น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและหวาดกลัว ทั้งร้อนใจและน้อยเนื้อต่ำใจในเวลาเดียวกัน
สวีลิ่งอี๋ค่อนข้างรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก เมื่อสังเกตดูดีๆ ก็เห็นว่าเป็นเฉียวเหลียนฝัง
“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดถึงได้โหวกเหวกโวยวายเสียงดังเช่นนี้” น้ำเสียงฟังดูไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก
จากนั้นเยี่ยนหรงที่ตามเฉียวเหลียนฝังเข้ามาก็รีบย่อตัวทำความเคารพ “จู่ๆ อี๋เหนียงก็พรวดพราดเข้ามาอย่างรวดเร็วและเร่งรีบ บ่าวเห็นแล้วก็รู้สึกทั้งหวาดกลัวทั้งตื่นตระหนก จึงตะโกนค่อนข้างเสียงดัง ขอท่านโหวโปรดให้อภัยด้วยเจ้าค่ะ”
เมื่อครู่นี้ตอนเฉียวเหลียนฝังเข้ามา ซิ่วหยวนคือคนที่พุ่งเข้ามาก่อน แต่คนที่ถูกเหล่าบรรดาสาวใช้ขวางไว้คือซิ่วหยวน ไม่ใช่นาง
นางไม่อยากให้เรื่องนี้ไปพัวพันกับสาวใช้ของสืออีเหนียง เฉียวเหลียนฝังจึงยิ้มพร้อมกับย่อตัวทำความเคารพสวีลิ่งอี๋ “ข้าไม่ได้เจอท่านโหวหลายวันแล้ว ท่านโหวดูซูบผอมลงไปไม่น้อย?” นางพูดขึ้นพลางวางมือลงบนส่วนท้อง
สวีลิ่งอี๋มองไปตามมือของนาง จากนั้นก็เรียกสาวใช้ไปยกเก้าอี้มาให้นางนั่ง
เฉียวเหลียนฝังหย่อนตัวนั่งลงช้าๆ
สวีลิ่งอี๋จึงพูดขึ้นว่า “มีเรื่องอันใด”
เฉียวเหลียนฝังยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ! วันๆ เอาแต่นอนอยู่แต่บนเตียง เบื่อหน่ายจนแทบจะวิตกกังวลจึงออกมาเดินเล่นเสียบ้าง ได้ยินว่าท่านโหวกลับมาแล้ว ข้าก็เลยอยากมาคารวะท่านเสียหน่อย” จากนั้นก็พูดต่อไปว่า “ท่านโหวกำลังยุ่งกับเรื่องอันใดอยู่หรือเจ้าคะ”
“ก็ไม่มีเรื่องอะไร!” สวีลิ่งอี๋ตอบกลับสั้นๆ “ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องจุกจิกของเรือนนอก”
“ท่านโหวเป็นหัวหน้าแม่ทัพของทหารนับพันม้านับหมื่น เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในจวน ถือเป็นการใช้คนเก่งมาทำเรื่องง่ายๆ ไม่เหมือนกับข้า พูดจาไม่เก่งแถมยังมือไม้ซุ่มซ่าม อยากจะทำเสื้อแขนสั้นสักตัวแต่ใช้เวลาปักแขนเสื้อไปเจ็ดแปดวันเห็นจะได้” พูดจบ เฉียวเหลียนฝังก็ยิ้มหวานขึ้นมา
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบไปหนึ่งอึก
