สืออีเหนียงกลับมาถึงเรือน สวีลิ่งอี๋กำลังนั่งไตร่ตรองด้วยความครุ่นคิด พอได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจึงเงยหน้าขึ้นมาดู “กลับมาแล้วหรือ! อาการป่วยของซื่อเหนียงเป็นอย่างไรบ้าง”
“เชิญท่านหมอหลิวของสำนักหมอหลวงมาดูอาการแล้วเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงนึกถึงอาการคอพอกเป็นพิษของซื่อเหนียงขึ้นมา อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบาๆ “ท่านหมอบอกว่าต้องค่อยๆ บำรุงรักษา น้อยหน่อยอาจจะใช้เวลาราวหนึ่งถึงสองปี มากหน่อยก็อาจจะใช้เวลาราวสองถึงสามปีเห็นจะได้”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเล็กน้อย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ลองหาดูว่าในจวนมียาสมุนไพรอะไรที่พอจะใช้ได้บ้าง ก็ส่งไปให้สักหน่อย”
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ จ้องมองสีหน้าท่าทีของเขาอย่างพินิจ
สวีลิ่งอี๋ชะงักไปเล็กน้อย “เป็นอะไรไป”
“ข้ากำลังดูว่าท่านโหวหายโมโหแล้วหรือยัง!” สืออีเหนียงยิ้มขึ้นพลางจ้องมองเขา สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความหยอกเย้า แววตาเต็มไปด้วยความทะเล้น
สวีลิ่งอี๋ตกตะลึง จากนั้นก็ค่อยๆ ยิ้มขึ้นมา
“หายโมโหแล้วเป็นอย่างไรเล่า แต่หากยังไม่หายโมโหแล้วเจ้าจะทำไม”
“หายโมโหแล้ว…อืม ข้าก็จะอยู่คุยกับท่านโหวต่อ หากยังไม่หายโมโห…” สืออีเหนียงทำท่าทีใช้ความคิด “ข้าเพิ่งจะกลับมา ทั้งตัวเปื้อนไปด้วยฝุ่น จะต้องไปเปลี่ยนชุดล้างหน้าล้างตาก่อน”
สวีลิ่งอี๋พลันหัวเราะเสียงดังขึ้นมา “ดูผมเผ้าที่กระเซอะกระเซิงนี่ รีบไปเปลี่ยนชุด แล้วค่อยมาคุยกัน”
เมื่อบรรยากาศผ่อนคลายลง สืออีเหนียงจึงยิ้มขึ้นพลางเดินไปยังห้องชำระ ตอนที่ออกมาก็เห็นว่าสวีลิ่งอี๋นั้นกำลังนั่งครุ่นคิดบางอย่างอยู่ที่โต๊ะข้างเตียงเตา สีหน้าและแววตาดูเหม่อลอย
สืออีเหนียงค่อยๆ เดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามของเขา “ท่านโหวกำลังเป็นห่วงเฉียวอี๋เหนียงอยู่หรือเจ้าคะ”
“เฉียวอี๋เหนียง?” สวีลิ่งอี๋เงยหน้าขึ้นมา สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความงุนงง “อ้อ ไม่ใช่” เขาค่อยๆ เรียกสติกลับคืนมา “วันนี้ฝ่าบาททรงได้พบกับหวังจิ่วเป่าแล้ว หวังจิ่วเป่าถวายอนุสรณ์หมื่นอักษรให้กับฝ่าบาท หม่าจั่วเหวินได้คัดลอกให้ข้ามาหนึ่งฉบับ…ส่วนท่าทีของเฉินเก๋อเหล่าและเหลียงเก๋อเหล่านั้นคลุมเครือไม่ชัดเจน…” สวีลิ่งอี๋ดูค่อนข้างใจลอย
สืออีเหนียงรินน้ำชาถ้วยใหม่ให้เขาอย่างเบามือ
สวีลิ่งอี๋กดถ้วยน้ำชาเบาๆ สมาธิตั้งมั่น จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ใช่แล้ว จวนเหลียงเก๋อเหล่าจะสู่ขอสะใภ้ในวันที่ยี่สิบหกเดือนสามนี้”
“เช่นนั้นหรือเจ้าคะ” สีหน้าดีอกดีใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของสืออีเหนียง “คุณหนูเจ็ดจะแต่งงานออกเรือนแล้ว”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเบาๆ “ถึงเวลานั้นข้าจะไปที่จวนจงฉินปั๋ว ส่วนเจ้าก็ไปเป็นแขกร่วมงานเลี้ยงมงคลที่จวนสกุลเหลียงก็แล้วกัน”
สืออีเหนียงรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก “แต่ข้ายังคิดจะส่งตัวหลานถิงด้วย!”
