ตอนที่ 283 ย้ายเรือน(ปลาย)
“ดีแล้ว!” ไท่ฮูหยินพูดอย่างดีใจ “มณฑลหูก่วงนั้นอุดมสมบูรณ์ อู่ชังยังเป็นทางผ่านของเก้าเมือง นับว่าเป็นสถานที่ที่ดี!”
นายหญิงเซี่ยตอบกลับอย่างถ่อมตน “ล้วนแต่เป็นความเมตตาของฮ่องเต้เจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินยิ้ม
นายหญิงเซี่ยงก็พูดถึงเรื่องขายเรือน “ล้วนแต่เป็นสมบัติของบรรพบุรุษ นับแล้วก็มีเป็นสิบ ทั้งหมดเป็นเรือนที่มีอายุกว่าสี่ห้าปี ถึงแม้ว่าจะอยู่ในทำเลที่ดี แต่เรือนเก่าแก่ทรุดโทรม หากปล่อยไว้จนถึงปลายปี อาจจะต้องซ่อมแซมใช้เงินสักร้อยตำลึง” นางยิ้มแล้วเหลือบมองไปที่ฮูหยินสอง “ข้ามาครั้งนี้ ก็ถือโอกาสมาปรึกษากับนาง ดูว่าควรจะเก็บที่ใดไว้ ขายที่ใดออกไป”
ฟังจากน้ำเสียงแล้ว นางให้ความสำคัญกับความคิดเห็นของฮูหยินสองเป็นอย่างมาก แต่ว่าฮูหยินสองเป็นคุณหนูที่แต่งงานออกเรือนไปแล้ว แล้วเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของสกุลเซี่ยง พูดเรื่องพวกนี้ต้องไว้หน้าไท่ฮูหยิน ไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไร
สืออีเหนียงเงยหน้ามองฮูหยินสอง
เห็นสายตาที่เฉียบแหลมของฮูหยินสองหายไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นนางก็ยิ้มอย่างแผ่วเบาแล้วพูดว่า “ข้าไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ หากพี่สะใภ้กลัวว่าจะขายราคาดีไม่ได้ ผู้ดูแลที่ท่านโหวแนะนำให้ข้าเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง หรือว่าพรุ่งนี้ข้าให้เขากลับไปที่จวนดีหรือไม่ หากพี่สะใภ้มีอะไรที่ไม่แน่ใจก็ถามเขาดูเถิด” พูดจบ ก็พูดกับเจี๋ยเซียงที่อยู่ข้างๆ “ไปดูว่านายท่านและท่านโหวพูดคุยกันเสร็จแล้วหรือยัง ไท่ฮูหยินไม่ได้เจออี้จยาหลายปีแล้ว พาเขามาคารวะไท่ฮูหยินด้วย” ทำท่าทีไม่อยากพูดเรื่องนี้
เจี๋ยเซียงตอบรับแล้วเดินออกไป
ไท่ฮูหยินก็รู้สึกถึงความไม่พอใจของฮูหยินสอง จึงยิ้มแล้วพูดคล้อยตามฮูหยินสอง “แก่แล้ว ชอบความครึกครื้น ข้าก็อยากเจออี้จยา จำได้ว่าเจอกันครั้งก่อนพึ่งจะสูงแค่นี้เอง…” ไท่ฮูหยินยกมือขึ้นมา “ตอนนี้คงจะโตมากแล้วใช่หรือไม่”
นายหญิงเซี่ยงยิ้มแล้วพูดว่า “สูงกว่าข้าเยอะเลยเจ้าค่ะ”
กำลังพูดคุยกันก็มีสาวใช้เข้ามารายงาน “ไท่ฮูหยิน คุณชายน้อยสอง คุณชายน้องสี่ คุณชายน้อยห้าและคุณหนูใหญ่มาแล้วเจ้าค่ะ”
“ให้พวกเขาเข้ามาเถิด” ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็พูดกับนายหญิงเซี่ยง “หลานชายหลานสาวของข้าเอง พวกเจ้าก็รู้จักกันสักหน่อย” พูดจบก็กวาดตามองไปที่คุณหนูสกุลเซี่ยงทั้งสามคนนั้น “เมื่อวานพวกเขาพึ่งจะย้ายเรือน วันนี้หยุดเรียนหนึ่งวัน จึงอยู่พักผ่อนที่จวน”
พึ่งจะพูดจบ สวีซื่ออวี้และคนอื่นๆ ก็เดินตามกันเข้ามา
