อี๋เหนียงห้าได้ยินแล้วก็ตกใจเป็นอย่างมาก รีบหันไปมองสืออีเหนียงด้วยสีหน้าแววตาที่ประหลาดใจ “คุณหนูสิบเอ็ด…หาคู่หมั้นหมายให้คุณหนูสิบสองหรือ”
เรื่องนี้ยังไม่ทันจะได้ตรวจสอบดวงชะตาของทั้งสองฝ่าย สืออีเหนียงจึงไม่อยากให้อี๋เหนียงห้าเป็นกังวลใจ แต่ตอนนี้อี๋เหนียงหกขอร้องทั้งน้ำตาแบบนี้ สืออีเหนียงจึงตัดสินใจเล่าเรื่องนี้ให้อี๋เหนียงห้าฟังอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ “…ข้าเห็นว่าตระกูลนั้นค่อนข้างใช้ได้ทีเดียว ก็เลยพูดเรื่องนี้กับพี่สะใภ้ใหญ่”
“นายหญิงใหญ่เห็นด้วยแล้วหรือ” อี๋เหนียงห้าได้ยินแล้วก็ถามด้วยน้ำเสียงที่แปลกใจ
แต่ดูจากสีหน้าท่าทีของอี๋เหนียงหกแล้ว นายหญิงใหญ่คงจะไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน
แต่ยังไม่ทันที่สืออีเหนียงจะได้ตอบ อี๋เหนียงหกก็ได้พูดขึ้นว่า “นางเอาแต่พูดว่าคุณหนูสิบสองอายุยังน้อย ก็เลยไม่เห็นด้วยกับการหาคู่หมั้นหมายในครั้งนี้” พูดขึ้นด้วยน้ำตาที่เอ่อล้น “ตระกูลขาวสะอาด เป็นถึงบุตรชายคนโต มีชื่อเสียงเรียงนาม อีกทั้งยังสุภาพเรียบร้อย คู่หมั้นเช่นนี้จะไปหาที่ไหนได้อีก อ้างว่าคุณหนูสิบสองอายุยังน้อย แต่บ้านไหนเล่าที่หาคู่หมั้นเสร็จสรรพเรียบร้อยได้ในคราวเดียวกัน กว่าสามสื่อหกพิธีจะเสร็จสิ้น อย่างน้อยๆ ก็ต้องใช้เวลาสามถึงสี่ปีถึงจะได้ ถึงตอนนั้นคุณหนูสิบสองก็ต้องเข้าพิธีปักปิ่นผมอายุครบสิบห้าพอดี เป็นช่วงเวลาที่จะต้องแต่งงานออกเรือนแล้ว” จากนั้นก็ได้พูดต่อไปว่า “นายท่านใหญ่เคยพูดไว้แล้ว รอหมดฤดูร้อนนี้ก็จะย้ายกลับไปที่เมืองอวี๋หัง หากว่าออกจากเมืองเยี่ยนจิงแล้ว จะหาคนที่มีพื้นหลังครอบครัวและนิสัยใจคอเช่นคุณชาย ย่อมยากกว่าการขึ้นสวรรค์เสียด้วยซ้ำ ที่นางไม่ยอมรับปากก็เพราะเป็นว่าดูหมิ่นดูแคลนที่คุณชายเป็นแค่กิ่งก้านสาขา มิใช่สายเลือดโดยตรง สมบัติก็ไม่ได้มากมายเท่าไรนัก วันข้างหน้าหากคุณหนูสิบสองแต่งงานออกเรือนไปแล้ว หนึ่งคือไม่สามารถช่วยเหลือด้านเงินได้ สองคือไม่มีชื่อเสียงเรียงนามพอ ดูจากงานแต่งงานของคุณหนูคนอื่นๆ ในจวนเราก็รู้แล้ว…” เมื่อคำพูดถูกพูดออกไปแล้ว ก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีสืออีเหนียงอยู่ด้วย จึงรีบกลืนคำพูดที่เหลือลงคอไป แต่ในใจก็ยังรู้สึกไม่พอใจอยู่ดี จึงได้บ่นต่อไปว่า “หรือว่าจะทำเหมือนเช่นคุณหนูสิบ เพียงแค่อีกฝ่ายร่ำรวยและมีชื่อเสียงเรียงนาม ก็ไม่สนใจว่านางจะเป็นหรือจะตาย!”