สวีลิ่งอี๋เองก็ค่อนข้างรู้สึกแปลกใจ “ทุกคนกำลังวิพากษ์วิจารณ์ถึงเรื่องการยกเลิกคำสั่งปิดทะเล หากข้าไปจวนสกุลเหลียง คงจะถูกผู้คนที่อยู่ที่นั่นซักไซ้ไม่หยุด จวนของเรากับจวนสกุลกานยังมีเรื่องของย่วนเจี่ยเอ๋อร์ขั้นกลางอยู่ หากเจ้าไปก็คงจะได้ยินแต่คำติฉินนินทา เช่นนี้ก็จะสามารถหลีกเลี่ยงได้โดยปริยาย”
ถึงแม้ว่าสิ่งที่สวีลิ่งอี๋พูดมานั้นจะมีเหตุผล แต่สืออีเหนียงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวัง
สวีลิ่งอี๋จึงพูดขึ้นอย่างคลุมเครือว่า “อย่างไรเสียก็ยังเหลือเวลาอีกมาก ถึงเวลานั้นเราค่อยว่ากันอีกที!” จากนั้นเขาก็ได้พูดถึงเรื่องของเฉียวเหลียนฝังขึ้นมา “…ข้าสั่งให้ป้ารับใช้ทั้งสองเฝ้าเฉียวอี๋เหนียงไว้ หากไม่มีคำสั่งของเจ้าห้ามนางก้าวออกจากเรือนแม้แต่ก้าวเดียว ต่อไปเจ้าต้องระวังหน่อย นางจะได้ไม่ต้องไปวุ่ยวายกับจวนสกุลเฉียว”
ความสัมพันธ์ระหว่างจวนหย่งผิงโหวและจวนเฉิงกั๋วกงค่อนข้างซับซ้อน ไม่สามารถอธิบายหรือสรุปสั้นๆ ง่ายๆ ได้ สืออีเหนียงย่อมเคารพการตัดสินใจของสวีลิ่งอี๋อยู่แล้ว
นางพยักหน้าเบาๆ “เจ้าค่ะ” จากนั้นสวีลิ่งอี๋ก็ได้เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทน “เมื่อครู่นี้เจ้าบอกว่ามีเรื่องจะพูดกับข้า…เรื่องอันใดหรือ”
ก่อนหน้านี้สืออีเหนียงเห็นสีหน้าของเขาไม่ค่อยดีเท่าไรนัก นึกว่าเขากำลังเสียใจกับเรื่องของเฉียวอี๋เหนียง จึงได้หาคำพูดแหย่เขาเล่น ใครจะไปนึกว่ามันจะเป็นเรื่องเข้าใจผิด ยิ่งกว่านั้น ใครจะไปรู้ว่าเขายังจำคำพูดประโยคนี้ได้ แถมยังกลับมาถามตนอย่างจริงจัง
“ไม่มีอะไรมากเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เพียงแค่อยากจะคุยเรื่อยเปื่อยกับท่านโหวก็เท่านั้น”
ภายใต้แสงไฟ รอยยิ้มของนางนิ่งสงบ ดวงตาเป็นประกายแวววาวประดุจแสงสายัณห์ที่กระทบลงไปบนผิวน้ำของทะเลสาบ ทำให้เขาสายตาพร่ามัว
สวีลิ่งอี๋อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปลูบศีรษะของนางเบาๆ
ทำเหมือนว่านางเป็นเด็กน้อยอย่างไรอย่างนั้น
สืออีเหนียงเอียงศีรษะหลบ
มือของสวีลิ่งอี๋จึงสัมผัสโดนแต่ความว่างเปล่า
เขาอึ้งไปชั่วขณะ
สืออีเหนียงบ่นพึมพำเสียงเบาว่า “จะทำผมข้าให้ยุ่งเหยิงอีกแล้ว”
สวีลิ่งอี๋จึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดัง
อารมณ์และความรู้สึกแย่ๆ เมื่อครู่นี้สลายจางหายไปจนหมด
เขาสังเกตเห็นสีหน้าที่เหนื่อยล้าของสืออีเหนียง จึงนึกขึ้นได้ว่าวันนี้นางออกไปข้างนอก อีกทั้งยังเพิ่งจะรับหน้าที่เป็นผู้ดูแลหลักของเรือน พรุ่งนี้เช้ายังมีเรื่องอีกมากที่ต้องจัดการ ลึกๆ ในใจก็อดเห็นใจไม่ได้ จึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เจ้าไปเข้านอนก่อนเถิด…ข้ายังต้องตรวจดูอนุสรณ์หมื่นอักษรของหวังจิ่วเป่าอย่างละเอียดถี่ถ้วนเสียก่อน!”
