มีสาวใช้ยกน้ำชาเข้ามาพอดี ชีเหนียงรีบรับมาไว้ในมือ “ไท่ฮูหยินเจ้าคะ ดื่มชาเจ้าค่ะ”
“ได้ ได้ ได้” ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วรับชามา
“ข้าอยู่ที่มณฑลเกาชิง ไม่คิดถึงอะไรทั้งนั้น” ชีเหนียงยิ้มแล้วพูดกับไท่ฮูหยิน “คิดถึงแต่พิธีขึ้นปิ่นปักผมของน้องหญิงสิบเอ็ด…”
สืออีเหนียงที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ยิ้มขึ้นมา
คำพูดนี้ของชีเหนียงไม่ใช่พูดเพื่อเอาใจไท่ฮูหยิน นางคิดถึงพิธีขึ้นปิ่นปักผมของสืออีเหนียงจริงๆ แล้วยังมอบชุดเครื่องประดับผมทองคำสีแดงที่ราคามากถึงเก้าสิบตำลึงให้เป็นของขวัญ ตอนนั้นสืออีเหนียงตกใจเป็นอย่างมาก ชีเหนียงเห็นเช่นนี้ก็บ่นว่า “เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้เช่นนั้นหรือ ข้าแค่ไม่รู้ว่าจะมอบอะไรให้เจ้าต่างหาก ตอนนี้เจ้าแต่งงานแล้ว พี่น้องอย่างเราพูดกันง่าย แต่เจ้ามีแม่สามีและบรรดาลูกสะใภ้ ข้าจะทำให้เจ้าลำบากใจไม่ได้ อยากจะซื้อภาพวาดตัวหนังสือโบราณให้เจ้ามาตลอด ต่อมา…” นางหัวเราะแห้งแล้วพูดว่า “ข้าเห็นว่าท่านโหวไม่ใช่คนที่เข้าถึงง่าย จึงนำเครื่องประดับทองคำที่สกุลจูนำมาเป็นสินสอดให้ข้าในตอนนั้นมอบให้เจ้า หากต่อไปเจ้าลำบาก เจ้าก็นำไปขาย ไม่เหมือนกับเครื่องประดับหยกโบราณบางอย่าง ต้องนำไปจำนำก่อนถึงจะใช้ได้”
สืออีเหนียงได้ยินนางบอกว่าสวีลิ่งอี๋เป็นคนเข้าถึงยาก ก็รู้สึกเขินอาย แต่เห็นว่าชีเหนียงไร้เดียงสาก็อดไม่ได้ที่จะหยอกล้อ “แต่งงานแล้วไม่เหมือนเดิมจริงๆ แม้แต่นำของไปจำนำแลกเงินก็ยังรู้”
ชีเหนียงเบะปาก “เจ้าไม่รู้อะไร ไอ้จูอานผิงคนนั้นเปิดร้านรับจำนำ…” พูดถึงตรงนี้ นางก็หยุดชะงักแล้วพูดต่อว่า “แล้วยังติดสินบน เขาไม่ใช่คนดี…” นางพูดเบาลง แต่กลับไม่มีท่าทีรังเกียจ
เห็นเช่นนี้ สืออีเหนียงก็ยิ้มแย้มกว่าเดิม
มีความสามารถ แล้วยังมีฉายาว่าเมิ่งฉังจวิน จูอานผิงคนนั้นไม่ใช่คนที่ไม่รู้อะไรแน่นอน
แต่ไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาสองคนถึงทะเลาะกัน ฟังจากน้ำเสียงของชีเหนียงแล้ว ดูเหมือนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางทะเลาะแล้วหนีออกจากบ้านให้จูอานผิงตามหา แต่นี่ไม่ใช่นิสัยที่ดี พอแอบถามชีเหนียงนางก็เอาแต่พูดเรื่องอื่น ไม่ยอมบอกความจริงกับตน แล้วยังรีบมาคารวะไท่ฮูหยิน จึงต้องให้หู่พั่วไปแอบถามมู่ฝู…
