เขานิ้วหัก พี่ใหญ่ที่แสนดีของเขากลับไม่กะพริบตาสักนิด เขาไม่เห็นตนเองเป็นพี่น้องแล้วจริงๆ ตัดขาดสายสัมพันธ์กับตนเองแล้วจริงๆ อาศัยความรู้สึกมาจัดการกับเขาไม่ได้อีกแล้ว
ประกายชิงชังที่พาดผ่านนัยน์ตาเขาไป ย่อมหนีสายตาของหนิงเซ่าชิงไม่พ้น
หนิงเซ่าชิงหรี่ตาลงเล็กน้อย น้ำเสียงยังคงราบเรียบ “ข้าให้อภัยสำหรับความผิดครั้งแรกของเจ้า วันนี้จะปล่อยเจ้าไป ถ้าหากว่าครั้งหน้ากล้าปฏิบัติต่อหัวหน้าตระกูลอย่างไม่เกียรติ จะจัดการลงโทษตามกฎตระกูล”
หนิงเซ่าอวี่กุมนิ้วที่ถูกหักของตนเองเอาไว้ อดกลั้นต่อความเจ็บปวด และโค้งตัวก้มหน้าลง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเกรงอกเกรงใจถึงที่สุด “เชิญหัวหน้าตระกูลล่วงหน้าไปก่อนได้เลยขอรับ”
ในเมื่อเขาไม่เห็นตนเองเป็นน้องชายแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องแสร้งทำเป็นนอบน้อมและคล้อยตามอีก
หลังจากประกายเหยียดหยามในแววตาพาดผ่านไป หนิงเซ่าชิงก็ก้าวเดินไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง หยุดยืนอยู่ตรงหน้าหนิงเซ่าอวี่ มุมปากปรากฏรอยยิ้มที่คล้ายมีคล้ายไม่มี สายตามองตรงไปข้างหน้า โดยไม่ได้เดินไปด้านหน้าต่อ และไม่ได้มองหนิงเซ่าอวี่เช่นกัน
เพียงแค่จ้องไปยังแสงอาทิตย์ในที่ห่างไกล และเอ่ยอย่างเนิบนาบโดยใช้เสียงที่ได้ยินเฉพาะพวกเขาสองคน “ตอนที่เจ้าส่งคนกลุ่มแรกไปตามฆ่าข้า ส่งคนไปสอดแนมที่หมู่บ้านหวังจยา ส่งคนไปขัดขวางข้าที่ตำบลอวิ๋นฉี่ ส่งนักฆ่าไปลอบสังหารข้าที่นอกเมือง…เคยนึกถึงวันนี้บ้างหรือไม่”
คำพูดเหล่านี้กระตุ้นเสี้ยนหนามในใจของหนิงเซ่าอวี่ “ท่านกลับมาทำไม” วาจานี้แทบจะถูกคำรามออกมา
ทว่าสิ่งที่ตอบกลับมาคือเสียงหัวเราะแผ่วเบา “เป็นเจ้าที่บีบบังคับให้ข้ากลับมาทีละก้าวๆ”
“ท่าน…”
“จะกลับตัวกลับใจเพราะเสียใจในสิ่งที่ทำลงไปในตอนนี้ยังทัน”
ได้ยินวาจานี้แล้ว หนิงเซ่าอวี่ก็ไม่ตอบคำถาม คำพูดของเขาได้เตือนเขาว่า ไม่สามารถประมาทเลินเล่อได้อีกแล้ว ในใจคิดกลับไปกลับมาเป็นพันครั้ง ตอนที่เอ่ยพูดออกมาก็ข่มความเคียดแค้นในใจของตนเองเอาไว้ “เซ่าอวี่โง่เขลา ไม่เข้าใจว่าหัวหน้าตระกูลพูดอันใด”
มุมปากของหนิงเซ่าชิงปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยันบางๆ มีคนกำลังวางแผนร้ายอันน่าตกใจแผนหนึ่ง หนิงเซ่าอวี่เป็นเพียงแค่หมากโง่ๆ ที่ถูกคนใช้ประโยชน์ตัวหนึ่งเท่านั้น
ความทะเยอทะยานของคนที่อยู่เบื้องหลังนั้นยิ่งใหญ่ การเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้ของเขาไม่ได้พุ่งเป้ามาที่ตระกูลหนิงเพียงอย่างเดียว แต่กลับวางแผนจัดการทั้งราชวงศ์เทียนฉี
ชักนำเรื่องราวมาสู่ราชวงศ์ ยุแหย่ตระกูลขุนนาง หลอกล่อให้หนานหลิงยกทัพ ค่อยให้เจิ้นหนานอ๋องโยกย้ายทหาร…ทุกฝีก้าวล้วนดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจ แต่ทุกฝีก้าวนั้นล้วนโหดเหี้ยมอย่างยิ่ง ขยับเพียงนิดเดียวแต่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง!