สิ่งที่อี๋เหนียงหกพูดมานั้น ล้วนเป็นสิ่งที่สืออีเหนียงเป็นกังวลใจทั้งสิ้น
บุตรสาวนำมาใช้เพื่อเกี่ยวดอง ที่ตนช่วยแนะนำคู่ครองให้สือเอ้อร์เหนียงครั้งนี้ สำหรับสือเอ้อร์เหนียงแล้วถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด แต่สำหรับจวนสกุลหลัวแล้ว ไม่มีผลประโยชน์อะไรเลย หากพูดถึงการเอื้อประโยชน์ที่แท้จริง หวังเจ๋อไม่ได้เป็นสายเลือดโดยตรง จะไปเทียบสวีลิ่งอี๋แห่งจวนหย่งผิงโหวได้อย่างไรกันเล่า หากจะพูดถึงเรื่องชื่อเสียงเรียงนาม หวังเจ๋อคือบัณฑิตซิ่วไฉที่ทำงานในจวนเจิ้นหนานโหวเท่านั้น จะสู้ชื่อเสียงเรียงนามของบัณฑิตจู่เหรินได้อย่างไรกัน
แต่ตนก็ถือว่าเป็นบุตรีที่แต่งงานออกเรือนไปแล้ว เรื่องในสกุลเดิมทำได้แค่เสนอแนะเท่านั้น ไม่มีอำนาจในการตัดสินใจใดๆ ทั้งสิ้น
สืออีเหนียงจึงหันไปส่งสายตาให้กับอี๋เหนียงหก “คุณชายหวังยังมีน้องชายบิดามารดาเดียวกันอีกหนึ่งคน เขาสอบบัณฑิตซิ่วไฉได้ตั้งแต่อายุแค่สิบสอง เป็นลูกหลานของจวนเจิ้นหนานโหว ข้าเองก็รู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก ตอนแรกหากไม่ใช่เพราะท่านลุงของคุณชายหวัง ป่านนี้คุณชายหวังก็คงสู่ขอหลานสาวของอาสะใภ้เขาตั้งนานแล้ว อี๋เหนียงหกไม่ลองไปพูดเรื่องนี้กับท่านพ่อและพี่ใหญ่ดู พวกเขาคงมีความคิดของพวกเขาต่างหาก”
“แบบนี้…จะมีประโยชน์หรือ” อี๋เหนียงหกพูดขึ้นด้วยความสงสัย “หากเป็นเช่นนี้ สู้บอกไปว่าเจ้าอยากจะตีสนิทกับโจวฮูหยิน ก็เลยแนะนำคุณหนูสิบสองให้ไปแต่งงานด้วย ไม่ฟังดูน่าเชื่อถือมากกว่าหรือ”
ถึงแม้ว่าอี๋เหนียงหกจะฉลาดหลักแหลม แต่ชีวิตประจำวันถูกจำกัดประสบการณ์การใช้ชีวิต การคิดพิจารณาจึงค่อนข้างคับแคบ เวลาจะอธิบายให้เข้าใจจึงค่อนข้างยากลำบากไม่น้อย
สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “อี๋เหนียงหกลองไปพูดตามที่ข้าพูดดู หากไม่สำเร็จ ค่อยบอกว่าเพราะข้าอยากจะตีสนิทกับโจวฮูหยินก็ยังไม่สาย!”