ขณะที่นางกำลังครุ่นคิด ก็ได้ยินชีเหนียงพูดกับไท่ฮูหยินอย่างอ่อนโยนว่า “แต่ว่าตอนนี้ข้าเป็นคนดูแลจวนจึงปลีกตัวออกมายาก แม่สามีสงสารที่ข้าแต่งออกมาอยู่ไกลบ้าน บอกให้ข้ากลับมา ข้าคิดว่าสืออีเหนียงอยู่ที่นี่ แต่ใจก็ยังทิ้งเรื่องที่จวนไม่ได้จึงลังเล ท้ายที่สุดก็ยื้อมาจนถึงวันนี้เจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้า
“แม่สามีให้เกียรติข้า ข้าก็จะหยิ่งยโสไม่ได้ อยู่ที่เยี่ยนจิงสองสามวัน ประเดี๋ยวก็จะกลับมณฑลเกาชิงแล้ว” ชีเหนียงพูดแล้วมองไปที่สืออีเหนียง “อยากอยู่กับน้องหญิงสิบเอ็ดสักสองสามวันค่อยไปเยี่ยมท่านแม่เจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงเหงื่อตก
สองสามคำแรกยังไม่แย่ แต่สุดท้ายกลับเปิดเผยความจริง ข้ออ้างที่ว่าอยากอยู่กับตนสักสองสามวันช่างเป็นข้ออ้างที่โง่เขลาเกินไป ไม่สู้บอกว่าเพราะว่าให้สวีลิ่งอี๋ยืมม้า สวีลิ่งอี๋จึงเชิญให้พักอยู่ที่จวนก่อน พักอยู่ที่จวนสกุลสวีสักสองสามวันแล้วค่อยไปเยี่ยมท่านแม่
แต่ว่าสืออีเหนียงไม่อยากช่วยชีเหนียงพูด
ไม่ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น ระหว่างสามีภรรยาวิธีที่ดีที่สุดคือการพูดคุยกัน หนีมาหลบอยู่ที่เยี่ยนจิงแบบนี้ ทำให้คนที่เป็นห่วงนางจริงๆ เป็นกังวลเสียมากกว่า
แต่ใครจะรู้ว่าไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้กลับดีใจ ยิ้มแล้วพูดว่า “เช่นนั้นเจ้าก็พักอยู่ที่จวนสักสองสามวัน ให้สืออีเหนียงคอยไปเดินเล่นเป็นเพื่อนเจ้า” จากนั้นก็บอกสืออีเหนียง “เจ้าทำความสะอาดเรือนท่าเรือหลิวฟังให้ชีเหนียงอยู่ที่นั่นเถิด ที่นั่นเงียบสงบ”
“ขอบพระคุณไท่ฮูหยินเจ้าค่ะ!” ชีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มพลางย่อเข่าคำนับไท่ฮูหยิน แต่สายตากลับมองมาที่สืออีเหนียงด้วยความดีใจ
สืออีเหนียงหัวเราะ เรียกป้าซ่งไปจัดการข้าวของของชีเหนียง ส่งคนไปรับใช้นางที่เรือนท่าเรือหลิวฟัง
ไท่ฮูหยินบอกให้สาวใช้ยกอาหารเข้ามา
ชีเหนียงนั่งลงข้างไท่ฮูหยิน ฉลองเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างที่จวนสกุลสวี
หลังทานอาหารเสร็จไท่ฮูหยินก็ยกถ้วยชาขึ้นมา “ดึกมากแล้ว ชีเหนียงเดินทางมาไกลจากซานตง คงจะเหนื่อยไม่น้อย ทุกคนแยกย้ายกันเถิด” จากนั้นก็พูดกับชีเหนียงว่า “วันนี้ข้าไม่รั้งเจ้าไว้ แต่พรุ่งนี้เช้ามาทานข้าวที่เรือนข้าเถิด”
ชีเหนียงตอบรับ “เจ้าค่ะ” ด้วยความเคารพ ฮูหยินสอง เจินเจี่ยเอ๋อร์ สวีลิ่งควน ฮูหยินห้า ซินเจี่ยเอ๋อร์ สวีลิ่งอี๋ สืออีเหนียง ชีเหนียงและสวีซื่อเจี้ย ทุกคนล้วนแยกย้ายกันไป