ยั่วยุเจิ้นหนานอ๋องให้กุมอำนาจทางการทหารของราชวงศ์เอาไว้เพียงผู้เดียว วางแผนปลิดชีพเจิ้นกั๋วกง และโยนความผิดให้กับฮ่องเต้ ใช้ประโยชน์จากความคิดที่จะทำลายตระกูลขุนนางเก่าแก่ที่มีมาแต่ไหนแต่ไร และจิตใจทะเยอทะยานที่แสวงหาความเป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียวของฮ่องเต้ เพื่อจัดการความสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์กับตระกูลขุนนางในก้าวต่อไป ทำให้ราชวงศ์และตระกูลขุนนางความวุ่นวายภายใน ทำลายความสงบสุขของเทียนฉี คิดจะกวนน้ำจับปลา ฉกฉวยประโยชน์ในจังหวะที่เกิดความปั่นป่วนภายในงั้นรึ
เขาช่างมีความกล้ามากมายเสียเหลือเกิน! ใช้ประโยชน์จากฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ใช้ประโยชน์จากเจิ้นหนานอ๋อง โจมตีตระกูลหนิง ตั้งใจจะทำให้ทั้งเทียนฉีโกลาหล เขา…คิดจะทำลายเทียนฉี?!
คนผู้นั้นเป็นใคร!
เขาจะต้องหาเขาให้พบ
หนิงเซ่าชิงดึงความคิดกลับมา และเอ่ยเตือนว่า “อย่าทำเป็นภาคภูมิใจในตนเองทั้งที่ถูกคนอื่นหลอกใช้ จำเอาไว้ว่า เจ้า…แซ่…หนิง”
เอ่ยจบ หนิงเซ่าชิงก็ก้าวไปข้างหน้าโดยไม่หันกลับมา
ทิ้งหนิงเซ่าอวี่ที่สีหน้าเย็นเยียบราวกับน้ำแข็งให้ยืนอยู่ที่เดิม ผ่านไปเนิ่นนาน ความเจ็บปวดที่นิ้วก็เรียกความคิดเขากลับคืนมา และหันหน้าเดินจากไป
……
ณ บ้านหลังเล็กแห่งหนึ่งในที่ลับตาคนกลางเมืองหลวง
บุรุษสวมเสื้อแพรสีน้ำเงินเข้มแผ่นหลังเหยียดตรง เรือนผมยาวสีนิลถูกรวบขึ้นด้วยผ้าสีเดียวกันกับอาภรณ์ กึ่งกลางผ้ามีหยกชั้นดีชิ้นหนึ่ง จอนผมข้างใบหูทิ้งตัวลงอย่างเป็นธรรมชาติ แผ่นหลังนี้มองดูคล้ายกับแข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยว ทว่ากลับทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกหวาดกลัวตัวสั่นระริกจากความหนาวเหน็บ
ภายใต้เงามืดของบุรุษผู้นั้น ยังมีผู้เฒ่าที่หนวดเคราเผ้าผมขาวโพลนยืนอยู่
“ผู้อาวุโสแปดต้องสิ้นชีพอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม…” บุรุษในอาภรณ์สีเข้มหันกลับมา ทว่าบนใบหน้าของเขากลับสวมหน้ากากสีเงินอันงดงามอยู่
ในเงามืดมีคนตอบกลับว่า “นายท่านไม่จำเป็นต้องเศร้าเสียใจเกินไป ผู้ที่กระทำการณ์ใหญ่ไม่ใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อย สถานการณ์ในตอนนั้นทำได้เพียงแค่ผลักตัวเจ้าแปดออกไป…”
เมื่อคนคนนั้นเงยหน้าขึ้น กลับเป็นผู้อาวุุโสใหญ่ตระกูลหนิง
“เจ้าจัดการคนในตระกูลเรียบร้อยแล้วหรือไม่”
“ล้วนถูกเนรเทศออกจากตระกูลหนิงไปแล้ว แต่เนรเทศไปแล้วก็ดีขอรับ เดิมพวกเขาก็ไม่ใช่คนตระกูลหนิง ตอนนี้เหล่าฟู[1]จัดการให้พวกเขากลับไปยังตระกูลเดิมก็ได้”
“ไม่เหมาะสม!”
