เช้าของวันต่อมา สืออีเหนียงคอยต้อนรับแขกอยู่ที่โถงบุปผาข้างโถงเตี่ยนชวน
คนที่มาถึงกลุ่มแรกคือหวงฮูหยินจวนหย่งชังโหวและคุณนายสามสกุลหวง
หวงฮูหยินกะพริบตาให้สืออีเหนียง “เจ้าให้ข้าไปอยู่ที่เรือนแม่สามีของเจ้าเถิด” จากนั้นก็ชี้ไปที่คุณนายสามสกุลหวง “ให้นางช่วยเจ้าคอยต้อนรับแขก”
มีคนมาช่วยนางอีกแล้ว!
สืออีเหนียงย่อคำนับพร้อมทั้งเอ่ยขอบคุณ จากนั้นก็ประคองหวงฮูหยินไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
คุณนายสามสกุลหวงจับมือนางแล้วกวาดสายตามองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า “งดงามราวกับดอกไม้”
สืออีเหนียงตอบกลับอย่างถ่อมตัว “เพราะว่าพึ่งต้นฤดูใบไม้ผลิ จึงแต่งตัวบางเจ้าค่ะ”
คุณนายสามถอนหายใจ “ตั้งแต่ข้าคลอดคุณชายสามออกมา ข้าก็ไม่ผอมลงอีกเลย”
อาจจะเป็นเพราะว่าเครื่องแต่งกายของสมัยโบราณค่อนข้างใหญ่ สืออีเหนียงจึงมองไม่ออก “พี่หญิงคิดมากเกินไปแล้วเจ้าค่ะ ข้าคิดว่าเช่นนี้ก็ดีแล้ว”
ในขณะที่นางกำลังพูด หลินฮูหยินก็มาถึง แต่กลับไม่เห็นคุณนายใหญ่สกุลหลินและฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์
หลินฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “หลานชายที่สกุลเดิมของนางมาเยี่ยม”
คุณนายสามสกุลหวงได้ยินเช่นนี้ก็กล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม “มาร่วมการสอบศิลปะการต่อสู้หรือ”
หลินฮูหยินยิ้มแล้วพยักหน้า “มาตั้งเจ็ดแปดคน บอกว่ามาหาประสบการณ์” นางพูดด้วยสีหน้าที่ภาคภูมิใจ
“สกุลเซ่าแห่งซังโจว ไม่ธรรมดาอยู่แล้วเจ้าค่ะ” คุณนายสามเอ่ยชื่นชมสองสามประโยค สืออีเหนียงก็พานางไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
เมื่อกลับมาที่โถงบุปผา เจิ้งไท่จวิน ถังฮูหยิน คุณนายใหญ่สกุลหลัวก็พาซิวเกอ คุณนายสี่และสือเอ้อร์เหนียงมา ทันใดนั้น ในเรือนก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ฮูหยินห้าก็อุ้มบุตรสาวของตัวเองมาร่วมสนุกด้วย ในขณะที่ทุกคนกำลังหยอกล้อเด็กน้อย ก็มีท่านป้าผู้ดูแลวิ่งเข้ามารายงาน บอกว่าโจวฮูหยินพาบุตรสาวคนโตมาแล้ว
สืออีเหนียงรีบออกไปต้อนรับ
โจวฮูหยินชี้ไปที่เด็กหญิงหน้าตาสวยงามที่อยู่ข้างๆ “ฟังเจี่ยเอ๋อร์ของเรา พานางออกมาพบปะผู้คน”
“พี่หญิงเป็นคนร่ำรวยมีเกียรติ เราก็แค่ส่งเสียงดังเอะอะโวยวายกันอยู่ที่นี่ ส่วนพี่หญิงให้เกียรติเราก็แค่นั้นเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงพูดอย่างมีมารยาท
ฟังเจี่ยเอ๋อร์ย่อเข่าคำนับสืออีเหนียง
โชคดีที่นางเตรียมการไว้อยู่แล้ว สืออีเหนียงหยิบจี้หยกออกมาจากแขนเสื้อแล้วมอบให้ฟังเจี่ยเอ๋อร์เป็นของขวัญ จากนั้นก็พาไปที่โถงบุปผากับโจวฮูหยิน
พึ่งจะมาถึง ฮูหยินของผู้บัญชาการหลี่แห่งซานซีก็พาบุตรสาวคนโตมา
