เมื่อปินจวี๋รับปากเรียบร้อยแล้ว สืออีเหนียงก็ได้ไปหาไท่ฮูหยิน แจ้งเรื่องที่ปินจวี๋จะมาเป็นผู้ชี้แนะให้เจินเจี่ยเอ๋อร์กับไท่ฮูหยิน
“ฝีมือการเย็บปักถักร้อยของปินจวี๋เป็นอย่างไร เจินเจี่ยเอ๋อร์เรียนไปถึงไหนแล้ว ไม่มีใครชัดเจนกว่าเจ้า” ไท่ฮูหยินยิ้มพร้อมกับพูดขึ้น “เจ้าตัดสินใจเองก็พอแล้ว”
เรื่องที่ปินจวี๋จะเข้าจวนจึงถูกกำหนดเป็นที่เรียบร้อย
เมื่อกลับถึงเรือน ป้าซ่งก็เข้ามารายงานว่า “โจวฮูหยินบอกว่าพรุ่งนี้จะไปจุดธูปบูชาที่วัดฉือหยวนเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงจึงลุกขึ้นและไปยังเรือนของไท่ฮูหยินอีกครั้ง
ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็ตอบกลับไปว่า “เช่นนั้นพรุ่งนี้ก็ให้คนติดตามเจ้าไปด้วยหลายๆ คนหน่อย”
สืออีเหนียงขานรับ จากนั้นก็ให้ป้าซ่งจัดเตรียมข้าวของเพื่อเตรียมตัวเดินทางในวันพรุ่งนี้
จุนเกอเลิกเรียนแล้ว ในมือของเขาถือขลุ่ยไม้ไผ่สีเขียวไว้หนึ่งเลา
“ท่านย่า! ท่านแม่!” เขาเดินเข้ามาทำความเคารพ จากนั้นก็นำขลุ่ยไม้ไผ่ที่อยู่ในมือมาให้ไท่ฮูหยินและสืออีเหนียงดู “อาจารย์จ้าวทำให้ข้าขอรับ”
ไท่ฮูหยินมองผ่านๆ จากนั้นก็หัวเราะเสียงเบาพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ฝีมือดีไม่น้อย!” เพื่อไม่ให้จุนเกอเสียน้ำใจ
จุนเกอได้ยินแล้วก็ดีใจเป็นอย่างมาก จากนั้นเขาก็เอียงขลุ่ยไม้ไผ่มาเป่าอยู่ครู่หนึ่ง “ท่านย่า ไพเราะหรือไม่ขอรับ!”
ไท่ฮูหยินรีบพยักหน้าพร้อมตอบกลับไปว่า “ไพเราะ ไพเราะ!”
จุนเกอได้ยินแล้วก็ยิ่งดีใจเข้าไปใหญ่ “อาจารย์จ้าวบอกว่า ฝึกวันละนิดวันละหน่อยทุกๆ วัน ขยันหมั่นเพียรและอดทน ก็จะสามารถเป่าเป็นบทเพลงที่ไพเราะได้”
“มีเหตุผล มีเหตุผล” ไท่ฮูหยินเห็นด้วย “ถึงเวลานั้นพวกเราจะรอจุนเกอเอ๋อร์เป่าบทเพลงที่ไพเราะให้ฟัง!”
จุนเกอรีบพยักหน้าทันที “อาจารย์จ้าวบอกว่าข้าเรียนรู้เร็วมาก ผ่านไปอีกสักสองสามวันก็คงจะสามารถเป่าเป็นบทเพลงให้ท่านย่าและท่านแม่ฟังได้แล้วขอรับ”
ฟังจากน้ำเสียงที่เขาพูดถึงอาจารย์จ้าวแล้ว ดูออกว่าเขาชื่นชอบอาจารย์จ้าวเป็นอย่างมาก
ไท่ฮูหยินมองเห็นหมดทุกอย่าง ค่อยๆ พยักหน้าเบาๆ รอจุนเกอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ไท่ฮูหยินก็หันมากุมมือสืออีเหนียงพร้อมกับทอดถอนใจว่า “ยังดีที่มีจิ้วเหยีย มิฉะนั้นจะไปหาอาจารย์เช่นนี้ได้จากที่ไหนกัน”
ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น ก็มีสาวใช้เข้ามาเรียนว่า “คุณนายใหญ่สกุลหลัวที่ตรอกกงเสียนมาเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็รีบพูดขึ้นว่า “รีบเชิญเข้ามา รีบเชิญเข้ามา!”
