เฉียวเหลียนฝังหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนจดหมายบนโต๊ะหนังสือ รอยยิ้มที่ยิ้มขึ้นอย่างดีอกดีใจในตอนแรกนั้นค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวลและความไม่สบายใจ เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ นางกลับยังไม่ลงมือเขียนจดหมายสักที
“คุณหนู เป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ” ซิ่วหยวนค่อนข้างแปลกใจเป็นอย่างมาก “ท่านกำลังสงสัยคำพูดของฉินอี๋เหนียงอยู่ใช่หรือไม่เจ้าคะ”
เฉียวเหลียนฝังส่ายหน้าเบาๆ “นางไม่ได้พูดโกหก ในตอนนั้นข้าก็เคยได้ยินมาบ้าง ด้วยเหตุนี้นักบวชลัทธิเต๋าฉังชุนจึงมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว คนมากมายเลื่อมใสศรัทธาในตัวเขา เพียงแต่ว่าหากต้องการจะเชื้อเชิญนักบวชลัทธิเต๋าฉังชุนมาช่วยออกหน้า เกรงว่าคงจะต้องให้มารดาของท่านลุงใหญ่ช่วยถึงจะได้…”
แต่เฉียวฮูหยินจะยอมช่วยพวกนางออกหน้าหรือไม่นั้น ก็ถือว่าเป็นปัญหาที่ใหญ่ไม่ใช่น้อย
ซิ่วหยวนเข้าใจในความหมายของเฉียวเหลียนฝัง นางพูดขึ้นด้วยความลังเลใจว่า “กลับไปคราวที่แล้วท่านนำของฝากไปฝากนางมากมายขนาดนั้น…เรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับชีวิตและครอบครัวของท่าน ฮูหยินคงจะไม่เมินเราหรอกเจ้าค่ะ”
เฉียวเหลียนฝังเองรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจเท่าไรนัก
นางฝืนยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น!”
ด้านนอกก็มีเสียงหัวเราะของป้าเถียนและป้าวั่นดังขึ้นเบาๆ
ซิ่วหยวนได้ยินแล้วก็รีบไปปิดประตูเก๋อซ่าน[1]ของห้องชั้นในทันที
ป้าเถียนและป้าวั่นเห็นแล้วก็หันหน้ามาสบตากันพร้อมกับหัวเราะออกมาอีกครั้ง
เวลานี้เอง หู่พั่วก็ได้ถอยออกจากห้องชั้นในของสืออีเหนียงพร้อมกับสาวใช้คนอื่นๆ อย่างเบามือเบาเท้า
สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับหันไปจ้องมองปินจวี๋ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความซีดเซียว นางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “เหตุใดถึงไม่อยู่ต่ออีกสักหน่อยเล่า”
ปินจวี๋รีบส่ายหน้าพร้อมกับตอบกลับไปว่า “ธุระที่ท่านสั่งให้ไปทำนั้นเสร็จสิ้นแล้ว บ่าวอยู่ต่อก็ดีแต่จะไม่สบายใจ รีบกลับมาดีกว่าเจ้าค่ะ”
“ก็ดี” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีเจ้าอยู่ข้างกายข้า ข้าออกจะรู้สึกไม่ชินจริงๆ”
ปินจวี๋ได้ยินแล้วก็ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็เงียบไป
“เป็นอะไรไป” สืออีเหนียงถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ระหว่างเรายังมีความลับที่พูดไม่ได้ด้วยหรือ”