“แต่ใช่ว่าข้าจะทำไม่ได้ ตอนข้ายังอยู่ที่สกุลเดิมก็มักจะช่วยพี่หญิงและน้องหญิงรวมไปถึงผู้อาวุโสเย็บปักถักร้อยอยู่บ่อยๆ เพียงแต่ช่วงนี้ร่างกายไม่ค่อยสะดวก ไม่ค่อยมีกะจิตกะใจก็เท่านั้น” จากนั้นก็แสดงสีหน้าที่เศร้าสลดออกมา “ถึงแม้ว่าเหล่าบรรดาป้ารับใช้ทั้งหลายจะบอกว่าพ้นช่วงสามเดือนแรกนี้ไปแล้วอาการก็จะค่อยๆ ดีขึ้น แต่ความรู้สึกทรมานเหล่านี้มันน้อยเสียที่ไหนกันเล่า” ริมฝีปากแดงระเรื่อค่อยๆ ยู่ปากขึ้น “ไม่รู้เป็นเพราะอะไร จู่ๆ ก็คิดถึงกระเทียมดองน้ำส้มสายชูฝีมือของท่านแม่ขึ้นมา สองวันก่อนก็ฝันถึงด้วย ตอนตื่นขึ้นมาน้ำลายก็หกเลอะหมอนไปหมด สุดท้ายสองสามวันมานี้ทานอะไรก็ไม่อร่อยเลยเจ้าค่ะ” นางยกแขนเสื้อขึ้นมาบังพลางหัวเราะเบาๆ “เอาแต่คิดถึงรสชาติเปรี้ยวหวานของกระเทียมดองน้ำส้มสายชู”
มือของสวีลิ่งอี๋ที่ยกถ้วยชาอยู่ก็ชะงักไป จากนั้นเขาก็ค่อยๆ นั่งตัวตรง “ของเหล่านี้ในเรือนก็คงจะพอมี หากว่าเจ้าอยากทานก็บอกกับป้ารับใช้ทั้งสองเป็นพอ” เขาหรี่ตาจ้องมองนางด้วยแววตาที่นิ่งสงบ
เฉียวเหลียนฝังพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “แม้ว่าในเรือนจะมี แต่รสชาติแตกต่างไม่เหมือนกัน ที่นี่ตอนดองกระเทียมใช้น้ำตาลผง แต่ข้าได้ยินท่านแม่เล่าว่าตอนนางดองกระเทียม นางจะใช้น้ำตาลกรวดในการดอง…”
สวีลิ่งอี๋จ้องมองนางเงียบๆ ริมฝีปากของเขาเม้มแน่นเป็นเส้นตรง
เวลานี้ ทั้งเรือนเต็มไปด้วยน้ำเสียงที่ออดอ้อนและอ่อนโยนของเฉียวเหลียนฝังคนเดียวเท่านั้น
แต่ไม่นาน นางก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติ หางตาเหลือบมองสวีลิ่งอี๋อย่างไม่รู้ตัว
เห็นเขานั่งนิ่งอยู่บนเตียงเตาไม่ขยับตัวแม้แต่นิดเดียวราวกับต้นสนก็ไม่ปาน แววตาหรี่ลงต่ำ จับจ้องไปยังนิ้วโป้งที่กำลังสัมผัสถ้วยน้ำชาเบาๆ นัยน์ตาเย็นยะเยือก
เฉียวเหลียนฝังก็รู้สึกทำตัวไม่ถูกขึ้นมา จึงรีบพูดขึ้นว่า “…ตอนแรกข้ากะจะให้ท่านแม่นำกระเทียมดองน้ำส้มสายชูมาให้ทุกคนชิมเสียหน่อย ใครจะรู้ว่าฮูหยินเกิดเป็นห่วงขึ้นมา กังวลว่าจะกระทบต่อเด็กในครรภ์ของข้า จึงให้ข้าพักผ่อนอยู่แต่ในเรือนไม่ให้ออกไปไหน” พูดจบก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ “ท่านโหว ข้าได้ถามป้ารับใช้ทั้งสองคนแล้วเจ้าค่ะ ท่านป้าทั้งสองบอกว่าร่างกายของข้าแข็งแรงเป็นปกติดี! พบปะผู้คนบ้างก็ไม่ได้น่าเป็นห่วงแต่อย่างใด”
“เจ้าอยากให้ท่านแม่ของเจ้า นายหญิงสามสกุลเฉียวมาเยี่ยมเจ้าอย่างนั้นหรือ” สวีลิ่งอี๋เงยหน้าขึ้นมาแล้วพูดตัดบทสนทนาของนางไป