สืออีเหนียงเดินออกไปรับคุณนายใหญ่สกุลหลัวเข้ามา
“…มามอบพัดกลมและเสื่อไม้ไผ่สานให้คุณหนูสิบเอ็ดของเราเจ้าค่ะ”
หากหญิงสตรีในจวนแต่งงานออกเรือนในปีแรก ตามประเพณีของทางตอนใต้ จะต้องมอบพัดกลมและเสื่อไม้ไผ่สาน จวนสกุลสวีมีครบหมดทุกอย่างไม่ได้ขาดเหลืออะไร จวนสกุลหลัวจึงมอบพัดกลมห้าอันและเสื่อไม้ไผ่สานห้าผืน
ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็รีบสั่งให้ป้าตู้ไปรับของมา จากนั้นก็เชื้อเชิญให้คุณนายใหญ่สกุลหลัวอยู่ทานข้าวด้วย แล้วจึงให้เว่ยจื่อไปเชิญอวี้เกอมากล่าวทักทายป้าสะใภ้ บรรยากาศจึงดูมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก
คุณนายใหญ่สกุลหลัวก็ถือโอกาสนี้บอกข่าวคราวให้แก่สืออีเหนียง “พี่สะใภ้สี่ของเจ้ามีข่าวดี”
ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วใบหน้าก็เต็มไปด้วยความยินดี “ดีแล้ว ดีแล้ว! จะต้องเป็นเด็กที่ฉลาดว่านอนสอนง่ายอย่างแน่นอน” ไท่ฮูหยินค่อนข้างมีความรู้สึกที่ดีต่อคุณนายสี่เป็นอย่างมาก
แต่สืออีเหนียงกลับนึกถึงตี้จิ่นขึ้นมา…แต่แล้วนางก็รีบสลัดความคิดนี้ทิ้งไป ไถ่ถามสถานการณ์ของคุณนายสี่ขึ้นมา
“ก็ปกติดี” คุณนายใหญ่สกุลหลัวตอบกลับด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม จากนั้นทุกคนก็พากันไปยังห้องปีกทิศตะวันออก
หลังจากที่ทานอาหารเที่ยงเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไท่ฮูหยินก็ไปพักผ่อน ส่วนคุณนายใหญ่สกุลหลัวก็ได้ไปหาสืออีเหนียงต่อ
เจินเจี่ยเอ๋อร์กลับไปที่เรือนของฮูหยินสองแล้ว เหวินอี๋เหนียงและหู่พั่วยังคงตรวจทานบัญชีอยู่
คุณนายใหญ่สกุลหลัวเห็นแล้วก็ชะงักไปทันที
สืออีเหนียงจึงหันไปยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “งานทุกๆ อย่างไม่สามารถเสร็จได้ในวันเดียว เหวินอี๋เหนียงไปทานอาหารเที่ยงก่อน นอนพักตอนบ่ายเสียหน่อย ตื่นแล้วค่อยมาตรวจต่อก็ยังไม่สาย” จากนั้นก็ได้แนะนำเหวินอี๋เหนียงให้กับคุณนายใหญ่สกุลหลัวอย่างเป็นทางการ
ในตอนแรกเหวินอี๋เหนียงตั้งใจจะทำตั้งแต่ต้นจนจบให้เสร็จในคราวเดียว แต่พอเห็นว่าสืออีเหนียงมีแขก จึงยิ้มขึ้นพร้อมกับย่อตัวทำความเคารพให้กับคุณนายใหญ่สกุลหลัว แล้วจึงถอยออกไป
คุณนายใหญ่สกุลหลัวก็ได้ถามขึ้นเสียงเบาว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงตอบกลับด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “ข้าแค่ให้เหวินอี๋เหนียงมาช่วยตรวจบัญชี”
“เจ้าอย่าได้เลอะเลือนเป็นอันขาดเชียว” คุณนายใหญ่สกุลหลัวไม่ได้คิดเช่นนั้น “ค่าใช้จ่ายในจวนจะให้นางรู้เรื่องได้อย่างไรกัน”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงพูดขึ้น “งานด้านนี้เป็นงานถนัดของนาง แบ่งงานให้นางทำบ้าง ข้าเองก็จะได้สบายขึ้นและนางเองก็ชอบด้วย” สืออีเหนียงไม่อยากจะพูดเรื่องนี้ต่อ จึงยิ้มพร้อมกับเปลี่ยนเรื่องสนทนา “ช่วงนี้อี๋เหนียงห้าเป็นอย่างไรบ้าง ตอนไปส่งมอบของขวัญครั้งที่แล้วข้าเองก็ได้ให้ป้าซ่งส่งไปกล่าวทักทายอี๋เหนียง ได้ยินมาว่าท้องโตแล้ว ในจวนมีคนท้องถึงสองคน ลำบากพี่สะใภ้ใหญ่แล้ว!”