สืออีเหนียงเองก็รู้สึกเหนื่อยล้ามากจริงๆ จึงคุยเล่นกับเขาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้ขอตัวไปเข้านอนก่อน
ขณะที่กำลังครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่นั้น สืออีเหนียงก็ได้เข้าสู่อ้อมกอดหนึ่งที่แสนจะอบอุ่น นางขยับท่าทางให้สบายตัว จากนั้นก็หลับลึกทั้งคืน
*****
เช้าวันรุ่งขึ้น เรื่องที่เฉียวเหลียนฝังถูกกักบริเวณก็ถูกแพร่กระจายไปทั่วทั้งจวน เหวินอี๋เหนียงและฉินอี๋เหนียงก็พากันเว้นระยะห่างกับเฉียวเหลียนฝังด้วยอย่างระมัดระวังตัว ซิ่วหยวนรู้สึกได้ว่าทุกๆ สายตาที่จ้องมองตนนั้นไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ สีหน้าของนางก็หม่นหมองไปในทันที
เงยหน้าขึ้นมาก็เจอเข้ากับฉินอี๋เหนียงพอดี
นางมาพร้อมกับชุ่ยเอ๋อร์สาวใช้คนสนิท สีหน้าเต็มไปด้วยความดีอกดีใจ
ซิ่วหยวนเอียงตัวหลีกทางให้
ฉินอี๋เหนียงเห็นนางแล้วก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “แม่นางซิ่วหยวนเองหรอกหรือ”
ซิ่วหยวนเห็นชุ่ยเอ๋อร์ที่สวมเสื้อกั๊กสีเขียว กำลังหอบผ้าสักหลาดสีแดงส้ม จึงนึกขึ้นได้ว่าหลายวันก่อน เหล่าบรรดาสาวใช้เล่ากันว่าสืออีเหนียงสั่งกักบริเวณคุณชายน้อยสอง ฉินอี๋เหนียงกลัวว่าสืออีเหนียงจะโกรธ จึงอดหลับอดนอนทำรองเท้ามาให้สืออีเหนียง…ซิ่วหยวนก็อดไม่ได้ที่จะเม้มปากเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า “แล้วนี่ฉินอี๋เหนียงจะไปไหนหรือเจ้าคะ”
“อ้อ!” ฉินอี๋เหนียงยิ้มออกมาอย่างเปิดเผย “ไต้ซือจี้หนิงมาเยี่ยมฮูหยินห้า ข้าได้ปักข้อความในคัมภีร์ไว้ จึงไหว้วานให้นางช่วยข้าถวายให้กับพระโพธิสัตว์ หลายวันมานี้ชีวิตของคุณชายน้อยสองไม่ค่อยสงบเท่าไรนัก”
ผู้ไม่รู้จักแม้แต่อักษร ยังจะปักบทความในคัมภีร์!