อี๋เหนียงหกยังคงลังเลเล็กน้อย สืออีเหนียงจึงยิ้มพร้อมกับพูดต่อไปว่า “ทว่า หากการหมั้นหมายครั้งนี้สำเร็จลุล่วงได้ ยังมีบางเรื่องที่ข้าต้องย้ำเตือนอี๋เหนียงหกก่อน ถึงแม้ว่าครอบครัวของคุณชายหวังจะไม่ได้ร่ำรวยเท่าไรนัก แต่เขาเลือกที่จะไม่รับการช่วยเหลือจากนายท่านของเจิ้นหนานโหว ถึงเวลานั้นเกรงว่าคงจะไม่ยอมรับการช่วยเหลือจากบ้านญาติฝ่ายภรรยาด้วย ชื่อเสียงเรียงนามของเขาคงจะหยุดแค่ตรงนี้แล้ว ลูกเขยเช่นนี้…”
“คุณหนูสิบเอ็ด” อี๋เหนียงหกพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่จริงจัง “สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญที่สุดก็คือความเหมาะสมของสถานะทางสังคมทั้งคู่ หากว่าฐานะทางครอบครัวของคุณชายหวังผู้นั้นร่ำรวย หรือไม่ก็ยอมรับการช่วยเหลือจากผู้อื่น คุณหนูสิบสองของเราจะมีโอกาสนี้ได้อย่างไรกัน” นางหันไปมองสืออีเหนียงด้วยสีหน้าแววตาที่จริงใจ “เหตุผลข้อนี้ พวกข้ารู้และเข้าใจดี”
สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็พยักหน้าเบาๆ พลางยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เช่นนั้นเราก็รอฟังข่าวดีจากโจฮูหยินก็แล้วกัน หากเรื่องนี้สำเร็จลุล่วงได้ ถึงเวลานั้นเกรงว่าคงจะต้องโน้มน้าวสือเอ้อร์เหนียงด้วย”
“ถึงแม้ว่าคุณหนูสิบสองจะเทียบไม่ได้กับคุณหนูสิบเอ็ด” อี๋เหนียงหกพูดขึ้นอย่างถ่อมตน “อย่างไรก็ตามพวกข้าก็รู้และเข้าใจ ไม่ว่าเรื่องนี้จะสำเร็จหรือไม่ พวกข้าก็รับรู้ได้ถึงความหวังดีของคุณหนูสิบเอ็ดเป็นอย่างดี”
เมื่อสืออีเหนียงได้ยินคำพูดประโยคนี้จากอี๋เหนียงหก ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมามาก หลังจากที่ทานอาหารเที่ยงที่จวนสกุลเดิมเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เดินทางกลับไปยังเหอฮวาหลี่
เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น คุณนายใหญ่สกุลหลัวก็ได้มาหาสืออีเหนียงที่เรือน
“หากว่าทางจวนสกุลหวังเองก็มีเจตนาเช่นนี้ จะมีอะไรให้พูดอีกเล่า ถึงเวลานั้นก็รบกวนคุณหนูมาช่วยพูดคุยก็แล้วกัน”
ดูจากสถานการณ์ จวนสกุลหลัวคงได้พิจารณาข้อดีข้อเสียของการแต่งงานในครั้งนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว
เมื่อสืออีเหนียงทราบเรื่องนี้ ก็ได้เชื้อเชิญให้คุณนายใหญ่สกุลหลัวอยู่ทานอาหารเที่ยงด้วยกัน จากนั้นก็ได้เดินไปส่งที่ประตูฉุยฮวาด้วยตัวเอง
พอตกบ่ายโจวฮูหยินก็ได้เดินทางมาหาสืออีเหนียง
“แม่สื่อสองบ้านอย่างข้าจะชักจูงได้สำเร็จลุล่วงหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับคำพูดของเจ้าแล้ว”
ความหมายก็คือจวนสกุลหวังไม่มีความคิดเห็นแตกต่าง
ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่น่ายินดีโดยแท้
สืออีเหนียงจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้ากำลังคิดอยู่ว่าจะทำรองเท้าแบบไหนให้พี่หญิงโจวดีเจ้าค่ะ”
โจวฮูหยินได้ยินแล้ว ใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีหน้าดีอกดีใจ จากนั้นนางก็ถอนหายใจพูดขึ้นว่า “สายตาของพี่สะใภ้ข้าไม่ค่อยดีแล้ว ในจวนขาดสตรีที่จะคอยควบคุมดูแลอาหารการกินรวมไปถึงการหุงต้ม ในตอนแรกข้ายังนึกเป็นกังวลใจว่าน้องสิบสองของเจ้าอายุน้อยไปเสียหน่อย แต่นึกไม่ถึงเลยว่าพี่สะใภ้ข้าจะไปกังวลใจว่าหลายปีมานี้ไม่ได้เก็บหอมรอมริบเงินทองเลย หากจะจัดงานเลยทันที ก็จะดูต้อยต่ำไม่สมศักดิ์ศรีไปหน่อย เปรียบดั่งคำที่ว่าไว้ว่าการแต่งงานนั้นเกิดขึ้นจากด้ายแดงเพียงเส้นเดียวที่เชื่อมโยงระหว่างคู่รัก แม้จะห่างกันถึงพันลี้ก็ตาม”
สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับพยักหน้าเห็นด้วยเบาๆ จากนั้นก็ไปที่เรือนของไท่ฮูหยินพร้อมกับโจวฮูหยิน
ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็ดีใจเป็นอย่างมาก “ไม่มีเรื่องไหนที่เป็นไปไม่ได้จริงๆ”
โจวฮูหยินยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “พี่สะใภ้ข้ายังนั่งรอข้ากลับไปบอกข่าวดีอยู่! อีกสองสามวันข้าค่อยมารบกวนท่านใหม่ วันนี้ข้าจะกลับไปทานข้าวที่บ้านพี่สะใภ้ก่อนเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็หัวเราะเบาๆ ไม่ได้รั้งให้นางอยู่ต่อ แต่กลับถามถึงเรื่ององค์หญิงฝูเฉิงแทน “…ช่วงนี้ทำอะไรอยู่ที่จวนหรือ”
“ถูกฟังเจี่ยเอ๋อร์วุ่นวายไม่เว้นแต่ละวัน ทุกวันนี้ก็ช่วยฟังเจี่ยเอ๋อร์ให้อาหารแมวแทบทุกวัน!”