นายหญิงเซี่ยง มองสวีซื่ออวี้ “นี่คืออวี้เกอใช่หรือไม่ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เจอกันหลายปีแล้ว แต่หน้าตายังคงเมื่อตอนเด็ก” จากนั้นก็มองไปที่จุนเกอ ยิ้มแล้วพูดว่า “คนนั้นยังเคยอุ้มไว้ในอ้อมแขน”
“ใช่แล้ว” ไท่ฮูหยินยิ้ม สืออีเหนียงจึงแนะนำนายหญิงเซี่ยงให้เด็กๆ รู้จัก
เด็กๆ ย่อเข่าคำนับ นายหญิงเซี่ยงก็บอกให้คุณหนูทั้งสามคนมาคำนับสวีซื่ออวี้และคนอื่นๆ จากนั้นคุณชายใหญ่สกุลเซี่ยงก็มาคารวะไท่ฮูหยิน
ทันใดนั้นทั้งห้องก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ บรรดาผู้ใหญ่ต่างก็เริ่มเหนื่อยล้า แต่เด็กๆ กลับมีท่าทีกระตือรือร้นเป็นตัวของตัวเองมากยิ่งขึ้น
คุณหนูใหญ่และคุณหนูสองสกุลเซี่ยงมีท่าทีเคร่งขรึมและสุขุม แต่สายตาของคุณหนูสามสกุลเซี่ยงกลับเหลือบมองไปที่สวีซื่ออวี้ที่อยู่ตรงข้ามนางเป็นครั้งคราว สวีซื่ออวี้นั่งเงียบอยู่ตรงนั้น ท่าทีผ่อนคลาย ส่วนเจินเจี่ยเอ๋อร์และจุนเกอที่อยู่ข้างๆ กลับตั้งใจฟังผู้ใหญ่พูดคุยกัน และคุณชายใหญ่สกุลเซี่ยงที่นั่งอยู่ตรงข้ามพวกเขาก็ใช้หางตาเหลือบมองเจินเจี่ยเอ๋อร์ มีแค่สวีซื่อเจี้ยที่ยังเด็ก นั่งทานลูกกวาดอยู่ตรงนั้นอย่างมีความสุข
*****
หลังทานข้าวกลางวันเสร็จ นายหญิงเซี่ยงพาเด็กๆ ไปที่เรือนของฮูหยินสอง สืออีเหนียงรับใช้ไท่ฮูหยินพักผ่อน กำลังจะกลับไปที่ลานของตัวเอง หู่พั่วก็เดินเข้ามา “ไต้ซือจี้หนิงส่งยันต์เเคล้วคลาดมาให้สองสามชิ้นเจ้าค่ะ เห็นว่าท่านไม่อยู่ที่เรือน จึงเดินดูรอบๆ เรือน บอกว่าริมน้ำฉุยหลุนไม่ควรปลูกต้นซิ่ง ควรปลูกต้นไหว แล้วปลาทองที่ท่านเลี้ยงไม่ควรวางบนขอบหน้าต่างข้างเตียงเตา แต่ควรวางไว้ตรงมุมห้องปีกทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของห้องโถง…บ่าวได้ยินมาว่าฮูหยินห้าเชิญนางมาทำพิธี ใช้เงินไปตั้งหนึ่งร้อยตำลึง บ่าวจึงไม่กล้าพูดอะไร บอกเพียงว่ารอให้ท่านกลับมาก่อน ถึงจะกล้าย้ายสิ่งของพวกนั้นเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพูดพึมพำ “เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ไม่สนใจเลยคงไม่ได้ แต่ก็ไม่ควรให้นางได้ใจ ช่วงนี้เจ้าต้องคอยระวัง อย่าให้เราเดือนร้อนแต่ก็อย่าทำให้นางไม่พอใจ”
หู่พั่วตอบรับ
สืออีเหนียงพาพวกเด็กๆ ไปพักผ่อนที่เรือนของจุนเกอ เมื่อไท่ฮูหยินตื่นก็เล่นไพ่เป็นเพื่อนไท่ฮูหยิน พูดคุยหยอกเย้ากันกับไท่ฮูหยินอย่างมีความสุข
เมื่อถึงยามค่ำ ป้าตู้ก็ไปเชิญฮูหยินสองและคนจากสกุลเซี่ยงที่อยู่เรือนเสาหวามาทานข้าวเย็น ไท่ฮูหยินถือโอกาสบอกให้นายหญิงเซี่ยงพาเด็กๆ ไปทานข้าวที่เรือนศาลาริมน้ำฉุยหลุนในวันพรุ่งนี้ “…คุณชายสี่กำลังซ่อมแซมเรือน ย้ายไปอยู่ที่เรือนศาลาริมน้ำฉุยหลุนชั่วคราว ข้าคิดว่าที่นั่นไม่มีคนอยู่มาตั้งหลายปีแล้ว อยากให้พวกเขาได้คึกคักเสียบ้าง นอกจากคนในครอบครัวตัวเอง ยังมีบรรดาคุณนายสกุลหลัว ล้วนแต่ไม่ใช่คนนอก ถึงตอนนั้นพวกเจ้าก็มาด้วยเถิด”