“ลำบากอะไรกันเล่า!” คุณนายใหญ่สกุลหลัวยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ทางฝั่งอี๋เหนียงมีอี๋เหนียงหกคอยดูแลอยู่แล้ว ส่วนทางพี่สะใภ้สี่ของเจ้าก็มีมารดา สาวใช้และป้ารับใช้คอยดูแล” จากนั้นก็พูดต่อไปว่า “ข้ามาหาเจ้าครั้งนี้ ก็เพราะมีเรื่องจะคุยกับเจ้า”
สืออีเหนียงเห็นใบหน้าของนางเต็มไปด้วยสีหน้าจริงจัง จึงเชิญคุณนายใหญ่สกุลหลัวไปนั่งที่ห้องชั้นใน
“ความคิดของท่านพ่อก็คือหลังจากผ่านช่วงฤดูร้อนนี้ไปแล้ว จะเตรียมตัวย้ายกลับไปที่อวี๋หัง” นางพูดขึ้น “ถึงเวลานั้นนอกจากข้าและซิวเกอ คนอื่นๆ จะย้ายกลับไปที่อวี๋หังจนหมด”
ถึงแม้ว่าจะเตรียมใจไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ แต่พอมาได้ยินข่าวคราวสืออีเหนียงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจ “ท่านแม่ยังป่วยล้มหมอนนอนเตียง อี๋เหนียงและพี่สะใภ้สี่ก็กำลังตั้งท้องอยู่ ทำไมท่านพ่อถึง…”
คุณนายใหญ่สกุลหลัวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างสงบว่า “เมื่อก่อนตอนที่ท่านพ่อยังรับตำแหน่งอยู่ เขามีจิตใจที่กว้างขวางไม่เคยเพิกเฉยต่อความทุกข์ยากของชาวบ้าน ทำมาค้าขายก็รุ่งเรือง แต่หลายปีมานี้ รายรับกลับมากกว่ารายจ่าย ครอบครัวใหญ่ทั้งครอบครัวมาพักอาศัยอยู่กลางเมืองเยี่ยนจิงเช่นนี้ ค่าใช้จ่ายมันมากจนเกินไป อีกอย่างท่านพ่อก็ทำใจได้แล้ว ตอนที่หลิ่วเก๋อเหล่ายังเป็นขุนนางฝ่ายใน เคยขัดแย้งและต่อต้านเฉินเก๋อเหล่ากับเหลียงเก๋อเหล่า หากคิดอยากกลับเข้าสู่ราชสำนักอีกครั้ง ก็ต้องรอให้เฉินเก๋อเหล่าและเหลียงเก๋อเหล่าลาออกจากราชสำนักไปเท่านั้น ปีนี้เฉินเก๋อเหล่าอายุยังไม่ถึงห้าสิบ และเหลียงเก๋อเหล่าก็อายุมากกว่าเฉินเก๋อเหล่าเพียงไม่กี่ปี ไม่รู้ว่าจะต้องรอจนไปถึงเมื่อไร ดังนั้นจึงตัดสินใจจะกลับบ้านเกิด”
เรื่องนี้สืออีเหนียงไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไรนัก จึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ครุ่นคิดว่า “รอท่านโหวกลับมาแล้วค่อยปรึกษาหารือดีหรือไม่”
“ไม่ต้องแล้ว!” คุณนายใหญ่สกุลหลัวพูดขึ้น “ท่านพ่อให้ข้ามาบอกเจ้า ก็เพราะกลัวว่าเจ้าจะให้ท่านโหวออกหน้า” พูดจบนางก็แสดงสีหน้าที่เก้อเขินออกมา “ท่านพ่อบอกว่าหากเจ้าเป็นกังวลใจ สู้ให้ท่านโหวหาตำแหน่งดีๆ สักตำแหน่งให้พี่ใหญ่ของเจ้า วันข้างหน้าเจ้าและจุนเกอก็จะได้มีที่พึ่งพิงด้วย”