สืออีเหนียงต้องไปส่งชีเหนียงที่เรือนท่าเรือหลิวฟัง แต่ชีเหนียงกลับกอดแขนสืออีเหนียง “ข้านำข้าวของมาด้วยเยอะแยะ พวกนางคงจะยังเก็บไม่เสร็จ เราไม่ได้เจอกันนานแล้ว ไปพูดคุยกันเถิด ข้าอยู่ที่เรือนท่าเรือหลิวฟังคนเดียวมันน่าเบื่อ”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็พูดว่า “ข้าเองก็ไม่ได้อยู่ที่จวนสองสามวันแล้ว มีเรื่องที่ต้องจัดการมากมาย ถ้าอย่างนั้นข้าขอไปเรือนปั้นเย่ว์พั่นก่อน”
สืออีเหนียงก็อยากรู้สถานการณ์ช่วงนี้ของชีเหนียง จึงยิ้มแล้วส่งสวีลิ่งอี๋ออกไป
“ในที่สุดก็ไปสักที” ชีเหนียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก จับแขนสืออีเหนียงแล้วพูดว่า “เราเดินทางอยู่บนถนนดีๆ จู่ๆ ก็ถูกรายล้อมไปด้วยกลุ่มผู้ชายตัวใหญ่ที่สวมเสื้อผ้าขาดหลุดลุ่ย…ข้าคิดว่ารถม้าที่หรูหราของข้าดึงดูดความสนใจของผู้คน ทำให้เจอโจร ตอนนั้นข้าตกใจเป็นอย่างมาก” พูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ เห็นได้ชัดว่านางไม่ค่อยชอบสวีลิ่งอี๋
“ผู้ชายตัวใหญ่ที่สวมเสื้อผ้าขาดหลุดลุ่ย?” สืออีเหนียงรู้สึกแปลกใจกับเหตุการณ์ตอนนั้น สวีลิ่งอี๋ไปซื้อที่ดินที่จังชิว ไม่ได้ไปจับโจรสักหน่อย ความคิดนี้วาบขึ้นมา นางรู้สึกสับสนอยู่ในใจ
แต่ชีเหนียงกลับทำท่าทีไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ นางถามถึงสถานการณ์ที่บ้าน
เมื่อรู้ว่าซื่อเหนียงไม่สบาย นางก็ตาแดง “ไม่มีใครบอกข้า” จากนั้นก็พูดว่า “พรุ่งนี้เจ้าไปเยี่ยมพี่หญิงสี่เป็นเพื่อนข้าเถิด” ไม่กลัวคนอื่นรู้ว่านางกลับมาที่เยี่ยนจิงแล้ว
นี่คือสาเหตุที่สืออีเหนียงชื่นชอบชีเหนียง
ถึงแม้ว่านางจะทำตัวเหลวไหล แต่ก็มีหัวใจที่บริสุทธิ์
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้า “พรุ่งนี้เช้าเราไปเยี่ยมพี่หญิงสี่กันเถิด”
ชีเหนียงพยักหน้า
พวกนางสองคนเดินเข้าไปในเรือนศาลาริมน้ำฉุยหลุน นั่งอยู่บนเตียงเตาข้างหน้าต่างในห้องข้างใน
สาวใช้ยกถ้วยกระเบื้องลายครามที่มีผลไม้เข้ามา
สาลี่ฟาดเกินไป ลูกพลัมเปรี้ยวเกินไป ผลอิงเถาก็หวานเกินไป…ไม่มีอะไรอร่อยเลย
สืออีเหนียงมองดูชีเหนียงที่เอาแต่บ่นอุบอิบ นางหัวเราะ “ท่านไม่ต้องเป็นห่วง รถม้าที่หรูหราขนาดนั้น พี่เขยเจ็ดต้องตามหาท่านเจอแน่นอน”
ชีเหนียงสายตาเป็นประกาย บ่นขึ้น “เยี่ยนจิงกว้างขวางขนาดนี้ เขาอยากจะมาก็มา เช่นไรข้าก็ไม่มีทางกลับไปกับเขา”