“ให้อาหารแมว?”
โจวฮูหยินยิ้มพร้อมกับตอบกลับไปว่า “ตอนเทศกาลวันปีใหม่ รุ่นพี่ผู้อาวุโสของญาติข้าที่เป็นผู้ว่าการมณฑลฝูเจี้ยนได้มอบแมวมาให้สองตัว เป็นแมวสีขาวทั้งคู่ ตาข้างหนึ่งเป็นสีฟ้าส่วนตาอีกข้างเป็นสีเขียว ฟังเจี่ยเอ๋อร์หวงแหนเป็นอย่างมาก เป็นห่วงว่าคนรอบข้างจะป้อนอาหารไม่ดี ก็เลยไปป้อนอาหารด้วยตัวเอง หลายวันก่อนนางติดตามองค์หญิงไปเที่ยวในวังด้วย แต่จู่ๆ ก็เกิดตุ่มพุพองขึ้นเต็มตัว ทานยาไปครึ่งค่อนเดือนก็ยังไม่ดีขึ้น องค์หญิงก็เลยสงสัยว่าแมวเป็นต้นเหตุหรือเปล่า ก็เลยตัดสินใจมอบให้ผู้อื่นไป ฟังเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินแล้วก็โวยวายให้ตายก็ไม่ยอมอย่างเด็ดขาด องค์หญิงก็เลยจนปัญญา สุดท้ายจึงดึงตัวสาวใช้ออกมาสองคนให้มาช่วยนางป้อนอาหารและดูแลแมวโดยเฉพาะ แต่ฟังเจี่ยเอ๋อร์ก็ยังไม่วางใจอยู่ดี ก็เลยแอบไปดูแทบทุกวัน สุดท้ายองค์หญิงก็เลยตัดสินใจพาแมวมาเลี้ยงที่ลานสวนของตัวเองแทน!”
“มีเรื่องอย่างนี้ด้วยหรือ” ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ “เจ้าไปบอกกับแม่สามีเจ้า ว่าพรุ่งนี้ข้าจะไปเปิดหูเปิดตาเสียหน่อยว่าเป็นของหายากอะไรกัน ถึงทำให้ฟังเจี่ยเอ๋อร์หลงใหลได้ถึงขนาดนี้”
องค์หญิงฝูเฉิงมีศักดิ์เป็นอาหญิงของฮ่องเต้ ส่วนไท่ฮูหยินมีศักดิ์เป็นมารดาของฮองเฮา ทั้งสองถึงแม้ว่าจะไม่มีความขัดแย้งต่อกัน แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นเรียกว่าสนิทสนม แต่ไท่ฮูหยินจู่ๆ จะไปเยี่ยมที่จวนขององค์หญิงฝูเฉิงเพียงเพราะแมวตัวเดียว…สืออีเหนียงและโจวฮูหยินต่างก็อึ้งไปตามๆ กัน
แต่โจวฮูหยินก็เรียกสติกลับได้อย่างรวดเร็ว ยิ้มพร้อมกับรีบพูดขึ้นว่า “ไอ๊หยา ถือว่าข้าได้แขกหายากมาเยี่ยมเรือนแล้ว!” จากนั้นก็พูดต่อไปว่า “หากท่านไปจริงๆ ไม่รู้ว่าองค์หญิงจะดีใจแค่ไหนเชียว! นางอายุมากแล้ว เฝ้าหวังอยู่เสมอว่าจะมีคนไปเยี่ยมเยียนบ้าง”
“เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นอันตกลง” ไท่ฮูหยินยิ้มขึ้นพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ
โจวฮูหยินรีบตอบรับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็ลูกขึ้นพร้อมกับขอตัวลากลับ