นายหญิงเซี่ยงได้ยินเช่นนี้ก็ทำสีหน้าครุ่นคิด ฮูหยินสองที่อยู่ข้างๆ เห็นเช่นนี้ก็พูดว่า “มณฑลอู่ชังอยู่ไกลจากที่นี่ เดินทางไปครั้งนี้ก็ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไร พรุ่งนี้พี่สะใภ้ก็พาอี้จยาและคนอื่นๆ มาร่วมสนุกด้วยกันเถิดเจ้าค่ะ”
ได้ยินคนจากสกุลเดิมของตัวเองพูดเช่นนี้ นายหญิงเซี่ยงก็ไม่ลังเลอีก ยิ้มแล้วพูดว่า “ขอบพระคุณไท่ฮูหยินเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ข้าจะพาเด็กๆ ไปรบกวนไท่ฮูหยินและฮูหยินสี่นะเจ้าคะ” พูดจบก็หันหน้าไปพยักหน้าให้สืออีเหนียงด้วยท่าทางที่เป็นมิตร
“ยินดีต้อนรับยิ่งนัก จะรบกวนได้เช่นไรกันเจ้าคะ” สืออีเหนียงตอบกลับอย่างมีมารยาท
นอกจากสวีซื่ออวี้ ทุกคนล้วนแต่มีสีหน้ายินดีปรีดา ส่งแขกออกไปแล้วกลับมาที่เรือนได้สักครู่หนึ่ง สวีลิ่งอี๋ก็กลับมาถึง
สืออีเหนียงรับใช้เขาเปลี่ยนเสื้อผ้า เขาก็เอ่ยถึงคุณนายเซี่ยง “…เมื่อตอนที่ท่านลุงเซี่ยงยังมีชีวิตอยู่ คนซื่อสัตย์ คนบริสุทธ์ คนมีอำนาจ เขาไม่เคยเห็นหัวใครทั้งสิ้น ทำให้คนตั้งมากมายรู้สึกไม่พอใจ ใต้เท้าเซี่ยงนอกจากไม่ได้รับความดีความชอบจากเขาแล้ว ยังต้องวุ่นวายอยู่ไม่น้อย แต่เวลาสั้นๆ แค่สิบปี เขาสามารถเลื่อนตำแหน่งจากปลัดอำเภอ ขุนนางระดับเจ็ดไปเป็นข้าหลวง ขุนนางระดับสี่ ช่างไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”
สำหรับเรื่องของท่านลุงเซี่ยง นางพึ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะร่างภาพชายเฒ่าหัวดื้อในหัวตัวเอง เล่าเรื่องที่ไท่ฮูหยินเชิญนายหญิงเซี่ยงพาเด็กๆ มาเป็นแขกที่จวนให้สวีลิ่งอี๋ฟัง
“พวกเขาไม่ได้มาที่นี่ง่ายๆ เจ้าต้องต้อนรับพวกเขาให้ดี” สวีลิ่งอี๋พูด “พี่สะใภ้สองก็อยู่ตัวคนเดียว สองสามปีนี้ลำบากนางแล้ว เราต้องทำให้คนสกุลเซี่ยงวางใจ”
จากคำพูดของสวีลิ่งอี๋ สืออีเหนียงรู้ว่าเขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับสวีลิ่งอานพี่สองของเขา แล้วฮูหยินสองก็ยังช่วยดูแลสถานการณ์โดยรวมตอนที่สกุลสวีลำบากมากที่สุด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สวีลิ่งอี๋ก็หวังว่าฮูหยินสองจะมีชีวิตที่ดี ความรู้สึกเช่นนี้นั้น นางพอจะเข้าใจ
“ท่านโหวไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ ข้ารู้ดี” สืออีเหนียงพยักหน้า นึกถึงคำพูดที่ไม่เหมาะสมของนายหญิงเซี่ยงและสายตาที่เฉียบแหลมของฮูหยินสอง นางจึงเล่าเรื่องที่สกุลเซี่ยงจะขายเรือนให้สวีลิ่งอี๋ฟัง “…ท่านคิดว่าควรจะไปแอบสืบดูหรือไม่ หากสกุลเซี่ยงมีเรื่องลำบากใจอะไร ท่านโหวก็คิดหาวิธีช่วยพวกเขาเถิด”