เฉียวเหลียนฝังอึ้งไปชั่วขณะ
สีหน้าของสวีลิ่งอี๋เรียบเฉย แต่น้ำเสียงของคำพูดที่พูดออกมานั้นกลับค่อนข้างประหลาดใจ พลอยทำให้นางรู้สึกกระวนกระวายใจไปด้วย
“เจ้าค่ะ!” นางยิ้มหวานพลางสังเกตสีหน้าท่าทีของเขาอย่างละเอียดถี่ถ้วน พยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนที่สุด “เช่นนี้ท่านแม่ก็จะสามารถนำกระเทียมดองน้ำส้มสายชูมาฝากข้า ท่านโหวเองก็จะได้ลองชิมรสชาติด้วย และข้าเองก็จะได้หายอยาก…”
“ฮูหยินให้เจ้าพักรักษาตัว แต่เจ้ากลับอยากเจอท่านแม่ของเจ้า” สวีลิ่งอี๋จ้องนางตาเขม็ง ตัดบทสนทนาของนางอีกครั้ง “นอกเสียจากว่าเจ้าตั้งใจจะขัดคำสั่งของฮูหยิน”
เฉียวเหลียนฝังตกตะลึงจนตาค้าง
แววตาที่น่ากลัวและเย็นยะเยือกปรากฏขึ้นบนใบหน้าของสวีลิ่งอี๋ “เจ้าตั้งใจจะขัดคำสั่งของฮูหยินหรืออย่างไรกัน”
ครั้งนี้ เขาพูดขึ้นด้วยเสียงที่ดังลั่น ประหนึ่งสายฟ้าฟาดผ่าลงกลางหัวใจของเฉียวเหลียนฝัง
“ไม่เจ้าค่ะ ข้าไม่ได้คิดจะทำเช่นนั้น” นางรีบลุกขึ้นยืนพร้อมกับรีบพูดอย่างสำนึกผิดว่า “ท่านโหว ข้าไม่ได้มีเจตนาเช่นนี้” สีหน้าของนางซีดเผือด “ข้าเพียงแค่รู้สึกเปรี้ยวปาก…ไม่ได้มีเจตนาอื่นใดเลยเจ้าค่ะ”
“ไม่มีเจตนาอื่นอย่างนั้นหรือ” นัยน์ตาของสวีลิ่งอี๋เยือกเย็น “ไม่มีเจตนาอื่นแล้วเหตุใดถึงยังเอะอะโวยวายจะเจอท่านแม่ของเจ้าทั้งๆ ที่ฮูหยินก็สั่งเจ้าไปแล้วว่าให้พักผ่อนรักษาตัวอย่างเงียบๆ”
เฉียวเหลียนฝังตกใจในน้ำเสียงคำพูดที่ประชดประชันของเขาเป็นอย่างมาก พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
จู่ๆ สีหน้าของสวีลิ่งอี๋ก็มีอาการเหนื่อยล้าขึ้นมา จึงตะโกนเรียกเยี่ยนหรง “ไปเรียกป้ารับใช้ทั้งสองมาหน่อย!”
เยี่ยนหรงขานรับแล้วรีบไปทันที
เฉียวเหลียนฝังรู้สึกได้ถึงสถานการณ์ที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก
“ท่านโหว…” น้ำตาของนางร่วงหล่นราวกับเม็ดฝน รีบเดินตรงเข้าไปจับเสื้อของสวีลิ่งอี๋ไว้ “ท่านโหว…เป็นข้าเองที่พูดผิดไป ต่อไปในภายภาคหน้าข้าจะปรับปรุงแก้ไขให้ดีอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ…” นางเงยหน้าขึ้นมองสวีลิ่งอี๋ด้วยสีหน้าเศร้าใจประดุจดอกลี่ฮวาที่โดนฝนสาดกระหน่ำ “ขอท่านโหวอย่าได้โกรธเคืองไปเลย อย่าโมโหจนร่างกายเจ็บป่วยเพราะข้าเลยนะเจ้าคะ…”