ผู้อาวุุโสใหญ่ตะลึง! เรื่องนี้ไม่เหมาะสมจริงๆ ถ้าหากว่าคนตระกูลหนิงไม่ยอมแพ้ และส่งคนลอบติดตามตลอด จะเป็นการเปิดโปงฐานะของนายท่านไม่ใช่หรือ เขาถอนหายใจ “ข้าคิดไม่รอบคอบเอง เช่นนั้นข้าจะมอบเพียงแค่เงินทองเป็นการปลอบประโลมพวกเขาในเรื่องนี้เท่านั้นขอรับ”
เขารับปากผู้อาวุโสแปดเอาไว้ว่าจะจัดการดูแลครอบครัวเขาให้เหมาะสม ผู้อาวุโสแปดถึงได้พลีชีพตายไปด้วยความเสียใจ ตอนนี้…เขาผิดคำพูดเสียแล้ว ทำได้เพียงแค่รอให้เรื่องนี้สำเร็จ ค่อยจัดการให้เหมาะสมอีกครั้ง
บุรุษหน้ากากสีเงินในอาภรณ์สีน้ำเงินถอนหายใจเบาๆ ราวกับรู้สึกเสียดาย “คงทำได้เพียงเท่านี้ เจ้าก็ต้องระวังตัวหน่อย หนิงเซ่าชิงผู้นี้ความคิดความอ่านลุ่มลึก สุขุมรอบคอบ อย่าได้ทิ้งร่องรอยเอาไว้อย่างเด็ดขาด หากไม่มีเรื่องใดทางที่ดีที่สุดก็ไม่ต้องมาพบข้า”
ผู้อาวุุโสใหญ่กล่าวด้วยสีหน้าเลื่อมใสอย่างสุดซึ้ง “ขอรับ นายท่าน”
“สิ้นเจิ้นกั๋วกงแล้ว ก็ไม่รู้ว่าฮ่องเต้สุนัขนั่นเจรจาเงื่อนไขอะไรกับเจิ้นหนานอ๋อง ถึงได้ไม่ทะเลาะกันเสียที เจิ้นหนานอ๋องยังคงกลับไปรักษาการณ์ด่านทางใต้ต่อ…ดูท่า ข้าคงต้องออกหน้าเองสักครา แผนการที่ตระกูลข้าวางเอาไว้นับร้อยปีไม่อาจล้มเหลวลงได้ภายในระยะเวลาอันสั้น”
“นายท่านระวังตัวด้วย ทางด้านตระกูลหนิงมีเหล่าฟูอยู่ ทางตระกูลเซี่ยก็แทรกคนเข้าไปแล้วเช่นกัน จะไม่ให้มันได้สงบสุขกันเกินไปแน่นอนขอรับ แต่ว่าตระกูลซู…”
“ตระกูลซูเป็นตระกูลที่ไม่มีช่องโหว่เลยจริงๆ…แต่ ถ้าหากว่าตระกูลหนิงล้มลง ฮ่องเต้สุนัขจะต้องลงมือเก็บกวาดตระกูลเซี่ย หลังจากนั้นก็จะจัดการตระกูลซูแน่นอน ถึงตอนนั้นตระกูลซูไม่ต้องการจะกบฏก็ต้องกบฏอยู่ดี…เจ้าสนใจเพียงแค่…”
“อุบายของนายท่านดีมากขอรับ ตระกูลหนิงเป็นตัวเลือกในการลงมือโจมตีที่ดีที่สุด”
“…”
……
ณ เรือนลั่วเยวี่ยเซวียน จวนหนิง