สืออีเหนียงก็ได้ออกไปส่งโจวฮูหยินที่ประตูฉุยฮวา แล้วก็ได้ย้อนกลับมาที่เรือนของไท่ฮูหยิน
“พวกเจ้าต่างก็ล้วนกำลังยุ่งงานทั้งนั้น” ไท่ฮูหยินหันไปพูดกับสืออีเหนียง “พรุ่งนี้ให้ป้าตู้ไปเป็นเพื่อนข้าก็พอ”
ราวกับว่ามีเรื่องอย่างไรอย่างนั้น
สืออีเหนียงเห็นว่าไท่ฮูหยินไม่ได้พูดอะไรออกมา และตนก็ไม่สะดวกจะถามอะไรมากไปกว่านี้ จึงได้ไปจัดแจงสั่งการกับป้าตู้เรื่องการเดินทางพรุ่งนี้
วันรุ่งขึ้น สืออีเหนียงก็ได้เดินออกไปส่งไท่ฮูหยิน หลังจากนั้นนางก็ได้กลับไปยังตรอกกงเสียน
ทางจวนสกุลหลัวได้ขอให้เขยสี่อวี๋อี๋ชิงมาช่วยเป็นพ่อสื่อคนกลาง ส่วนทางจวนสกุลหวังได้เชื้อเชิญซื่อจื่อของจวนเจิ้นหนานโหวมาช่วยเป็นพ่อสื่อคนกลาง ทั้งสองครอบครัวแลกหนังสือบันทึกวันเดือนปีเกิดของทั้งสองฝ่ายและหมั้นหมายเสร็จสรรพ ก่อนฤดูร้อนที่จะถึงนี้ได้กำหนดวันแต่งงานเป็นที่เรียบร้อย หลังจากที่เจินเจี่ยเอ๋อร์รู้เรื่องนี้แล้ว ก็ได้จูงมือของสืออีเหนียงพลางพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มว่า “ที่แท้แล้วท่านแม่ไปช่วยเป็นแม่สื่อคนกลางนี่เอง!” หลายวันมานี้อากาศค่อนข้างร้อน ที่จวนจึงต้มถั่วเขียวไว้ เจินเจี่ยเอ๋อร์ก็เลยตักมาให้สืออีเหนียงหนึ่งถ้วย “เช่นนั้นท่านแม่จะช่วยโจวฮูหยินทำรองเท้าหรือไม่เจ้าคะ”
“แน่นอนสิ!” สืออีเหนียงตอบกลับด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “นี่คือสิ่งที่ข้ารับปากกับผู้อื่นแล้ว!”
“เช่นนั้นสือเอ้อร์เหนียงจะต้องกักตัวเย็บปักถักร้อยอยู่แต่ในเรือนเหมือนฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“ตอนนี้ยังไม่ต้อง” สืออีเหนียงเห็นว่านางค่อนข้างแปลกใจ จึงอธิบายว่า “สือเอ้อร์เหนียงอายุยังน้อย ทั้งสองครอบครัวตกลงกันว่ารอให้สือเอ้อร์เหนียงเข้าพิธีปักปิ่นผมอายุครบสิบห้าเรียบร้อยแล้วค่อยมาสู่ขอ อีกสองปีก็จะต้องอยู่แต่บ้านคอยเย็บปักถักร้อยเหมือนเช่นฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์แล้ว!”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินแล้วก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เช่นนั้นข้าช่วยสือเอ้อร์เหนียงทำม่านประตูดีกว่า!”
สืออีเหนียงมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของเจินเจี่ยเอ๋อร์ พลันนึกถึงสวีลิ่งอี๋ขึ้นมา
ใกล้จะถึงเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างแล้ว แต่กลับไม่มีข่าวคราวของเขาเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าเขาจัดการธุระไปถึงไหนแล้ว ที่สำคัญคือมีเรื่องมากมายที่ต้องรอให้เขากลับมาตัดสินใจ…โดยเฉพาะเรื่องการหมั้นหมายของเจินเจี่ยเอ๋อร์
หลายวันมานี้จวนสกุลจัวคอยส่งของขวัญมาให้ไม่ขาดสาย ดูมีน้ำใจและกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก
ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เหวินอี๋เหนียงก็หอบหนังสือบัญชีเข้ามา
เจินเจี่ยเอ๋อร์และเหวินอี๋เหนียงก็เจอหน้ากันพอดี แต่สีหน้าของทั้งคู่ไม่ค่อยเป็นธรรมชาติเท่าไรนัก
สืออีเหนียงเชิญให้เหวินอี๋เหนียงมานั่ง เจินเจี่ยเอ๋อร์เลยพูดขึ้นว่า “ข้าจะไปตักต้มถั่วเขียวมาเจ้าค่ะ” จากนั้นก็ถอยออกจากห้องอย่างรวดเร็ว
เหวินอี๋เหนียงหันไปจ้องมองม่านที่ยังสั่นไหว จึงค่อยหันไปรายงานกับสืออีเหนียงว่า “ข้าได้ตรวจทานรายการบัญชีทั้งหมดแล้ว ค่าใช้จ่ายที่สูงที่สุดก็คือทางฝั่งห้องครัว…”
สืออีเหนียงรวบรวมสมาธิตรวจทานรายการบัญชีกับเหวินอี๋เหนียง
ไม่นานก็มีสาวใช้น้อยเข้ามาเรียนว่า “คุณนายใหญ่สกุลหลินจวนเวยเป่ยโหวมาเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงก็รีบเชื้อเชิญนางเข้ามาด้านใน
คุณนายใหญ่สกุลหลินได้นำพัดลวดลายสีทองมาจำนวนหนึ่ง “ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์เป็นคนทำเองกับมือ ตั้งใจจะเอามาฝากให้เจินเจี่ยเอ๋อร์” จากนั้นก็ยกตะกร้าหวายที่บรรจุผลท้อพันธุ์น้ำผึ้งขึ้นมา “รู้ว่าเจ้าไม่ได้ขัดสนสิ่งเหล่านี้ ก็ถือเสียว่าเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากข้าก็แล้วกัน หากไม่ใช่เพราะเจ้า ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ของพวกข้าจะนั่งเย็บปักถักร้อยอย่างสบายใจได้อย่างไรกัน” ถือเป็นของขวัญแทนการขอบคุณสำหรับสืออีเหนียง
สืออีเหนียงกล่าวคำเกรงใจไปยกใหญ่ จากนั้นก็ได้ให้หู่พั่วนำไปเก็บ แล้วจึงถามถึงสถานการณ์ของฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ขึ้นมา “ได้ยินว่าวันงานแต่งงานถูกกำหนดเป็นเดือนห้าปีหน้าอย่างนั้นหรือ”
แววตาของคุณนายใหญ่สกุลหลินดูสลดลง สีหน้าค่อนข้างเป็นกังวลใจ “ทางฝั่งโน้นเร่งรัดมา!”
สืออีเหนียงกำลังคิดจะปลอบใจนางเสียหน่อย แต่แล้วก็มีสาวใช้น้อยเข้ามาเรียนว่า “จัวฮูหยินมาเจ้าค่ะ!”
“เชิญนางเข้ามาเถิด!” สืออีเหนียงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงจนใจอย่างไม่รู้ตัว
คุณนายใหญ่สกุลหลินกลับเลิกคิ้วขึ้นสูง พูดขึ้นเสียงเบาว่า “ข้าได้ยินมาว่าจัวฮูหยินอยากจะเกี่ยวดองกับจวนเจ้า เรื่องนี้จริงหรือไม่”
คาดว่าทุกคนคงจะได้ยินข่าวคราวมาบ้างแล้ว
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ
คุณนายใหญ่สกุลหลินจึงพูดแกมหยอกล้อว่า “ดูสีหน้าเจ้าตอนนี้สิ ยังจะต้องไปต้อนรับขับสู้นางอีก นอกเสียจากว่าจะเสียดายอาหารที่ไร้ซึ่งรสชาติ แต่ครั้นจะทิ้งก็รู้สึกเสียดายของ”
สืออีเหนียงรู้สึกว่าหากไปว่าจัวฮูหยินเช่นนี้ก็ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก “แต่ใต้เท้าจัวรู้จักและสนิทสนมกับท่านโหวเป็นการส่วนตัว!”
คุณนายใหญ่สกุลหลินจะฟังน้ำเสียงไม่ออกได้อย่างไรกัน “หากรู้ว่าเป็นเช่นนี้ตั้งแต่แรก ข้าก็คงจะมาร่วมเป็นแม่สื่อแม่ชักให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ของพวกเจ้าสักหน่อยแล้ว”