เมื่อเห็นรอยยิ้มที่ยังคงอ่อนโยนเหมือนเช่นเคยของสืออีเหนียง ปินจวี๋ก็เริ่มสับสน
นางรู้สึกว่าเด็กผู้หญิงที่ก่อนหน้านี้เคยต้องการการปกป้องและดูแลจากนาง ตอนนี้เด็กผู้หญิงคนนั้นได้เติบโตขึ้นโดยที่นางไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย และคงจะไม่ต้องการการปกป้องและการดูแลจากนางอีกต่อไป ไม่เพียงเท่านั้น ตนกลับกลายมาเป็นภาระเสียด้วยซ้ำ…ตอนอยู่ที่ตรอกจินอวี๋ นางครุ่นคิดกลับไปกลับมาอยู่หลายรอบ หากว่าตนฉลาดหัวไวเหมือนเช่นหู่พั่ว ตอนป้าเถาเข้ามานั้น ไม่แน่ตนอาจจะรู้ถึงเจตนาแอบแฝงของนางแล้วรั้งตงชิงไว้ในเรือน หรือไม่ตนก็อาจจะไม่ถูกใช้เป็นหอกมาสู้กับสืออีเหนียง บางทีสถานการณ์อาจจะไม่เป็นเหมือนเช่นตอนนี้ก็ได้
ปินจวี๋รู้สึกผิดจนนอนไม่หลับมาหลายคืน
ที่นางรีบเดินทางกลับมา ก็มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย…
แต่เมื่อนึกถึงการตัดสินใจของตัวเอง ปินจวี๋ก็รู้สึกว่าดวงตาของตนนั้นเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา
“ฮูหยิน ท่านจับข้าแต่งงานเถิดเจ้าค่ะ!” จู่ๆ สายตาก็พร่ามัว “ตอนบ่าวกลับมาก็ได้ยินเรื่องของเฉียวอี๋เหนียงแล้ว ทุกคนต่างล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเยี่ยนหรงนั้นร่าเริงกระฉับกระเฉงรองลงมาจากหู่พั่ว นางฉลาดหัวไวเอาการเอางาน ทำสิ่งใดก็เป็นระเบียบเรียบร้อยยึดตามกฎระเบียบเสมอ…” พูดถึงตรงนี้ ใบหน้าของนางก็เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา นางจึงรีบก้มหน้าลงต่ำ “บ่าวออกไปแล้ว ก็จะมีตำแหน่งสาวใช้ว่างขึ้นมาอีกหนึ่งตำแหน่ง…”
ตั้งแต่ตงชิงเกิดเรื่องขึ้น ใบหน้าของปินจวี๋ก็ไม่เคยมีรอยยิ้มที่เบิกบานอีกเลย นางกลายเป็นคนขลาดกลัวไปโดยปริยาย ไม่กล้าตัดสินใจทำอะไรทั้งสิ้น
สืออีเหนียงแอบเป็นกังวลใจถึงการเปลี่ยนไปของนาง แต่ก็ไม่สบโอกาสได้คุยกับนางดีๆ สักครั้ง
และเมื่อได้ยินนางพูดขึ้นเช่นนี้ สืออีเหนียงก็ฉวยโอกาสตบโต๊ะบนเตียงเตาเสียงดังลั่น แสร้งโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมา “พูดจาเหลวไหลอะไรกัน นี่เป็นสิ่งที่เจ้าควรพูดหรือ”
ปินจวี๋ได้ยินแล้วก็อึ้งไปชั่วขณะ
“ฮูหยิน บ่าวพูดออกมาจากใจจริงๆ เจ้าค่ะ!” น้ำตาร่วงหล่นดุจเม็ดฝน “บ่าวทำใจจากฮูหยินไม่ได้ แต่บ่าวก็รู้ตัวดีว่าบ่าวนั้นไม่สามารถช่วยเหลืออะไรฮูหยินได้อีกแล้ว…”
สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็เผยสีหน้าที่ผิดหวังออกมา “ปินจวี๋ ข้านึกไม่ถึงเลยว่าในใจของเจ้าข้าจะเป็นคนเช่นนี้!”
