การที่สืออีเหนียงไม่คล้อยตามนั้น ไม่ได้หมายความว่าหลี่ฮูหยินจะยอมปล่อยเรื่องนี้ไป
นางมองสืออีเหนียงแล้วเอ่ยอย่างมีนัยยะว่า “ท่านโหวกับผู้บัญชาการทหารเซวียนถงนามว่าฟั่นเหวยกังหรือใต้เถ้าฟั่นมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน นึกถึงปีนั้นที่ผู้บัญชาการทหารเซวียนถงคนก่อนถูกคนไม่หวังดีใส่ร้ายว่าเป็นคนละโมบโลภมาก ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งใต้เท้าฟั่นให้เข้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารและตรวจสอบเรื่องนี้ร่วมกับคนของศาลต้าหลี่ ตอนนั้นพึ่งขึ้นปีใหม่ ผู้บัญชาการทหารเซวียนถงคนก่อนก็เป็นญาติของไทเฮาจึงทำให้เกิดความลังเล ใต้เท้าฟั่นจึงแนะนำให้ใต้เท้าหลิวที่ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมอาญาในขณะนั้นมาไต่สวนคดีนี้ ผลก็คือใต้เท้าหลิวได้เลื่อนตำแหน่งเป็นขุนนางใหญ่แห่งศาลต้าหลี่” นางยิ้มพลางมองสืออีเหนียง “ดังนั้นนายท่านของเราจึงมักจะพูดว่าการเป็นขุนนางต้องมีดวงมาเป็นอันดับแรก หากครั้งนี้สามารถย้ายไปเป็นผู้บัญชาการทหารที่ฝูเจี้ยนได้ ก็จะพาจี้เอ๋อร์ไปฝึกฝนอีกครั้ง สำหรับจี้เอ๋อร์ของพวกเราแล้วนี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง ตำแหน่งขุนนางแม่ทัพ ไม่แน่อาจจะได้รับมาด้วยเหตุนี้”
พูดไปพูดมา ที่แท้ประโยคสุดท้ายถึงจะเป็นจุดสำคัญ
แต่จุดประสงค์ที่หลี่ฮูหยินพูดประโยคนี้คืออะไรกัน
ให้สวีลิ่งอี๋ช่วยเบิกทาง? สวีลิ่งอี๋เป็นเพียงแค่ท่านโหวที่ถูกฮ่องเต้ระแวดระวัง อีกทั้งยังว่างงานอยู่แต่ในจวน เขาจะมีอำนาจกระทำเช่นนั้นด้วยหรือ เพราะนี่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้ายขุนนางของชายแดน! หรือว่าตราบใดที่หลี่จี้มีโอกาสก็จะสามารถก้าวต่อไปได้อย่างราบรื่น แต่คนคนหนึ่งจะประสบความสำเร็จหรือไม่ เจ็ดส่วนขึ้นอยู่กับการพยายามด้วยตัวเอง อีกสามส่วนขึ้นอยู่กับโชคชะตา
สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ในใจ ยังคงต่อบทสนทนากับหลี่ฮูหยิน “หากทำสำเร็จก็นับว่าเป็นเรื่องดี!”
“ฮูหยินก็คิดเช่นนั้นหรือ!” เมื่อหลี่ฮูหยินได้ฟังแล้ว สีหน้าก็เผยให้เห็นถึงความยินดี “หากจะพูดถึงผู้บัญชาการทหารของราชวงศ์ต้าโจวเหล่านี้ ในแง่ของความสามารถ บุคลิกภาพ และคุณสมบัติก็ไม่มีใครเทียบกับนายท่านของพวกเราได้ คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่านายท่านของเรานั้นเดิมทีเป็นแม่ทัพใหญ่ของท่านโหว มีเพียงท่านโหวที่รู้ดีที่สุด”นางพูดด้วยสีหน้าหม่นหมองเล็กน้อย“เพียงแต่หลายปีมานี้ต้าโจวเลือกคนเข้ารับตำแหน่งขุนนางด้วยความสามารถ บุคลิกภาพ และคุณสมบัติที่ไม่ได้พิถีพิถันมากนัก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องมีเส้นสายของคนในราชสำนัก นายท่านของพวกเราไม่ขาดอะไร ขาดเพียงแต่เส้นสายในราชสำนัก!”
