจวหรือพ่ะย่ะค่ะ เกรงว่าพระชายาคงเข้าใจกระหม่อมผิดแล้ว กระหม่อมเป้นเพียงขุนนางธรรมดา แม้ว่าอดีตฮ่องเต้และฝ่าบาทเชื่อใจให้มาประจำที่โยวโจว แต่ก็ไม่มีอำนาจเคลื่อนกองกำลังได้นะพ่ะย่ะค่ะ” ฉีซั่วแสร้งทำเป็นไม่รู้ เอ่ยกับพระชายาเยี่ยนอ๋องด้วยความงุนงง
น่าเสียดาย พระชายาเยี่ยนอ๋องกลับมิใช่สตรีไร้เดียงสา เมื่อเผชิญหน้ากับความก่อกวนของฉีซั่วจึงเพียงเผยรอยยิ้มหยันออกมา “กล้าทำไม่กล้ารับ ไม่ใช่นิสัยของใต้เท้าฉีเลยนี่”