ปินจวี๋ชะงักไป จ้องมองสืออีเหนียงด้วยน้ำตาที่นองหน้า
“ตอนนี้ข้าเป็นฮูหยินของหย่งผิงโหวแล้ว ขอเพียงข้ายินยอม อย่าว่าแต่สาวใช้คนสนิทที่ฉลาดหัวไวเช่นเยี่ยนหรง เพียงแค่ข้าไม่พอใจ ก็สามารถสั่งให้พ่อบ้านไป๋ลงใต้ไปกว่างตง หรือกานซู่ทิศตะวันตก ตามหาทั่วราชอาณาจักรต้าโจวเพื่อหาสาวใช้ที่ถูกใจข้า ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” น้ำเสียงของสืออีเหนียงหนักหน่วง “แต่ตอนที่ข้ายังเป็นสืออีเหนียงสกุลหลัว ตอนที่ข้านอนป่วยอยู่บนเตียงขยับเขยื้อนไม่ได้ ข้ายังจำได้ดีว่าเจ้านั้นคอยป้อนข้าวป้อนน้ำให้ข้าทีละคำ จนข้าสามารถรอดมาได้…” ภาพเก่าๆ ของวันวานก็ค่อยๆ พรั่งพรูเข้ามาในใจของนาง น้ำตาก็ค่อยๆ เอ่อล้นออกมา “เจ้าคิดจะจากข้าไปด้วยอีกคน คิดจะทิ้งข้าอยู่ที่นี่คนเดียวหรืออย่างไรกัน…”
“ฮูหยิน!” ปินจวี๋ซบหน้าร้องไห้บนเข่าของสืออีเหนียง ความเสียใจและความกังวลใจรวมไปถึงความทุกข์ทรมานใจของคืนวันที่ผ่านมา ก็พากันพรั่งพรูร่วงหล่นพร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมา “เป็นบ่าวเองที่พูดจาเหลวไหล…ล้วนเป็นความผิดของบ่าวทั้งสิ้น บ่าวจะคอยอยู่เคียงข้างท่าน ท่านอยู่ที่ไหน บ่าวก็จะอยู่ที่นั่นเจ้าค่ะ…”
สืออีเหนียงเองก็ร้องไห้ออกมาด้วย นางกุมมือของปินจวี๋สะอึกสะอื้น “ต่อไปเจ้าห้ามพูดจาเช่นนี้อีกนะ…”
“เจ้าค่ะ!” ปินจวี๋พยักหน้าไม่หยุด
สวีลิ่งอี๋กลับมาถึง ก็เห็นหู่พั่วและคนอื่นๆ พากันยืนอยู่ใต้ชายคา จึงถามขึ้นด้วยความแปลกใจว่า “เกิดอะไรขึ้น”
“ฮูหยินกำลังพูดคุยกับพี่ปินจวี๋อยู่ในเรือนเจ้าค่ะ” หู่พั่วเดินออกมาย่อตัวทำความเคารพ “บ่าวจะเข้าไปเรียนเดี๋ยวนี้!”
“ไม่ต้อง” สวีลิ่งอี๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ประเดี๋ยวข้าค่อยมาใหม่ก็แล้วกัน!” จากนั้นเขาก็หมุนตัวเดินตรงไปยังห้องตำราของเรือนหน้า
หู่พั่วได้ยินสืออีเหนียงตะโกนเรียกตนนางจึงรีบเข้าไปในห้องชั้นในทันที
เมื่อเข้าไปแล้วก็เห็นตาและจมูกของทั้งสองคนแดงก่ำไปหมด
“ไปตักน้ำมาให้ข้าล้างหน้าล้างตาหน่อย” สืออีเหนียงนำผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดหน้า “ท่านโหวคงใกล้จะกลับมาแล้ว!”
“ท่านโหวเพิ่งไปเจ้าค่ะ ได้ยินว่าท่านกับพี่ปินจวี๋กำลังคุยกันอยู่ ก็เลยออกไปก่อนเจ้าค่ะ” หู่พั่วพูดจบก็หันไปสั่งกับสาวใช้น้อยให้ไปตักน้ำเข้ามา
ปินจวี๋จึงรีบดีดตัวลุกขึ้นทันควัน “เช่นนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ บ่าวรีบไปเรียนท่านโหวดีกว่าเจ้าค่ะ!”