ได้ฟังแล้วสืออีเหนียงก็หัวเราะ
ป้าซ่งเข้ามาในห้อง บอกว่าเรือนท่าเรือหลิวฟังทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ชีเหนียงทำสีหน้าลังเล ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “คืนนี้ข้านอนที่เรือนของเจ้าดีกว่า ข้ามีอะไรจะพูดกับเจ้าตั้งมากมาย” นางมองสืออีเหนียงด้วยสายตาที่อ้อนวอน
สืออีเหนียงทำสีหน้าลังเล
นางแค่ไม่อยากนอนผ้าห่มผืนเดียวกับชีเหนียง ครั้งก่อนนางมีผ้าห่มสองผืน แต่ชีเหนียงยืนกรานจะนอนผ้าห่มผืนเดียวกับนางให้ได้ ต้องพยายามเกลี้ยกล่อมชีเหนียงอยู่นาน จนในที่สุดก็นอนผ้าห่มคนละผืน แต่สุดท้ายตอนกลางคืนนางก็ถูกชีเหนียงถีบจนสะดุ้งตื่นตั้งสองครั้ง การนอนของนางนับว่ายกย่องไม่ได้จริงๆ
ชีเหนียงเห็นเช่นนี้ก็เบิกตากว้างใส่ “ไอ๊หยา เขามีอนุภรรยาตั้งเยอะแยะไม่ใช่หรือ ให้เขาไปนอนที่เรือนของอนุภรรยาโน่นสิ” จากนั้นก็พูดว่า “พวกนางคงจะชื่นชมว่าเจ้ามีน้ำใจ ยิงปืนนัดเดียวได้นกตั้งสองตัว” นางพูดประชดประชัน
ป้าซ่งได้ยินเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะพูดพึมพำ “ท่านโหวพึ่งจะกลับมา จะให้เขาไปนอนที่เรือนอนุภรรยาได้เช่นไรเจ้าคะ”
ชีเหนียงหัวเราะแห้งแล้วพูดว่า “บางทีท่านโหวของพวกเจ้าอาจจะต้องการเช่นนี้ก็ได้” จากนั้นก็พูดด้วยความโมโห “เหตุใดเจ้าถึงพูดมากเช่นนี้ บอกให้เจ้าไปรายงานก็ไปรายงานสิ”
ป้าซ่งสีหน้าเปลี่ยนไป หันไปมองสืออีเหนียง
สืออีเหนียงเห็นว่านางโมโหบรรดาอนุภรรยาและอี๋เหนียง จึงขยิบตาให้ป้าซ่ง “ไปรายงานท่านโหวเถิด”
ป้าซ่งออกไปอย่างไม่พอใจ
สืออีเหนียงบอกให้สาวใช้เข้ามารับใช้ชีเหนียงอาบน้ำ “ข้าตื่นยามเหม่าทุกวัน ต้องรีบพักผ่อน”
ภรรยาที่ดูแลจวนล้วนแต่ตื่นยามนี้กันทั้งนั้น ชีเหนียงพยักหน้าแล้วไปที่ห้องชำระ
ทันใดนั้นหู่พั่วก็ปรี่เข้ามา
สืออีเหนียงรีบถาม “เป็นเช่นไรบ้าง”
“บอกว่าท่านเขยเจ็ดรับเซียงอวิ๋น สาวใช้ของคุณหนูเจ็ดเป็นสาวใช้ห้องข้างเจ้าค่ะ คุณหนูเจ็ดโมโหจึงหนีออกมา กลัวว่านายหญิงสองจะตำหนิ ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร ก็บังเอิญเจอกับท่านโหวพอดี จึงตามมาที่เยี่ยนจิงด้วย”
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ขวมดคิ้ว