“ข้าพึ่งเคยได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก” สวีลิ่งอี๋พูดพึมพำ “สกุลเซี่ยงเป็นสกุลขุนนาง สองสามปีมานี้ใต้เท้าเซี่ยงนั้นมีอนาคตที่ราบรื่น คิดดูแล้ว ไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องเงินทอง” จากนั้นเขาก็เงยหน้าแล้วพูดว่า “ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง”
สองสามีภรรยาพูดคุยกันอีกสองสามประโยค หลังจากนั้นก็พักผ่อน
เช้าของวันต่อมา สืออีเหนียงสวมเสื้อผ้าฝ้ายสีขาว สวมกระโปรงไหมปักลายดอกสีแดง ม้วนผมมวยธรรมดา ประดับด้วยดอกจูฮวาหนึ่งคู่ เดินออกไปต้อนรับคุณนายใหญ่สกุลหลัว คุณนายสี่สกุลหลัว สือเอ้อร์เหนียงและซิวเกอที่ประตูฉุยฮวาแล้วพาพวกเขาไปยังเรือนศาลาริมน้ำฉุยหลุน
สวีซื่ออวี้และจุนเกอไปสำนักศึกษา เจินเจี่ยเอ๋อร์พาสวีซื่อเจี้ยรออยู่ที่เรือนศาลาริมน้ำฉุยหลุน เมื่อทุกคนพบหน้ากัน บรรยากาศก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ
สืออีเหนียงพาพี่สะใภ้ของตัวเองทั้งสองคนเดินดูรอบๆ เรือน
เรือนหลักสามห้องที่อยู่หลังเรือนศาลาริมน้ำฉุยหลุน ห้องปีกทางทิศตะวันตกทำเป็นห้องข้างใน ห้องปีกทางทิศตะวันออกทำเป็นห้องเก็บของ ห้องข้างหลังทำเป็นห้องหนังสือของสวีลิ่งอี๋ เปิดหน้าเรือนเอาไว้ สามารถมองเห็นสีภูเขาและสีฟ้าของแม่น้ำอี้ปี้
“ช่างเป็นสถานที่หลบร้อนที่ดี!” คุณนายใหญ่สกุลหลัวพยักหน้าชื่นชม
ฮูหยินห้าก็มาถึงพอดี
“ข้ากำลังยุ่ง แล้วยังไม่ทานเนื้อเจ้าค่ะ” นางยิ้มแล้วทักทายคนสกุลหลัว ลากสืออีเหนียงไปข้างๆ แล้วกระซิบบอกเสียงเบา “อย่าโมโหที่ข้าเสียมารยาทเลย”
สืออีเหนียงรู้ว่าช่วงนี้ไต้ซือจี้หนิงทำพิธีอยู่ที่เรือนของนาง จึงพยักหน้าซ้ำๆ บอกว่าเข้าใจดี “เจ้ามีเรื่องใหญ่ แต่แค่ไม่มีพวกเจ้า บรรยากาศก็ไม่ค่อยครึกครื้น”
“อีกสักสองสามวันข้าค่อยมารบกวนพี่สะใภ้สี่เจ้าค่ะ” ฮูหยินห้าพูดสองสามประโยค ทิ้งไหสุราของพระราชวังไว้สองไห และพูดคุยกับคุณนายสกุลหลัวอีกสองสามประโยค จากนั้นก็กลับเรือนไปกับป้ารับใช้
ฮูหยินสองประคองไท่ฮูหยินเดินเข้ามา
เห็นสุราที่ฮูหยินห้าทิ้งเอาไว้ ไท่ฮูหยินก็พยักหน้าเบาๆ พูดคุยสนทนากับคุณนายใหญ่และคุณนายสี่สกุลหลัว ส่วนสือเอ้อร์เหนียงและเจินเจี่ยเอ๋อร์พาซิวเกอและเจี้ยเกอไปเล่นที่ศาลาข้างเรือนศาลาริมน้ำฉุยหลุน
นายหญิงเซี่ยงก็พาบุตรสาวมาถึง
“ถือโอกาช่วงนี้อยู่ที่เยี่ยนจิง นายท่านพาอี้จยาไปเยี่ยมสหายเก่าที่รู้จัก ถือโอกาสให้คำแนะนำเขาเจ้าค่ะ” นางพูดอธิบายว่า เหตุใดบุตรชายของตนจึงไม่มาด้วย
“คนเป็นพ่อล้วนแต่อยากให้บุตรชายมีอำนาจไวๆ” ไท่ฮูหยินยิ้ม “อวี้เกอแลจุนเกอของเราวันนี้ก็ไปเรียนเช่นกัน” จากนั้นก็ถามถึงเซี่ยงอี้จยา “หรือว่าจะมีการเคลื่อนไหวในปีหน้า?”