นายท่านใหญ่สกุลหลัวคงคิดจะเสียสละตัวเองเพื่อประโยชน์ส่วนรวม อีกอย่างหากนายท่านใหญ่สกุลหลัวยังคิดที่จะเป็นขุนนางในราชสำนักต่อ ไม่แน่อาจจะส่งผลกระทบต่อการเลื่อนขั้นของหลัวเจิ้นซิ่งก็เป็นได้
สืออีเหนียงจึงรีบพูดขึ้นว่า “พี่สะใภ้วางใจได้ ข้าจะต้องพูดเรื่องนี้กับท่านโหวอย่างแน่นอน”
สิ่งที่คุณนายใหญ่สกุลหลัวควรจะพูดก็ได้พูดออกจากปากไปแล้ว นางจึงยิ้มพร้อมกับยกชาขึ้นมาจิบ พูดคุยกับสืออีเหนียงอยู่ครู่หนึ่งก็ขอตัวลากลับ
ตกบ่ายเหวินอี๋เหนียงมาถึงตรงเวลา สืออีเหนียงก็ได้ถามนางว่า “เจ้ากับหู่พั่วทำทันหรือเปล่า เรียกสาวใช้ให้มาช่วยสักคนหรือไม่”
เหวินอี๋เหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “หากสามารถให้สาวใช้มาช่วยสักคนก็จะดีมาก แต่หากว่าหาคนที่เหมาะสมมาไม่ได้ กว่าจะเสร็จก็คงจะใช้เวลาราวสองวัน เพียงแต่ไม่รู้ว่าฮูหยินรีบหรือไม่ หากว่ารีบ ก็ขอให้แม่นางหู่พั่วลำบากหน่อย กลางคืนมาตรวจหนังสือบัญชีกับข้าอีกสักรอบ ก็คงจะสามารถตามทันค่าใช้จ่ายในช่วงนี้ได้แล้วเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงชอบความคิดและทัศนคติของเหวินอี๋เหนียงเป็นอย่างมาก จึงพูดล้อเล่นแกมจริงจังว่า “สาวใช้ในเรือนของข้าเจ้าเลือกได้ตามใจชอบ ถึงเวลาจะได้ไม่บ่นข้าว่าไม่มีคนช่วย!”
แววตาประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเหวินอี๋เหนียง
สืออีเหนียงหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็ได้เรียกจู๋เซียงเข้ามา “เป็นเพื่อนเหวินอี๋เหนียงไปเลือกสาวใช้สักหน่อย!” จากนั้นก็ได้เข้าไปนอนพักผ่อนในห้องชั้นใน
เหวินอี๋เหนียงจ้องมองเงาแผ่นหลังของสืออีเหนียงด้วยสีหน้าที่ครุ่นคิด
หลังจากที่สืออีเหนียงนอนตื่น ก็ปาเข้าไปยามเซินแล้ว เมื่อรู้ว่าตอนนี้ปินจวี๋กำลังสอนเจินเจี่ยเอ๋อร์ปักผ้าอยู่ที่เรือนศาลาริมน้ำ ส่วนเหวินอี๋เหนียงนั้นได้ซิ่วหลานไปเป็นคนช่วยงาน สืออีเหนียงจึงพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็เลือกชุดที่จะใส่ไปวัดฉือหยวนในวันพรุ่งนี้กับจู๋เซียง
เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น สืออีเหนียงมวยผมทรงสูง คาดด้วยที่คาดผมประดับมุก สวมเสื้อผ้าแพรหังโฉวสีเขียว กระโปรงลากพื้นผ้าแพรหังโฉวสีขาวยาวหนึ่งฉื่อปักด้วยลายแมลงสีทอง ที่ข้อมือสวมด้วยสร้อยข้อมือไข่มุกที่ไท่ฮูหยินเคยมอบให้ก่อนหน้านี้ สืออีเหนียงเข้าไปคารวะไท่ฮูหยินก่อน จากนั้นก็ได้พาหู่พั่ว ลี่ว์อวิ๋น สาวใช้น้อยและแม่เฒ่าราวเจ็ดแปดคน เดินทางไปยังวัดฉือหยวน