สืออีเหนียงออกไปต้อนรับอีกครั้ง
คุณหนูใหญ่สกุลหลี่ปีนี้มีอายุสิบสามปี ดวงตากลมโต ผิวขาวใส มวยผมสองจุก สวมที่คาดผมสีทองลายดอกไม้ สายตาเป็นประกายแวววับเมื่อมองดูผู้คน ยังมีความเป็นเด็กน้อยที่กิริยาท่าทีไม่สมกับอายุ
นางยิ้มแล้วย่อเข่าคำนับสืออีเหนียง แต่สายตากลับมองสืออีเหนียงด้วยท่าทีที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
สืออีเหนียงมอบปิ่นปักผมดอกซ่อนกลิ่นสีทองเป็นของขวัญให้กับนาง
ทุกคนล้วนมาเจอหน้ากัน ไปๆ มาๆ ในเรือนก็ครึกครื้นมากยิ่งขึ้น
บรรดาสาวใช้และป้ารับใช้ล้อมรอบไท่ฮูหยินและหวงฮูหยิน
หลังจากความครึกครื้นสงบลง ทุกคนก็นั่งลงตามลำดับ
สาวใช้ยกชาและของว่างขึ้นมา บรรดาท่านป้าพาสวีซื่ออวี้ เจินเจี่ยเอ๋อร์ จุนเกอและสวีซื่อเจี้ยเข้ามาคำนับทุกคน
บางคนก็มาอุ้มจุนเกอ บางคนก็ลากเจินเจี่ยเอ๋อร์ไปพูดคุย แล้วยังมีคนถามไถ่สวีซื่ออวี้และสวีซื่อเจี้ย ในเรือนนั้นครึกครื้นเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงต้อนรับทุกคนดื่มชาและทานของว่าง หลังจากนั้น ป้าตู้ก็พาสวีซื่ออวี้ จุนเกอ สวีซื่อเจี้ยและซิวเกอไปที่ห้องลี่จิ่งเซวียน เจินเจี่ยเอ๋อร์ สือเอ้อร์เหนียง ฟังเจี่ยเอ๋อร์และคุณหนูใหญ่สกุลหลี่ไปที่ท่าเรือหลิวฟัง ส่วนบรรดาฮูหยินและคุณนายทั้งหลายก็ย้ายกันไปที่โถงเตี่ยนชวน
โจวเต๋อฮุ่ย หัวหน้าคณะเต๋ออินปานออกมาพูดสองสามคำ จากนั้นละครงิ้วก็เริ่มเปิดฉากแสดงขึ้น
คุณหนูใหญ่สกุลหลี่กลับจ้องมองไปที่สือเอ้อร์เหนียง “…เจ้าเป็นพี่ข้าหรือ?”
สือเอ้อร์เหนียงตอบกลับ “อืม” อย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
คุณหนูใหญ่สกุลหลี่ก็ยื่นมือไปขอของขวัญจากสือเอ้อร์เหนียง “เมื่อครู่หย่งผิงโหวฮูหยินมอบปิ่นปักผมดอกซ่อนกลิ่นให้ข้า”
ฟังเจี่ยเอ๋อร์ที่เดินเคียงบ่ามากับเจินเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วอย่างเย็นชา จากนั้นก็พูดถึงฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์กับเจินเจี่ยเอ๋อร์ “…ครั้งก่อนยังถักเชือกให้ข้า บอกว่าเรียนมาจากท่านป้าคนสนิท ข้าตกใจเป็นอย่างมาก ท่านแม่ของเจ้าพูดอะไรกับนางกันแน่”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ยิ้มแล้วเล่าเรื่องราวให้นางฟัง
ฝั่งสือเอ้อร์เหนียงก็หยิบดอกเหมยสีเงินออกมา
คุณหนูใหญ่สกุลหลี่รับมาแล้ว จากนั้นก็ไปขอเงินจากฟังเจี่ยเอ๋อร์
ฟังเจี่ยเอ๋อร์ทำท่าทีไม่ได้ยินแล้วตั้งใจฟังเจินเจี่ยเอ๋อร์พูด
คุณหนูใหญ่สกุลหลี่คิดว่านางไม่ได้ยิน จึงเดินเข้าไปดึงตัวนาง
ฟังเจี่ยเอ๋อร์ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เจ้าเบาๆ หน่อยได้หรือไม่” จากนั้นก็หันไปพูดกับเจินเจี่ยเอ๋อร์ “เจ้าพูดต่อสิ ข้ายังฟังอยู่!”