แสงอาทิตย์ยามบ่ายที่สาดลงสู่กระเบื้องหลังคาบนเรือนสะท้อนประกายเจิดจ้าออกมา หัวมุมหลังคาทั้งสี่มีรูปปั้นอสูรร้ายหมอบอยู่ มองไปทางสถานที่ห่างไกล บุปผาหลากสีสันประดับวางภายในเรือนเป็นทิวทัศน์งดงามทำให้เบิกบานใจ เบ่งบานตระการตา
ท่ามกลางทิวทัศน์ที่งดงามเช่นนี้ ยิ่งเพิ่มความหดหู่ภายในเรือนให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
กุ้ยเสี่ยวซี ผู้เป็นฮูหยินรองตระกูลหนิง ภรรยาเอกของหนิงเซ่าอวี่ กำลังออกคำสั่งให้คนโบยสาวใช้ที่ปีนขึ้นเตียงเจ้านายเมื่อวานนี้อยู่ในเรือน ทั้งยังตั้งกฎกับอนุภรรยาสองนางไปไม่น้อยเป็นเวลาหลายชั่วยาม ทรมานจนตนเองหมดแรงแล้วถึงได้ปล่อยพวกนางกลับไป
เมื่ออนุภรรยาทั้งสองคนจากไป ภายในเรือนก็เงียบมากในทันที
เหล่าสาวใช้และผอจื่อพากันก้มหน้ามองปลายเท้าตนเองด้วยความระมัดระวัง กระทั่งหายใจแรงๆ ก็ไม่กล้า กลัวว่าจะถูกฮูหยินรองที่กำลังโมโหใช้เป็นที่ระบายอารมณ์โดยไม่ทันได้ระวัง
นับตั้งแต่คุณชายใหญ่ ไม่สิ นับตั้งแต่ที่หัวหน้าตระกูลกลับมา ฮูหยินรองก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
เดิมฮูหยินรองก็เป็นสตรีรูปโฉมงดงาม มากความสามารถที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง หนึ่งปีที่แต่งเข้ามาในตระกูล แม้ว่าจะชีวิตในแต่ละวันจะผ่านไปได้ไม่เป็นที่น่าพึงพอใจ แต่นิสัยกลับนับได้ว่านุ่มนวลอ่อนโยน แต่สิบวันมานี้ นิสัยกลับปะทุง่าย ดวงหน้างามที่เต็มไปด้วยโทสะทุกวัน บิดเบี้ยวเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อเห็นสาวใช้ที่ปรนนิบัติอยู่รอบด้านพากันเงียบกริบ กุ้ยซื่อที่มีโทสะในใจแต่กลับไม่สะดวกที่จะระบายออกมาก็แค่นเสียง และใช้ข้ออ้างว่าตนเองจะนอนกลางวัน โบกมือให้สาวใช้ที่ปรนนิบัติอยู่อีกด้านหนึ่งล้วนถอยออกไป
เหล่าสาวใช้พากันโล่งใจ เก็บกวาดงานที่ทำอยู่แล้วก็ถอยออกไป เพียงแต่ว่า นางเอนตัวนอนลงบนตั่งแล้ว ทำอย่างไรก็นอนไม่หลับ
เขากลับมาแล้ว
[1] เหล่าฟู หมายถึง ตาแก่ หรือผู้ชรา