สวีลิ่งอี๋ยังคงนิ่งเงียบ สีหน้าที่อ่อนล้าชัดเจนยิ่งขึ้น เขาเพียงแค่โบกมือเบาๆ บอกเป็นนัยว่าให้นางหยุดพูดได้แล้ว
เฉียวเหลียนฝังมึนงงไปหมด นางจ้องมองเขาที่ไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียวด้วยความตกตะลึง
ป้าเถียนและป้าวั่นก็ได้พากันเดินเข้ามา
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้เหลียวมองเฉียวเหลียนฝังแม้แต่นิดเดียว เขาสั่งกับป้ารับใช้ทั้งสองว่า “พวกเจ้าปรนนิบัติดูแลเฉียวอี๋เหนียงบำรุงเด็กในครรภ์อยู่แต่ในเรือนดีๆ วันข้างหน้าหากไม่ได้รับอนุญาตจากฮูหยิน ห้ามเฉียวอี๋เหนียงก้าวเท้าออกจากเรือนแม้แต่ก้าวเดียว”
“ท่านโหว!” เฉียวเหลียนฝังตกใจอย่างมาก กำเสื้อของเขาไว้แน่น “ข้าเลอะเลือนไป ท่านให้อภัยข้าสักครั้งเถิดนะเจ้าคะ ถือว่าเห็นแก่ข้าที่กำลังท้องเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านอยู่ ได้โปรดให้อภัยข้าในครั้งนี้ด้วยเถิดเจ้าค่ะ…”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินแล้วสีหน้าแววตาของเขาก็ยิ่งเย็นชาเข้าไปใหญ่
ป้ารับใช้ทั้งสองมองออกอย่างชัดเจน รีบสาวเท้าเข้าไปนำตัวเฉียวเหลียนฝังออกมาทันที…
*****
สืออีเหนียงเพิ่งจะเดินเข้าประตูมา เยี่ยนหรงก็รีบมากระซิบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้นางฟัง
“ท่านโหวล่ะ”
“กำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องชั้นใน” เยี่ยนหรงตอบกลับเสียงเบา “ลี่ว์อวิ๋นอยู่ปรนนิบัติรับใช้ข้างๆ เจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกจากห้องโถงไป “เราไปดูเฉียวอี๋เหนียงกัน!”
ไม่ไปดูท่านโหว แต่กลับไปดูเฉียวอี๋เหนียง…
เยี่ยนหรงค่อนข้างรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมากแต่ก็ไม่กล้าซักไซ้ รีบพาสืออีเหนียงไปที่เรือนของเฉียวเหลียนฝังทันที
จูหรุ่ยกำลังนั่งยองๆ พร้อมกับพัดเตาไฟที่ต้มยาหม้ออยู่ใต้ชายคา เมื่อเห็นสืออีเหนียงก็รีบลุกขึ้นทันที นางรีบกล่าวทักทายพลางเดินเข้ามาต้อนรับ “ฮูหยินมาแล้วหรือเจ้าคะ”
สืออีเหนียงชี้ไปที่ยาหม้อ “นี่เป็นยาที่ต้มให้เฉียวอี๋เหนียงหรือ”
“เจ้าค่ะ!” จูหรุ่ยรีบพยักหน้าพร้อมกับตอบกลับ “เฉียวอี๋เหนียงรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวเจ้าค่ะ!”
ขณะที่กำลังสนทนากันอยู่นั้น ซิ่วหยวนก็เปิดม่านออกมาพอดี “ฮูหยิน ท่านมาแล้วหรือเจ้าคะ!”