คุณหนูใหญ่สกุลหลี่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เจินเจี่ยเอ๋อร์กำลังจะพูดช่วยคุณหนูใหญ่สกุลหลี่กอบกู้สถานการณ์ สือเอ้อร์เหนียงที่อยู่ข้างๆ ก็กระแอม ชี้ไปที่เรือหินแกะสลักที่อยู่บนน้ำ “นั่นคือท่าเรือหลิวฟัง?”
“มันคือเรือหินของท่าเรือหลิวฟัง” เจินเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินเช่นนี้ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางยิ้มแล้วชี้ไปที่ศาลาหน่วนถิงแปดเหลี่ยมข้างเรือหิน “ที่นั่นตกปลาได้” จากนั้นก็ถามพวกนาง “วันนี้อากาศดี ทุกคนอยากตกปลากันหรือไม่”
“นั่งคุยกันดีกว่า!” ฟังเจี่ยเอ๋อร์คัดค้าน “ตกปลาไม่เห็นจะมีอะไรสนุก!”
ไม่มีใครคัดค้านนาง แต่กลับเปลี่ยนเรื่อง ไม่สนใจเหตุการณ์เมื่อครู่
ฟังเจี่ยเอ๋อร์ยังคงถามถึงเรื่องของฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์
คุณหนูใหญ่สกุลหลี่ลากสือเอ้อร์เหนียงมาอยู่ข้างหลังพวกนางแล้วพูเบาๆ ว่า “ข้าเคยเจอฟังเจี่ยเอ๋อร์แค่ไม่กี่ครั้ง…นางช่างเป็นคนเย่อหยิ่ง”
สือเอ้อร์เหนียงนึกถึงคำพูดของอี๋เหนียงหกขึ้นมา ‘…เจ้าอย่าคิดว่าคนพวกนั้นมีมารยาทกับเจ้า ที่จริงแล้วนางดูถูกเจ้า’
นางจึงยิ้มแล้วเปลี่ยนเรื่อง “พวกเจ้าคือคนเยี่ยนจิงเช่นนั้นหรือ”
“ไม่ใช่!” คุณหนูใหญ่สกุลหลี่พูดเบาๆ “ข้าคือคนเติ้งโจว เจ้ารู้จักเติ้งโจวหรือไม่”
สือเอ้อร์เหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเอ่ยตอบ “เติ้งโจวแห่งซานตงใช่หรือไม่”
คุณหนูใหญ่สกุลหลี่หัวเราะ “อืม เติ้งโจวแห่งซานตง ท่านปู่ของข้าเคยเป็นผู้บัญชาการกองทัพเติ้งโจว แต่ว่าท่านเสียชีวิตไปตั้งแต่ท่านพ่อของข้าอายุสิบสี่ปี ท่านพ่อของข้าจึงสืบทอดตำแหน่ง” จากนั้นก็ถามสือเอ้อร์เหนียง “เจ้าเล่า เป็นคนที่ใดกัน”
สือเอ้อร์เหนียงรู้สึกว่าถึงแม้ว่าคุณหนูใหญ่สกุลหลี่จะเป็นคนบุ่มบ่าม แต่นางก็ตรงไปตรงมา จึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าคือคนอวี๋หังแห่งเจ้อเจียง เจ้ารู้จักอวี๋หังหรือไม่”
คุณหนูใหญ่สกุลหลี่พยักหน้า “ข้ารู้ ที่นั่นมีคณะงิ้วมากมาย”
นางหมายถึงคณะงิ้วสำเนียงอวี๋หังกระมัง
สือเอ้อร์เหนียงหัวเราะ