หู่พั่วเห็นแล้วก็พูดเบาๆ “มู่ฝูบอกว่า เมื่อก่อนท่านเขยเจ็ดไม่เพียงแต่มีสาวใช้ห้องข้าง แล้วยังเลี้ยงนางรำอยู่ข้างนอก ต่อมาอยากแต่งงานกับคุณหนูเจ็ดจึงไล่ทุกคนออกไป หนึ่งในนั้นยังมีหลานสาวสกุลญาติของสกุลเดิมนายหญิงผู้เฒ่าสกุลจู ต่อมาคุณหนูเจ็ดแต่งออกไปแล้วไม่ท้องสักที นายหญิงจูผู้เฒ่าจึงบ่นให้ท่านเขยเจ็ดรับอนุภรรยา นายหญิงสองรู้เข้าจึงอบรมสั่งสอนสาวใช้ที่หน้าตาสวยงามสองคนด้วยตัวเองแล้วส่งไปให้คุณหนูเจ็ด แต่ท่านเขยเจ็ดไม่เพียงแต่คัดค้านเรื่องที่นายหญิงผู้เฒ่าสกุลจูให้รับอนุภรรยา แล้วยังส่งสาวใช้สองคนที่นายหญิงสองส่งไปให้กลับมา คุณหนูเจ็ดกำลังดีใจ แต่ใครจะรู้ว่าจู่ๆ ก็เกิดเรื่องเซียงอวิ๋นขึ้นมา คุณหนูเจ็ดไม่ยอมจึงหนีออกมา ของขวัญที่เตรียมไว้ให้ท่านในพิธีขึ้นปิ่นปักผมก็ไม่ได้นำมาด้วยเจ้าค่ะ”
หรือว่านำภาพวาดตัวหนังสือโบราณมาให้นางจริงๆ
นางอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ของขวัญอะไร”
“บอกว่าเป็นภาพวาดตัวหนังสือโบราณเจ้าค่ะ ซื้อมาตั้งสามพันตำลึง”
สืออีเหนียงเหงื่อตก
ชีเหนียงอาบน้ำเสร็จแล้วก็เดินออกมา
สืออีเหนียงรีบบอกให้คนมาปูเตียง
ชีเหนียงบ่น “ทำไมไม่นอนผ้าห่มผืนเดียวกัน เราจะได้พูดคุยกัน”
พูดคุยกันกับนอนผ้าห่มผืนเดียวกันนี่เกี่ยวข้องกันตรงไหน
สืออีเหนียงยิ้ม “ข้าไม่ชิน”
“เมื่อก่อนก็บอกว่าไม่ชิน หรือว่าหลังจากที่เจ้าแต่งงานกับท่านโหวแล้วเจ้านอนคนละผ้าห่มกับเขาหรือ”
สืออีเหนียงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก กระแอมไอ “ข้าไปอาบน้ำก่อน” จากนั้นก็รีบเดินออกไป
ชีเหนียงพูดด้วยความแปลกใจ “จะอายอะไร เราต่างก็แต่งงานกันแล้ว นอกจากนี้ยังเป็นพี่น้องกัน…” นางไม่เข้าใจ
*****
เมื่อสืออีเหนียงออกมาจากห้องน้ำ ชีเหนียงก็ขึ้นไปนอนบนเตียงแล้ว
นางกำลังนอนหงายเบิกตากว้างอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าที่ครุ่นคิด
เมื่อได้ยินเสียงสืออีเหนียง ชีเหนียงก็หันหน้ามาด้วยสายตาที่โศกเศร้า
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะเดินไปนั่งข้างเตียง “คิดอะไรอยู่หรือ”
“ท่านแม่ก็บอกว่าเป็นความผิดของข้า!” นางน้ำตาคลอ ภายใต้แสงไฟมันสดใสราวกับน้ำค้าง “แต่ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย ทำไมถึงเป็นความผิดของข้า…” นางหันหน้าไปทางอื่น ”หรือว่าไม่มีลูกก็คือความผิดของผู้หญิง? สกุลข้างๆ ตระกูลเดิมเรา หลังจากหย่ากับภรรยาคนแรกไปแล้วก็แต่งงานกับคนที่ไม่มีลูกเหมือนกันไม่ใช่หรือ สุดท้ายภรรยาคนแรกไปแต่งงานใหม่ก็คลอดลูกชายฝาแฝด…เหตุใดถึงบอกว่าเป็นความผิดของข้า!”
นี่คือปัญหาทางสังคม
แม้จะหลายปีต่อมา พื้นที่ที่ห่างไกลพวกนั้นก็ยังคงมีความคิดเช่นนี้