สีหน้าแววตาของนางเผยให้เห็นถึงความหวาดกลัว นางรีบหมุนตัวไปเปิดม่านให้สืออีเหนียง จากนั้นก็พาสืออีเหนียงเข้าไปในเรือน
ป้าเถียนเดินออกมาจากห้องชั้นในพอดี
“ป้าเถียน” สืออีเหนียงกล่าวทักทายนาง “อี๋เหนียงเป็นอะไรหรือไม่”
“ยังดีอยู่เจ้าค่ะ!” รอยยิ้มของป้าเถียนดูค่อนข้างฝืน “ร้องไห้ไปพักใหญ่ นี่เพิ่งจะหลับไป! นอนพักเสียหน่อยก็ไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นข้าก็วางใจแล้ว” สืออีเหนียงพูดจบก็หมุนตัวเดินออกไปนั่งเก้าอี้ไท่ซือที่ห้องโถง
ป้าเถียนเห็นแล้วก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
สืออีเหนียงดูออกอย่างชัดเจนแต่แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง นางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “ข้าเพิ่งกลับมาถึงก็ได้ยินเหตุการณ์แล้ว ยังไม่ทันจะได้เปลี่ยนชุดก็รีบตรงมาที่นี่ทันที ท่านโหวเป็นคนอารมณ์ร้อน อี๋เหนียงเองก็อยู่ในช่วงเวลาที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ทำท่านป้าทั้งสองต้องพลอยลำบากใจด้วยแล้ว”
ป้าเถียนนึกไม่ถึงว่าสืออีเหนียงจะพูดคำพูดเหล่านี้ออกมา สีหน้าของนางจึงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ลึกๆ ในใจก็พลันรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา จึงรีบพูดขึ้นว่า “ฮูหยินเกรงใจไปแล้ว เป็นพวกบ่าวเองที่ทำหน้าที่ได้ไม่ดีพอ จึงทำให้ท่านโหวโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาเช่นนี้ พวกบ่าวจะไปลำบากใจได้อย่างไรเจ้าคะ”
“เพราะท่านป้าอ่อนน้อมถ่อมตนจนเกินไปต่างหาก” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เกรงใจ “ท่านป้าทั้งสองเป็นผู้อาวุโสคนสนิทที่อยู่รับใช้ข้างกายท่านแม่ อีกทั้งยังเป็นคนที่ข้าเชื้อเชิญมาช่วยดูแลเฉียวอี๋เหนียงโดยเฉพาะ จึงควรถูกปฏิบัติในฐานะแขกถึงจะถูก เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา ข้าเองก็พลอยรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก”
“ฮูหยินอย่าพูดเช่นนี้อีกเลย” ป้าเถียนรีบพูดขึ้น “บ่าวมิคู่ควรเจ้าค่ะ!”
ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ซิ่วหยวนก็ได้ยกน้ำชาเข้ามาให้
สืออีเหนียงไม่ได้รับถ้วยชา แต่กลับลุกขึ้นด้วยสีหน้าที่จนใจ “น้ำชาข้าก็ไม่ดื่มแล้ว ข้ายังต้องไปดูท่านโหวต่อ ส่วนทางนี้ก็มอบให้ป้าทั้งสองดูแลต่อก็แล้วกัน”
ป้าเถียนรีบโค้งตัวขานรับ
จากนั้นสืออีเหนียงก็ได้พาหู่พั่วและเยี่ยนหรงเดินออกไปทันที
ป้าเถียนทอดสายตาจ้องมองไปยังม่านที่ยังคงสั่นไหวอย่างครุ่นคิด จากนั้นก็หมุนตัวกลับเข้าไปยังห้องชั้นใน
เฉียวเหลียนฝังกำลังเอนหลังนอนพิงหมอนอิงบนหัวเตียงอยู่ ดวงตาของนางแดงก่ำดุจผลอิงเถา เมื่อเห็นป้าเถียนเดินเข้ามา ก็รีบถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สะอึกสะอื้นว่า “นางกลับไปแล้วหรือ” พูดจบก็หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตาตรงขอบตา
ป้าเถียนพยักหน้าตอบกลับ
เฉียวเหลียนฝังก็ฟุบหน้าลงบนหมอน ร้องไห้สะอึกสะอื้นขึ้นมาอีกครั้ง
ป้าวั่นที่อยู่ข้างๆ จึงพูดเกลี้ยกล่อมไปว่า “อี๋เหนียง ร้องไห้เช่นนี้จะส่งผลกระทบต่อร่างกายเอาได้ ขอท่านจงทำใจให้กว้าง หากอี๋เหนียงไม่นึกห่วงตัวเองก็ควรห่วงคุณชายน้อยในท้องสักหน่อยนะเจ้าคะ…”
ป้าเถียนหันไปส่งสายตาให้กับป้าวั่น
ป้าวั่นเห็นแล้วก็พยักหน้ารับรู้เบาๆ โน้มน้าวเกลี้ยกล่อมอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงอ้างว่าจะออกไปดูยาหม้อว่าต้มเสร็จแล้วหรือยัง จากนั้นก็ถอยออกจากห้องชั้นในพร้อมกับป้าเถียน
ป้าเถียนจึงค่อยเล่าคำพูดที่สืออีเหนียงพูดกับตนเมื่อครู่นี้ให้ป้าวั่นฟัง
“…ผู้อื่นเคารพข้าหนึ่งฉื่อ ข้าจะเคารพตอบหนึ่งจั้ง[1]” ป้าเถียนพูดขึ้นเสียงแผ่วเบา “เห็นทีเรื่องนี้คงต้องรายงานกับไท่ฮูหยินถึงจะถูก”
“ข้าเองก็รู้สึกเช่นนี้ตั้งแต่แรกแล้ว” ป้าวั่นพยักหน้าเบาๆ “พูดตามตรง เฉียวอี๋เหนียงก็นับว่าเป็นเจ้านายเราไปครึ่งหนึ่งแล้ว ถึงแม้ว่าเราจะเป็นบ่าวรับใช้คนสนิทของไท่ฮูหยิน แต่ก็ไม่ควรไปล่วงเกินนาง แต่นางกลับเป็นคนที่เอาแต่ใจชอบทำอะไรโดยพลการ พลอยทำให้ผู้อื่นลำบากใจไปกันหมด นี่ยังเหลืออีกตั้งเจ็ดแปดเดือนถึงจะคลอดเด็ก ดูจากนิสัยใจคอของอี๋เหนียงคนนี้แล้ว คงจะสร้างเรื่องขึ้นมาอีกแน่นอน ถึงเวลานั้น เกรงว่าทั้งข้าและเจ้าคงจะล้มระเนระนาดก่อนที่จะทำหน้าที่เสร็จสิ้นกระมัง! ข้าว่าเรื่องนี้คงต้องไปเรียนกับไท่ฮูหยินสักคำว่าหน้าที่ที่ต้องดูแลเฉียวอี๋เหนียงของเราค่อนข้างลำบากถึงจะถูก”
ป้าเถียนเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง “เราสองคนมาช่วยกันปรึกษาหารือ ว่าควรจะพูดอย่างไรดี”
ทั้งสองก็พากันเริ่มกระซิบข้างหูไปมา ยืนอยู่มุมในสุดของห้องโถง
เหวินอี๋เหนียงที่อาศัยอยู่ด้านหน้าของเรือนเฉียวเหลียนฝัง เวลานี้นางกำลังฟังชิวหงสาวใช้คนสนิทกระซิบเล่าถึงเรื่องนี้อยู่พอดี
“…ถูกท่านป้าทั้งสองจับตัวกลับมา” ชิวหงพูดขึ้นเสียงเบา “กลับมาก็เอาแต่ร้องไห้จนถึงตอนนี้เลยเจ้าค่ะ”
“เช่นนี้ก็แสดงว่าถูกท่านโหวตำหนิอย่างนั้นหรือ” เหวินอี๋เหนียงพูดขึ้นอย่างครุ่นคิด
“หากไม่ใช่ก็ใกล้เคียงเจ้าค่ะ” ชิวหงพยักหน้าเบาๆ “มิเช่นนั้นนางจะร้องไห้เสียอกเสียใจขนาดนี้เชียวหรือเจ้าคะ”
“ทั้งๆ ที่กำลังตั้งครรภ์…แต่ท่านโหวยังโมโหถึงเพียงนี้…” เหวินอี๋เหนียงพูดขึ้นอย่างพินิจไตร่ตรอง “ข้าต้องคิดให้ละเอียดถี่ถ้วนเสียหน่อย…”
ชิวหงไม่กล้ารบกวน นางค่อยๆ ปิดประตูลงแล้วถอยออกไป
ตงหงก็มาถึงพอดี “พี่ชิวหง ข้าเห็นชุ่ยเอ๋อร์สาวใช้คนสนิทของฉินอี๋เหนียงมาด้อมๆ มองๆ อยู่ที่นอกเรือนของเรา”
ชิวหงได้ยินแล้วก็ยิ้มเยาะพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ฉินอี๋เหนียงผู้นี้ จะบอกว่านางฉลาดก็ไม่ใช่ แต่ครั้นจะว่านางโง่ นางก็กลับรู้ดีว่าเรื่องไหนบ้างที่ควรจะทำตามอี๋เหนียงของเรา”
————————-
[1]จั้งหน่วยวัดพื้นที่ 1 จั้งยาวประมาณ 3.33 เมตร