ฟังเจี่ยเอ๋อร์ที่เดินอยู่ข้างหน้าเหลือบหันมามองข้างหลัง
คุณหนูใหญ่สกุลหลี่ไม่รู้ตัว นางพูดคุยกับสือเอ้อร์เหนียงต่อ “เหตุใดเจ้าถึงชื่อว่าสือเอ้อร์เหนียงเล่า เจ้ามีพี่น้องสิบสองคนหรือ”
สือเอ้อร์เหนียงพยักหน้า “ข้ายังมีพี่ชายและน้องชายอีกหกคน”
คุณหนูใหญ่สกุลหลี่ตกใจ “เยอะขนาดนี้ แล้วพวกเจ้าทานข้าวกันเช่นไร”
สือเอ้อร์เหนียงยิ้ม
คุณหนูใหญ่สกุลหลี่ตะโกนขึ้นมาราวกับนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “เช่นนั้นหย่งผิงโหวฮูหยินก็คือสืออีเหนียงเช่นนั้นหรือ”
เจินเจี่ยเอ๋อร์และฟังเจี่ยเอ๋อร์หันไปมองนาง
นางอดไม่ได้ที่จะยิ้มแล้วพูดกับสือเอ้อร์เหนียงเบาๆ “พวกเราลดเสียงพูดหน่อยก็แล้วกัน”
สือเอ้อร์เหนียงพยักหน้า
คุณหนูใหญ่สกุลหลี่ถามนางต่อ “พวกเจ้าเป็นพี่น้องมารดาเดียวกันหรือไม่”
“ไม่ใช่” สือเอ้อร์เหนียงยิ้ม “อี๋เหนียงของข้าอยู่อันดับหก ส่วนอี๋เหนียงของพี่หญิงอยู่อันดับห้า”
คุณหนูใหญ่สกุลหลี่พยักหน้า ทำท่าทีเข้าใจ “ข้าก็ว่าทำไมถึงมีพี่น้องเยอะแยะถึงเพียงนี้” จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านพ่อของข้ามีท่านแม่ของข้าแค่คนเดียว ข้ายังมีพี่ชายอีกสองคน พวกเราพ่อแม่เดียวกัน”
ครั้งนี้ เป็นสือเอ้อร์เหนียงที่ตกใจ “สกุลของเจ้าไม่มีอี๋เหนียงเช่นนั้นหรือ”
“ท่านพ่อของข้าบอกว่า หากคลอดบุตรไม่ได้ถึงจะรับอี๋เหนียง” คุณหนูใหญ่สกุลหลี่ทำท่าทีอกผายไหล่ผึ่ง “แล้วอีกอย่าง ท่านพ่อก็บอกว่า สกุลของเราไม่ต้องการสาวใช้ห้องข้างอะไรทั้งนั้น”
สายตาของสือเอ้อร์เหนียงมีความอิจฉาเจืออยู่
*****
สืออีเหนียงยืนคุยอยู่กับคุณนายสี่สกุลหลัวที่ประตูลานเล็กข้างโถงเตี่ยนชวน
“…ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงยังไม่ตั้งครรภ์ คุณหนูสิบเอ็ดรู้จักคนเยอะ อยากให้เจ้าแนะนำหมอหลวงที่เชี่ยวชาญเรื่องนี้ให้ข้าสักคน”
สืออีเหนียงรับปาก แล้วยังพูดปลอบใจนาง “พึ่งจะแต่งงานได้ไม่นาน ไม่ต้องรีบร้อนเจ้าค่ะ”
“ข้าไม่รีบร้อน!” คุณนายสี่ยิ้มอย่างขมขื่น “แต่พี่สี่ของเจ้า…บอกว่าเมื่อก่อนมีคนในเรือนเคยตั้งครรภ์ ราวกับว่าเป็นความผิดของข้าอย่างไรอย่างนั้น”
สืออีเหนียงเหงื่อตก
หลัวเจิ้นเซิงช่างกล้าพูดทุกอย่างจริงๆ!