ซิ่วหยวนได้ยินแล้วก็แอบหัวเราะเยาะในใจ ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พากันแยกย้าย
เฉียวเหลียนฝังร้องไห้ยกใหญ่ไปหลายรอบและอาเจียนไม่หยุด ซูบผอมลงไปมาก อีกทั้งยังซีดเซียวและดูอ่อนแรง
เมื่อเห็นซิ่วหยวนกลับมา นางก็รีบถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไร้เรี่ยวแรง “เป็นอย่างไรบ้าง หาวิธีได้หรือไม่”
ซิ่วหยวนส่ายหน้าเบาๆ น้ำตาคลอเบ้า
เฉียวเหลียนฝังนึกไม่ถึงเลยว่าสวีลิ่งอี๋จะกระทำเช่นนี้ต่อนาง จึงพยายามทบทวนคำพูดที่ตัวเองพูดกลับไปกลับมาอยู่หลายรอบ แต่ก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดีว่าตนนั้นได้พูดอะไรผิดไป ตอนนี้นางทั้งรู้สึกหวาดกลัวทั้งตื่นตระหนกและสับสนไปหมด ต้องการผู้ที่จะช่วยนางตัดสินใจเป็นอย่างมาก
ดังนั้นจึงได้ให้ซิ่วหยวนออกไปหาลู่ทาง ดูว่าสามารถที่จะส่งจดหมายแจ้งข่าวให้มารดาของนางได้หรือไม่
เมื่อทุกคนเห็นว่าเป็นซิ่วหยวน หากไม่ปฏิเสธก็พากันขอค่าช่วยทำธุระที่แสนจะมากมาย เห็นได้ชัดว่าเป็นการรีดไถเงินจากนาง ซิ่วหยวนกลัวว่าคนเหล่านี้ได้เงินแล้วจะไม่ช่วยส่งจดหมาย เมื่อถึงเวลาก็จะคว้าอะไรไม่ได้สักอย่าง
เฉียวเหลียนฝังก็ซบหน้าลงบนหมอนและเริ่มสะอื้นร้องไห้อีกครั้ง
ซิ่วหยวนกลัวว่านางจะร้องไห้จนป่วยหรือเป็นอะไรไป จึงคอยโน้มน้าวและปลอบประโลมนางอยู่ข้างๆ
เฉียวเหลียนฝังจึงบ่นขึ้นด้วยความโกรธว่า “ตอนนี้มาพูดอะไรเช่นนี้จะไปมีประโยชน์อันใด หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ สู้ข้าเขียนจดหมายให้ท่านแม่มาหาข้าเลยยังดีเสียกว่า…ตอนแรกข้าคิดอยากจะให้คนจวนสกุลสวีไปเชิญท่านแม่ ท่านแม่จะได้รู้สึกมีเกียรติหน่อย!”
ซิ่วหยวนได้ยินแล้วจู่ๆ ก็เหมือนกับนึกอะไรขึ้นมาได้ “คุณหนู ไต้ซือจี้หนิงอยู่ที่เรือนของฮูหยินห้าเจ้าค่ะ”
นายหญิงสามสกุลเฉียวเชื่อถือในศาสนาพุทธ ไต้ซือจี้หนิงได้ไปที่จวนเฉิงกั๋วกงอยู่บ่อยครั้ง ตอนเฉียวเหลียนฝังยังเด็ก จี้หนิงยังเคยมอบสร้อยประคำไม้กฤษณาที่ได้รับการปลุกเสกแล้วให้นางหนึ่งเส้น
“เจ้าหมายถึงให้นางช่วยข้าส่งจดหมายกลับไปอย่างนั้นหรือ” นัยน์ตาของเฉียวเหลียนฝังลุกโชนขึ้นมาทันที
“เจ้าค่ะ!” ซิ่วหยวนพูดขึ้นว่า “บ่าวได้ยินมาจากฉินอี๋เหนียงว่าวันนี้ไต้ซือจี้หนิงมาที่เรือนของฮูหยินห้า…ป้ารับใช้ทั้งสองยังอยู่นอกเรือน ท่านฉวยโอกาสนี้รีบเขียนจดหมาย เดี๋ยวบ่าวจะไปดูที่เรือนของฮูหยินห้าให้เจ้าค่ะ”
เฉียวเหลียนฝังรีบพยักหน้า จากนั้นก็รีบเขียนจดหมายที่มีข้อความสั้นๆ ซิ่วหยวนนำจดหมายซ่อนไว้ตรงหัวเข่า แล้วจึงตรงไปยังเรือนของฮูหยินห้าทันที