ฤดูใบไม้ร่วงปีก่อนเซี่ยงอี้จยาได้สอบผ่านจอหงวนรอบแรก กลายเป็นบัณฑิตซิ่วไฉ
นายหญิงเซี่ยงพูดอย่างถ่อมตน “นายท่านเพียงบอกให้เขาลองดูเจ้าค่ะ” พูดด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ
“เช่นนั้นก็ต้องเตรียมตัว” ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้ม “มีสหายเก่าของใต้เท้าเซี่ยงคอยแนะนำ เด็กก็จะได้ไม่สับสน”
“เป็นเหมือนที่ไท่ฮูหยินพูดเจ้าค่ะ” นายหญิงเซี่ยงพูดคุยกับไท่ฮูหยิน ฮูหยินสอง คุณนายใหญ่และคุณนายสี่สกุลหลัวก็นั่งอยู่ข้างๆ ส่วนบรรดาคุณหนูต่างก็เข้ากันได้ดี ทักทายกันอย่างอ่อนโยน
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ พลางสังเกตน้ำชาและของว่าง
ถึงยามเที่ยง สวีซื่ออวี้และจุนเกอก็เลิกเรียนกลับมา จึงเริ่มตั้งโต๊ะสำรับสองโต๊ะที่ห้องโถงของเรือนศาลาริมน้ำฉุยหลุน
ทานข้าวกันอย่างครึกครื้น ป้าซ่งรับใช้สวีซื่ออวี้ จุนเกอและเจี้ยเกอไปพักผ่อนที่ห้องลี่จิ่งเซวียน เจี๋ยเซียงรับใช้เจินเจี่ยเอ๋อร์ สือเอ้อร์เหนียงและคุณหนูสกุลเซี่ยงทั้งสามคนไปพักผ่อนที่เรือนเสาหวา บรรดาผู้ใหญ่ก็ไปเล่นไพ่ที่ห้องโถงเรือนหลังของเรือนศาลาริมน้ำฉุยหลุน
คุณนายสี่สกุลหลัวไม่ยอมเล่น มอบที่นั่งให้กับฮูหยินสอง “พวกท่านไม่ค่อยได้เจอกัน ไม่เหมือนพวกข้า ไม่มีอะไรก็ไปมาหาสู่กันตลอด” จากนั้นก็ไปนั่งข้างไท่ฮูหยิน “ข้าช่วยไท่ฮูหยินดูไพ่ดีกว่า”
ไท่ฮูหยินเห็นว่านางพูดจาเป็นก็ชื่นชอบเป็นอย่างมาก จับมือคุณนายสี่ “ดี ดี ดี เจ้าช่วยข้าดูไพ่ เราจะชนะทั้งสามคนด้วยกัน”
ทุกคนได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะ จากนั้นก็พากันมานั่งล้อมวง
ระหว่างนั้นก็มีสาวใช้ยกผลไม้และของว่างเข้ามา
คุณนายสี่สกุลหลัวรับชามมาวางไว้ข้างไท่ฮูหยิน บอกให้สาวใช้พานางไปห้องชำระ แต่กลับขยิบตาส่งให้สืออีเหนียง