“พี่สี่เป็นคนที่มีนิสัยเด็ก พี่สะใภ้สี่ไม่ต้องสนใจไป!” นางพูดปลอบคุณนายสี่ จากนั้นก็เห็นท่านป้าที่รับผิดชอบต้อนรับแขกเดินเข้าไปในโถงเตี่ยนชวนกับเฉียวฮูหยิน
ถึงแม้ว่าจะส่งเทียบเชิญไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้คาดคิดว่านางจะมา
คุณนายสี่ก็เห็นว่านางมาแล้ว แน่นอนว่านางไม่กล้ารั้งสืออีเหนียงอยู่ที่นี่ จึงยิ้มแล้วกลับไปที่โถงเตี่ยนชวนกับสืออีเหนียง
สืออีเหนียงเอ่ยทักทายเฉียวฮูหยินราวกับคนไม่มีเรื่องราวอะไร
เฉียวฮูหยินก็ทักทายสืออีเหนียงราวกับคนไม่มีเรื่องราวอะไรเช่นกัน ไปคารวะไท่ฮูหยินแล้วยังทักทายทุกคน แต่กลับไม่พูดถึงเฉียวเหลียนฝังเลยแม้แต่ประโยคเดียว
ไท่ฮูหยินเรียกสืออีเหนียงไปซักถาม “กานฮูหยินยังไม่มาอย่างนั้นหรือ”
“ยังไม่มาเจ้าค่ะ!” นางพูดตอบเสียงเบา “ข้าจะระวังเอาไว้ หากวันนี้ไม่มา ข้าจะบอกให้ท่านป้าไปเชิญด้วยตัวเองพรุ่งนี้เจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินพยักหน้า
สืออีเหนียงเห็นลี่ว์อวิ๋นยืนชะเง้อคอมองอยู่ที่ประตูตั้งนานแล้ว
นางเดินเข้าไปอย่างเงียบๆ “มีเรื่องอันใดหรือ”
ลี่ว์อวิ๋นพูดเสียงเบา “บ่าวรับใช้ของนายหญิงเฉียนมาบอกว่า นายหญิงเฉียนพึ่งคลอดบุตรชายเมื่อยามอิ๋นของวันนี้ คุณชายน้อยน้ำหนักตัวราวสี่ชั่ง ปลอดภัยทั้งแม่และลูกเจ้าค่ะ”
“พี่หญิงห้าคลอดแล้ว?” สืออีเหนียงตกใจเป็นอย่างมาก “บอกว่าจะคลอดกลางเดือนสี่ไม่ใช่หรือ” จากนั้นก็หาโอกาสไปบอกคุณนายใหญ่สกุลหลัว
คุณนายใหญ่สกุลหลัวขมวดคิ้ว
ส่วนคุณนายสี่สกุลหลัวก็มีท่าทีเป็นกังวล
กานฮูหยินมาถึงจวนสกุลสวีแล้ว
ไม่ใช่แค่นางที่มา คุณนายใหญ่สกุลกานและเสียนเจี่ยเอ๋อร์ก็มาด้วย
สืออีเหนียงยิ้มแล้วเดินเข้าไปทักทาย พากานฮูหยินไปเจอกับไท่ฮูหยิน จัดให้คุณนายใหญ่สกุลกานนั่งข้างคุณนายสามสกุลหวง แล้วเอ่ยถามเสียนเจี่ยเอ๋อร์เบาๆ ว่าจะไปเล่นกับเจินเจี่ยเอ๋อร์ที่ท่าเรือหลิวฟังหรือไม่
เมื่อรู้ว่าคุณหนูใหญ่สกุลโจวก็อยู่ด้วย เสียนเจี่ยเอ๋อร์จึงตอบรับด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ สองวันก่อนนางหมั้นกับคุณชายใหญ่ของเจิ้นหนานโหวสกุลหวัง คุณหนูใหญ่สกุลโจวและคุณชายใหญ่สกุลหวังเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน
สืออีเหนียงบอกให้หู่พั่วไปที่ท่าเรือหลิวฟังเป็นเพื่อนเสียนเจี่ยเอ๋อร์ ส่วนตัวเองยกชาที่สาวใช้ยกมาไปให้คุณนายใหญ่สกุลกานด้วยตัวเอง
ไม่ควรยื่นมือออกไปตบหน้าคนที่ยอมรับผิดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น คุณนายใหญ่สกุลกานก็เป็นคนตรงไปตรงมา
นางรับถ้วยน้ำชาแล้วยิ้ม “ฮูหยินสี่ไม่จำเป็นต้องพิธีรีตองนักหรอก เด็กๆ โตกันแล้ว ผู้ใหญ่อย่างเราอยากจะควบคุมก็ควบคุมไม่ได้” นางลุกขึ้นยกถ้วยชาให้สืออีเหนียง “เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ไม่ต้องพูดถึงมันอีก”
สืออีเหนียงยืนขึ้น ใช้สองมือรับถ้วยชามาจิบ “คุณนายใหญ่ช่างใจกว้างยิ่งนัก”
คุณนายใหญ่สกุลกานได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้ม “บุตรสาวของตัวเอง ข้าจะทำอะไรได้”
ถือว่าเรื่องนี้จบลงแล้ว
สืออีเหนียงเห็นกานฮูหยินที่อยู่ข้างๆ ลอบยิ้มแล้วพยักหน้าเบาๆ
นางนึกถึงเรื่องที่กานฮูหยินสนับสนุนตนมาตลอด จากนั้นก็นึกถึงความตรงไปตรงมาของคุณนายใหญ่สกุลกาน…จึงยิ้มแล้วพยักหน้ากลับให้กานฮูหยิน