แต่ใครจะไปนึกว่าไท่ฮูหยินจะอยู่ที่นั่นด้วย
ซิ่วหยวนจึงไม่กล้าเข้าไป นางเดินวนไปวนมาอยู่ตรงนั้นสักพักใหญ่ ก็เจอเข้ากับฉินอี๋เหนียงที่กำลังเดินออกมาจากเรือนของฮูหยินห้าพอดี
เมื่อฉินอี๋เหนียงเห็นนางก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก
ซิ่วหยวนร้อนตัว นางรีบยิ้มขึ้นพร้อมกับอธิบายไปว่า “บ่าวมาเดินเล่นในสวนผ่อนคลายจิตใจเจ้าค่ะ”
ฉินอี๋เหนียงรู้สึกว่าคำพูดนั้นค่อนข้างแปลก ฟังดูมีลับลมคมใน จึงหัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นก็พาชุ่ยเอ๋อร์เดินออกจากสวนดอกไม้ไป
ซิ่วหยวนก็ได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากเรือนจ้าวจวงถัง
นางกลัวว่าไท่ฮูหยินจะกำลังย้อนกลับไปที่เรือน จึงทำได้เพียงเดินย้อนกลับ
ฉินอี๋เหนียงและซิ่วหยวนต้องเดินกลับทางเดียวกัน จะช้าจะเร็วก็ต้องเจอกันระหว่างทางอยู่แล้ว มาทำเมินต่อกันก็ดูไม่ค่อยดีเท่าไรนัก
ซิ่วหยวนจึงถามไถ่ฉินอี๋เหนียงไปว่า “หนังสือคัมภีร์ของอี๋เหนียงส่งมอบไปแล้วหรือเจ้าคะ”
โบราณกล่าวไว้ว่าอย่าตีคนยิ้ม อีกอย่างก็พักอาศัยอยู่ในเรือนเดียวกัน เงยหน้าไม่เจอก้มหน้าก็อาจจะเจอได้
“ส่งไปแล้ว!” ฉินอี๋เหนียงพูดคุยกับนาง
“เหตุใดไท่ฮูหยินถึงอยู่ที่เรือนของฮูหยินห้าได้ ไปหาไต้ซือจี้หนิงหรือเจ้าคะ”
“ไท่ฮูหยินไปเจอคุณหนูสอง” ฉินอี๋เหนียงตอบนาง “ก็เลยเจอเข้ากับไต้ซือจี้หนิงพอดี”
“เป็นเช่นนั้นเองหรือเจ้าคะ!”
ไม่รู้จะคุยเรื่องอะไรต่อ
แต่ทางเดินยังอีกไกล
ฉินอี๋เหนียงเองก็ไม่รู้จะพูดอะไร นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้พูดขึ้นว่า “เฉียวอี๋เหนียงยังดีอยู่หรือไม่” แต่พอเอ่ยปากถามไปก็รู้สึกเสียใจที่พูดเช่นนี้
ซิ่วหยวนรู้สึกว่าฉินอี๋เหนียงรู้ทั้งรู้แต่ก็ยังถาม จึงตอบไปว่า “อี๋เหนียงเองก็ไม่รู้ว่าท่านโหวโมโหเรื่องอะไร วันๆ นางก็เอาแต่ร้องไห้น้ำตานองหน้า ร่างกายก็ซูบผอมลงไปมากเจ้าค่ะ”
ฉินอี๋เหนียงได้ยินแล้วก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ “เฮ้อ ทำเช่นนั้นก็ไม่ถูกอยู่แล้ว…นางไม่ได้ตัวคนเดียว ไหนจะบุตรในครรภ์อีก” ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ได้พูดต่อไปว่า “ท่านโหวเป็นคนลืมยาก สั่งกักบริเวณอี๋เหนียงของพวกเจ้า ก็เป็นเพียงแค่อารมณ์โมโหชั่ววูบเท่านั้น รอให้เฉียวอี๋เหนียงคลอดบุตรชายออกมาแล้ว ทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง”
คลอดบุตรชาย? ใครจะไปรับประกันได้ว่าเด็กที่คลอดออกมานั้นจะเป็นเด็กผู้ชาย!