“ที่ท่านโหวออกไปก็เพราะตั้งใจ” สีหน้าท่าทีของสืออีเหนียงค่อนข้างเป็นธรรมชาติอย่างมาก “อย่าให้เขาเสียน้ำใจเลย”
ปินจวี๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ถึงแม้ว่าสิ่งที่สืออีเหนียงพูดมานั้นจะมีเหตุผล แต่ลึกๆ ในใจของนางก็ยังรู้สึกไม่ค่อยสบายใจอยู่ดี สาวใช้น้อยยกน้ำเข้ามาให้พวกนางพอดี จึงไม่ค่อยสะดวกจะพูดเรื่องพวกนี้ต่อ
ทุกคนจึงพากันนั่งลงอีกครั้ง สาวใช้น้อยก็ยกน้ำชาเข้ามาให้ สืออีเหนียงเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของปินจวี๋ที่ยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง ในใจก็สั่นไหวขึ้นมา จึงให้สาวใช้ที่อยู่ปรนนิบัติรับใช้ออกไปก่อน จากนั้นก็ได้คุยกับปินจวี๋ตามลำพัง
“เจ้าบอกให้ข้าจับเจ้าแต่งงานเสีย…” นางยิ้มพร้อมกับจ้องมองไปยังปินจวี๋
ใบหน้าของปินจวี๋พลันแดงก่ำขึ้นมาทันที “ตอนนั้นบ่าวสติเลอะเลือนเจ้าค่ะ…”
“ไม่ ไม่เลย” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเคยเจอหน้าว่านต้าเสี่ยนหรือไม่ รู้สึกอย่างไรบ้าง”
ใบหน้าของปินจวี๋แดงก่ำหนักกว่าเดิม “บ่าวไปเจอว่านต้าเสี่ยนตอนไหนกัน เหตุใดฮูหยินถึงถามแปลกประหลาดเช่นนี้!” นางกลับคืนสู่สภาวะเดิมอย่างรวดเร็ว
สืออีเหนียงพูดขึ้นว่า “ทางสกุลว่านให้ข้าหาคู่หมั้นให้ว่านต้าเสี่ยนอีกครั้ง”
“เฮ้อ!” ปินจวี๋ลุกขึ้นพร้อมกับจะเดินออกไป “ฮูหยินพูดเรื่องพวกนี้กับบ่าวทำไมหรือเจ้าคะ”
สืออีเหนียงรีบดึงมือนางไว้ จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า “ปินจวี๋ ข้าพูดจริงๆ ข้าน่ะคอยจับตาดูว่านต้าเสี่ยนมาโดยตลอด…”
ปินจวี๋ก้มหน้าลงต่ำ ตัดบทสนทนาของสืออีเหนียงไป “บ่าวคอยติดตามฮูหยินก็พอแล้วเจ้าค่ะ…” น้ำเสียงของนางแผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยินเสียด้วยซ้ำ
*****
ว่านอี้จงได้ข่าวแล้วก็อึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็เผยสีหน้าดีอกดีใจออกมามา “ฮูหยินมีบุญคุณต่อพวกเราเท่าภูเขาเลากา…นึกไม่ถึงเลยว่าครั้งนี้จะมอบสาวใช้คนสนิทมาแต่งงานกับต้าเสี่ยนของพวกเรา”
ครอบครัวว่านอี้จงพอใจเป็นอย่างมาก “ตงชิงงดงามเกินไป ตอนนั้นในใจของข้าเต้นแรงราวกับกำลังรัวกลองเชียว”
ทั้งสองต่างก็พากันปรึกษาหารือถึงเรื่องปลูกเรือนและการว่าจ้างพ่อครัว
ว่านต้าเสี่ยนที่อยู่ข้างๆ ก็ได้เดินออกจากเรือนอย่างเบามือเบาเท้า
ว่านเอ้อร์เสี่ยนมองเห็นอย่างชัดเจน เขาเองก็ได้แอบเดินตามออกไปอย่างเงียบเชียบด้วย
ว่านต้าเสี่ยนถอดเสื้ออ่าวผ้าไหมที่ใช้ใส่ทำงานในจวนสกุลสวีออกแล้ววางไว้บนแท่นหินที่อยู่ข้างๆ จากนั้นก็สวมเสื้อตัวเดียวแล้วผ่าฟืนอยู่ที่นั่น
“พี่ใหญ่!” ว่านเอ้อร์เสี่ยนยกฟืนที่ว่านต้าเสี่ยนผ่าเสร็จแล้วไปไว้อีกฝั่ง “ท่านยังคิดถึงแม่นางตงชิง…”
ว่านต้าเสี่ยนหยุดชะงักไป เขาไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่แรงที่ใช้ผ่าฟืนดูหนักหน่วงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ว่านเอ้อร์เสี่ยนเห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “ท่านแม่พูดถูก แม่นางตงชิงงดงามเกินไป ท่านโหวเป็นคนชอบธรรม แต่ใช่ว่าคนอื่นจะเป็นดังเช่นท่านโหว…มีคำพูดประโยคหนึ่งว่าไว้อย่างไรนะ ‘คู่ครองเลิศหรูใช่ว่าจะมีความสุข’ ไม่แน่บางทีสิ่งนี้อาจจะเป็นความสุขของท่านก็เป็นได้!”