จวนสกุลโจวได้ปิดประตูหลังตำหนักต้าสยงเป่าตั้งแต่แรกแล้ว เมื่อเห็นรถม้าของจวนสกุลสวีมา ถึงแม้ว่าจะไม่สะดุดตาเท่าไรนัก แต่คนที่บังคับรถม้าและแม่เฒ่าที่ติดตามมาด้วยต่างนั่งอย่างอกผายไหล่ผึ่ง ไม่เหมือนชาวบ้านปกติทั่วไป จึงรีบเข้าไปสอบถามโดยทันที เมื่อรู้ว่าเป็นรถม้าจากจวนสกุลสวี ก็มีคนที่แต่งตัวค่อนข้างดีมาเชื้อเชิญทุกคนไปยังลานที่มีเรือนเล็กๆ หลังเขา
ในลานเต็มไปด้วยดอกมะลิ แต่เพราะยังไม่ใช่เวลาบาน จึงเห็นเป็นสวนพุ่มไม้ที่เขียวขจี พลอยทำให้ผู้คนชื่นชอบเป็นอย่างมาก
โจวฮูหยินได้เตรียมสุราน้ำค้างกิ่งทองเอาไว้ จากนั้นก็เชื้อเชิญสืออีเหนียงไปนั่งที่เบาะรองนั่งสีแดงสดที่นำมาเองบนเตียงหลัวฮั่นสีดำเงา
“เกรงว่ากว่าพวกเขาจะมาถึงก็คงจะเป็นช่วงบ่ายแล้ว นานๆ ทีเราจะมีเวลาว่างเช่นนี้ เราก็ใช้เวลาว่างพักผ่อนให้เต็มที่ดีกว่า” บนโต๊ะเล็กมีถาดไม้สีแดงสดลายเส้นสีทอง ในถาดจัดวางไปด้วยตีนห่านตุ๋น ปลาเงินทอด อกเป็ดรมควัน ข้อศอกหมูตุ๋นซีอิ๊วและกับแกล้มอื่นๆ อีกทั้งยังเตรียมตะเกียบไม้มะเกลือสองคู่ และถ้วยทรงระฆังลายดอกบัวสีทองอีกสองใบ
นางรินสุราถ้วยหนึ่งให้สืออีเหนียงด้วยตัวเอง
สืออีเหนียงกล่าวขอบคุณ จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้าดื่มสุราไม่ค่อยเก่ง ประเดี๋ยวยังต้องเจอแขกอีกด้วย จึงไม่กล้าดื่มเยอะ”
โจวฮูหยินได้ยินแล้วก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “สุรานี้ไม่ค่อยแรงเท่าไรนัก ยังไม่สู้สุราจินหวาเสียด้วยซ้ำ มิเช่นนั้นข้าจะนำมาต้อนรับเจ้าได้อย่างไรกัน” จากนั้นนางก็ยกถ้วยสุราขึ้นมาดื่มรวดเดียวจนหมด
สืออีเหนียงยิ้มขึ้นพลางยกขึ้นมาจิบไปหนึ่งคำ
โจวฮูหยินเองก็ไม่อยากจะบังคับ ทั้งคู่จึงพากันพูดคุยถึงเรื่องของจวนสกุลหวังขึ้นมา
สืออีเหนียงจึงพึ่งจะรู้ว่าตอนนี้จวนสกุลหวังมีทั้งหมดหกเรือนใหญ่ ผู้คนในครอบครัวจำนวนสองร้อยกว่าคนอาศัยอยู่ร่วมกัน มารดาของโจวฮูหยินได้เสียชีวิตไปแล้ว พี่สะใภ้ใหญ่ก็สุขภาพร่างกายไม่ค่อยดี เอาแต่ป่วยล้มหมอนนอนเสื่อตลอดทั้งปี ญาติพี่น้องที่ยังไปมาหาสู่ก็มีแค่พี่ชายของโจวฮูหยิน ทายาทของเจิ้นหนานโหวเท่านั้น