คนยืนพูดก็ย่อมไม่ปวดเอวอยู่แล้ว
เพราะนางคลอดบุตรชายจึงสามารถบรรลุผลสำเร็จโดยใช้เวลาเพียงสั้นๆ…
ความคิดก็ไปหยุดอยู่ตรงคำพูดสุดท้ายของนาง
“อี๋เหนียงทำอย่างไรถึงมีบุตรชายได้หรือเจ้าคะ” เมื่อคำพูดถูกพูดออกไป ฉินอี๋เหนียงก็รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก
ซิ่วหยวนก็รู้สึกขึ้นมาทันทีว่าตนนั้นพูดอะไรที่ไม่ควรพูด นางจึงยิ้มพร้อมกับรีบพูดขึ้นว่า “บ่าวหมายถึงว่าอี๋เหนียงมียาตำรับเฉพาะที่ช่วยให้มีบุตรชายหรือไม่เจ้าคะ”
ฉินอี๋เหนียงชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นก็ได้พูดขึ้นว่า “ข้าไม่มีตำรับยาผีบอกเพื่อให้มีบุตรชายหรอก แต่ทว่าฮูหยินคนก่อน พี่หญิงของฮูหยินคนปัจจุบันในตอนนี้ นางเคยไปขอให้มีคุณชายน้อยสี่กับนักบวชลัทธิเต๋าฉังชุน ข้าว่า…นางคงมีตำรับยาอะไรบ้างกระมัง”
เมื่อซิ่วหยวนได้ยินแล้ว แววตาของนางก็ลุกวาวขึ้นมาทันที จากนั้นก็เดินจนไปถึงประตูข้างทางทิศตะวันออกพร้อมฉินอี๋เหนียงโดยที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ฉินอี๋เหนียงไปหาสืออีเหนียง นางจึงรีบกลับไปที่เรือนของตนทันที
“คุณหนู คุณหนู เมื่อครู่นี้บ่าวไปได้ยินเรื่องเรื่องหนึ่งมาเจ้าค่ะ” นางวิ่งตรงมาด้านหน้าของเฉียวเหลียนฝังด้วยอาการเหนื่อยหอบ ตื่นเต้นจนใบหน้าแดงก่ำไปหมด “ฉินอี๋เหนียงบอกว่า ก่อนหน้านี้หยวนเหนียงสามารถให้กำเนิดบุตรชายได้ เป็นเพราะเคยทานยาตำรับเฉพาะของนักบวชลัทธิเต๋าฉังชุนเจ้าค่ะ”
เฉียวเหลียนฝังที่นอนไร้เรี่ยวแรงอยู่ก็ดีดตัวลุกขึ้นมาทันควัน นางคว้าแขนของซิ่วหยวนจับไว้แน่นด้วยอาการสั่นเทา “เจ้าว่าอะไรนะ”
ซิ่วหยวนสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามตั้งสติ จากนั้นก็พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ฉินอี๋เหนียงบอกว่า หยวนเหนียงสามารถให้กำเนิดบุตรชายได้ ล้วนแล้วแต่เป็นเพราะทานยาตำรับเฉพาะของนักบวชลัทธิเต๋าฉังชุนเจ้าค่ะ!”
“นักบวชลัทธิเต๋าฉังชุน…” เฉียวเหลียนฝังดีใจจนแทบจะสิ้นสติ “ท่านเคยไปเป็นแขกที่จวนเฉิงกั๋วกง ข้ายังจำได้ ตอนนั้นท่านลุงใหญ่เคยมอบที่ทับกระดาษที่ทำจากไม้จันทน์ให้ท่านหนึ่งคู่…”
“คุณหนู เราบอกเรื่องนี้กับนายหญิงดีหรือไม่” ซิ่วหยวนพูดจบก็ล้วงเอาจดหมายที่เฉียวเหลียนฝังเขียนเมื่อครู่นี้ออกมา “ให้นายหญิงช่วยสืบดู หากว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ก็สามารถช่วยคุณหนูวางแผนต่อไปได้ ท่านดูอย่างฉินอี๋เหนียง ไม่ใช่เป็นเพราะนางให้กำเนิดบุตรชายหรือเจ้าคะ นางถึงมีวันนี้ได้ หากจะพูดถึงคุณลักษณะหรือหน้าตา ในจวนนี้ไม่รู้มีอีกตั้งเท่าไรที่ดูดีกว่านางเจ้าค่ะ…”