ว่านต้าเสี่ยนเหลือบมองน้องชายตาเขม็ง “คู่ครองเลิศหรูใช่ว่าจะมีความสุขอะไรของเจ้า เขาเรียกว่าหากฐานะบรรดาศักดิ์ไม่สมพงศ์ก็จะไม่มีความสุขต่างหาก พูดไม่เป็นก็อย่าไปพูดมั่วซั่ว ไม่มีใครเขาว่าเจ้าเป็นใบ้หรอก”
ถึงแม้ว่าน้ำเสียงจะไม่ค่อยดีเท่าไรนัก แต่อย่างไรเสียพี่ชายของเขาก็ยอมเปิดปากพูดแล้ว ว่านเอ้อร์เสี่ยนจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ตั้งแต่ตงชิงขอถอนหมั้นเพราะเป็นโรคร้าย เขาก็เอาแต่เงียบเช่นนี้มาโดยตลอด
“ใช่ ใช่ ใช่” ว่านเอ้อร์เสี่ยนแสร้งแสดงสีหน้าท่าทางที่อิจฉาออกมา “ตั้งแต่พี่ใหญ่ไปทำงานที่จวนสกุลสวี ความรู้ก็ดีกว่าเมื่อก่อนเป็นอย่างมาก”
ว่านต้าเสี่ยนจ้องมองน้องชายที่พยายามเอาอกเอาใจตน เขาก็ค่อยๆ แหงนหน้าขึ้นพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“พี่ชายของเจ้าไม่ได้โง่ เรื่องบางเรื่องก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง!” เขาตบไหล่น้องชายเบาๆ “ข้าจะตั้งใจทำการทำงาน จะไม่ให้แม่นางปิน…ปินจวี๋…” เมื่อเขาเอ่ยชื่อที่ไม่คุ้นเคยออกมา จึงรู้สึกไม่ค่อยชินเท่าไรนัก “จะไม่ให้แม่นางปินจวี๋ต้องทนลำบากกับข้าอย่างแน่นอน”
ว่านเอ้อร์เสี่ยนรู้สึกว่าน้ำเสียงพี่ชายของเขานั้นค่อนข้างแปลก
แต่เมื่อเห็นท่าทีที่ฮึกเหิมของพี่ชาย ก็รีบสลัดเรื่องในหัวทิ้งไปจนหมด เขายิ้มพร้อมกับเข้าไปกอดคอพี่ชายไว้ “พี่ใหญ่ ท่านแต่งงานไปแล้วจะลืมพี่น้องจนหมดไม่ได้นะ ท่านยังมีข้า วันข้างหน้าท่านได้ดิบได้ดี ก็ช่วยหนุนนำข้าด้วย อย่างน้อยๆ ตอนพี่สะใภ้แต่งงานเข้าเรือนมาแล้ว ต้องให้นางช่วยเรียนฮูหยิน ให้ฮูหยินมอบคู่ครองให้ข้าสักคน”
“ไปให้พ้นเลย!” ว่านต้าเสี่ยนต่อยว่านเอ้อร์เสี่ยนเบาๆ ไปสองหมัด
สองพี่น้องหันมาสบตากันพลางพากันหัวเราะอย่างสนุกสนาน
*****
ว่านอี้จงก็ได้สู่ขอสะใภ้ให้บุตรชายของเขาอีกครั้ง งานครั้งนี้ดูค่อนข้างใหญ่โต ไม่เพียงแค่เชิญสะใภ้หลิวหยวนรุ่ยมาช่วยเจรจา แต่ยังขอให้พ่อบ้านไป๋ช่วยพูดต่อหน้าสวีลิ่งอี๋ด้วย
สวีลิ่งอี๋ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “นึกไม่ถึงเลยว่าว่านอี้จงผู้นี้จะเป็นคนที่มีปฏิภาณไหวพริบดี” จากนั้นก็หันไปถามสืออีเหนียงว่า “ใครเป็นคนแต่งเข้าไปกัน”