มิน่าเล่าถึงได้ไม่เคยเห็นเหล่าบรรดาหญิงสตรีในครอบครัวตระกูลเจิ้นหนานโหวเลย
ทั้งสองคุยกันอยู่ครึ่งค่อนวันเห็นจะได้ โจวฮูหยินดื่มสุราไปราวเจ็ดแปดถ้วย แต่สืออีเหนียงยังเหลือสุราอีกเจ็ดแปดส่วนของถ้วย โจวฮูหยินกำลังหัวเราะที่สืออีเหนียงระมัดระวังตัวจนเกินไป ก็มีสาวใช้น้อยเข้ามาเรียนว่า “คุณชายสิบหกกับคุณชายสิบเก้ามาจุดธูปไหว้พระที่วัดฉือหยวน ได้ยินมาว่าฮูหยินอยู่ที่นี่ด้วย จึงอยากจะมาคารวะฮูหยินสักหน่อยเจ้าค่ะ”
“ให้พวกเขาเข้ามาเถิด!” โจวฮูหยินหันไปสั่งให้สาวรับใช้คนสนิทให้เก็บโต๊ะพลางหันไปบ่นกับสืออีเหนียงว่า “ทำไมถึงมาเร็วขนาดนี้นะ!”
สาวใช้คนสนิทของโจวฮูหยินเป็นคนที่ฉลาดและหัวไวเป็นอย่างมาก เมื่อได้ยินแล้วนางก็ยิ้มพร้อมตอบกลับไปว่า “คงเพราะใจร้อนกระมังเจ้าคะ”
โจวฮูหยินได้ยินแล้วก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมา
สืออีเหนียงก็ถอยไปยังหลังฉากบานพับที่ตั้งอยู่หลังเตียงหลัวฮั่น
ไม่นาน ด้านนอกก็มีเสียงของชายหนุ่มสองคนดังขึ้น “หลานหวังหยวน หลานหวังเจ๋อ ขอเข้าพบท่านอาหญิงขอรับ”
“เข้ามาเถิด!” โจวฮูหยินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
สืออีเหนียงแอบมองผ่านช่องว่างของฉากบานพับ
ชายสองคนที่เข้ามาทำความเคารพโจวฮูหยิน คนหนึ่งสวมชุดจื๋อตัวผ้าแพรหังโฉวสีเหลืองนวล อายุประมาณสิบเจ็ด สิบแปดปี ส่วนอีกคนสวมชุดจื๋อตัวผ้าแพรหังโฉวสีน้ำเงินสด อายุประมาณสิบห้า สิบหกปี รูปร่างปานกลาง ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย เค้าโครงใบหน้ามีความคล้ายกับโจวฮูหยินเล็กน้อย กิริยาอ่อนโยนและสง่างาม ท่าทีสงบและสำรวม
ถึงแม้ว่าจะนัดแนะกันแล้ว แต่ก็ยังต้องพูดไปตามสถานการณ์
โจวฮูหยินจึงได้ถามถึงเรื่องเกี่ยวกับที่บ้านขึ้นมา
คนที่อายุน้อยกว่าพูดจาค่อนข้างน้อยคำ หวงคำพูดประดุจทองคำ คนที่อายุมากกว่ากลับอ่อนโยนและมีมารยาท โต้ตอบฉะฉานชัดเจน ไม่เพียงเท่านั้น ในขณะที่คนอายุน้อยกว่าไม่รู้จะพูดอะไร เขาก็จะชวนโจวฮูหยินคุยด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม ท่าทีกระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวา จึงทำให้สืออีเหนียงค่อนข้างรู้สึกประทับใจ
รอให้ทั้งสองขอตัวลากลับเสร็จเรียบร้อยแล้ว สืออีเหนียงก็ได้ถามขึ้นว่า “คนไหนหวังหยวน คนไหนหวังเจ๋อหรือ”