“ปินจวี๋เจ้าค่ะ” สืออีเหนียงกำลังเลือกเครื่องประดับของนางเพื่อใช้เป็นของขวัญแต่งงานให้แก่ปินจวี๋
เว่ยจื่อคนใช้คนสนิทของไท่ฮูหยินก็ได้มาถึง “ฮูหยิน ไท่ฮูหยินได้ยินมาว่าปินจวี๋จะแต่งงานออกเรือนแล้ว ก็เลยให้บ่าวพาไปให้ท่านดูตัวหน่อยเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงค่อนข้างรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก
ไท่ฮูหยินไม่เคยสนใจเรื่องการแต่งงานของเหล่าบรรดาสะใภ้ในเรือนเลย แม้แต่ตอนคุณชายห้ารับสาวใช้ห้องข้างก็ยังไม่เรียกตัวไปดูเลยแม้แต่น้อย ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการแต่งงานของเหล่าบรรดาบ่าวรับใช้ สาวใช้น้อยและสาวใช้ใหญ่เสียด้วยซ้ำ
นี่คือเกียรติที่หาได้ยากยิ่ง!
สืออีเหนียงจึงรีบให้สาวใช้น้อยไปเรียกปินจวี๋มา จากนั้นก็ได้กำชับปินจวี๋อยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยให้ปินจวี๋ตามเว่ยจื่อไปยังเรือนของไท่ฮูหยิน
เวลาผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป ปินจวี๋ก็กลับมา
ใบหน้าของนางแดงก่ำ “ไท่ฮูหยินมอบกำไรทองให้บ่าวหนึ่งคู่และเงินอีกสี่สิบตำลึงเป็นของขวัญเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงรู้สึกดีใจแทนนางเป็นอย่างมาก
หู่พั่วก็เดินเข้ามาในห้องด้วยความเร่งรีบ จากนั้นก็กระซิบข้างหูของสืออีเหนียงว่า “ฮูหยิน เฉียวอี๋เหนียงให้บ่าวรับใช้ที่อยู่เรือนนอกช่วยไปส่งจดหมายเจ้าค่ะ” จากนั้นก็ได้หยิบจดหมายออกมาจากคอเสื้อของนาง
สืออีเหนียงไม่ได้เปิดอ่านจดหมายแต่อย่างใด “เจ้าไปส่งจดหมายฉบับนี้กลับคืนให้กับเฉียวอี๋เหนียงต่อหน้าป้ารับใช้ทั้งสองด้วยตัวเอง จากนั้นก็ส่งบ่าวรับใช้คนนั้นไปให้พ่อบ้านไป๋จัดการ”
หู่พั่วขานรับพร้อมกับถอยออกไป
ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน ก็มีข่าวว่าเฉียวอี๋เหนียงป่วยแพร่สะพัดไปทั่วทั้งจวน
————————
[1]ประตูเก๋อซ่าน ประตูสมัยจีนโบราณที่ใช้สอดลงร่องประตูทีละบาน สามารถถอดออกจนหมดหรือใส่เข้าร่องเพื่อปิดให้มิดชิดได้ตามต้องการ