มีหรือที่จะรับเข้าตำแหน่งขุนนางโดยไม่ใส่ใจว่ามีเส้นสายในราชสำนักหรือไม่!
สืออีเหนียงพยักหน้า “เส้นสายก็สำคัญเช่นกัน”
หลี่ฮูหยินพยักหน้า มองซ้ายขวาแล้วพูดเสียงเบาราวกับยุงว่า “ท่านโหวของพวกเราได้ไปขอร้องเหลียงเก๋อเหล่าแล้ว”
สืออีเหนียงประหลาดใจเล็กน้อย
หลี่ฮูหยินปิดปากหัวเราะ
“เพียงแต่ว่าเรื่องนี้ยังไม่แน่นอน มีบางเรื่องที่ไม่อาจพูดได้” น้ำเสียงของนางดังขึ้นเล็กน้อย “ข้าคิดว่าหากเรื่องนี้สำเร็จ เมื่อจี้เอ๋อร์ของเราคุยเรื่องการหมั้นหมายก็จะมีความมั่นใจมากขึ้น”
นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าหลี่ฮูหยินโปรดปรานเจินเจี่ยเอ๋อร์ ส่วนสืออีเหนียงก็เป็นมารดาของเจินเจี่ยเอ๋อร์ คำพูดบางคำก็อาจทำให้คนเข้าใจผิดอย่างเลี่ยงไม่ได้
นางเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อย แต่เมื่อหลี่ฮูหยินเห็นว่าสืออีเหนียงไม่ได้พูดอะไรต่อ แววตาเผยให้เห็นถึงความประหลาดใจ ในใจพลางครุ่นคิด
หรือว่าสกุลสวีไม่ได้สนใจจี้เอ๋อร์ขนาดนั้น หากไม่ใช่แล้วทำไมจี้เอ๋อร์ถึงท่าทางมีความสุขตลอดหลังจากกลับจากสกุลสวี จี้เอ๋อร์เป็นเด็กที่สุขุม แม้ตอนกลับมาจะไม่ได้พูดอะไร แต่หากไม่ใช่เพราะมีความมั่นใจแล้วจะเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร จะว่าไปแล้วแม้ว่าหย่งผิงโหวจะมีบุตรชายถึงสองคน แต่บุตรชายคนโตก็ได้เชิญอาจารย์มาสอนที่จวนตั้งแต่เด็ก ตอนนี้ก็ไปเรียนที่สำนักศึกษา เห็นได้ชัดว่าต้องเดินบนเส้นทางการสอบเลื่อนขั้นตำแหน่ง ส่วนบุตรชายคนที่สองก็ได้แต่งตั้งเป็นซื่อจื่อแล้ว แต่ร่างกายอ่อนแอป่วยไข้อยู่บ่อยๆ ต่อให้ไปฝึกในกองทัพก็คงได้เพียงแค่เดินผ่านสนามประลองไปเท่านั้น สวีลิ่งอี๋ไปออกรบร่วมกับกองทัพ ศึกทั้งสองครั้งล้วนได้ชัยชนะกลับมา ไม่รู้ว่ามีแม่ทัพกี่คนที่เดินตามเขาจนร่ำรวย และไม่รู้ว่ามีแม่ทัพกี่คนที่อาศัยความดีความชอบในการชนะศึกสองครั้งนี้ได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นขุนนาง…หากพูดอย่างไม่น่าฟัง แม่ทัพระดับล่างเหล่านั้นอาจไม่รู้ว่าฮ่องเต้เป็นคนอย่างไร แต่พอเอ่ยถึงหย่งผิงโหว แต่ละคนกลับสามารถหัวเราะเสียงดังและเล่าเรื่องราวได้เป็นตุเป็นตะ หากสามารถเป็นบุตรเขยของหย่งผิงโหวได้…แม้ว่าสืออีเหนียงจะมีบุตรชาย แต่นั่นก็เป็นเรื่องในอีกสิบกว่าปีข้างหน้า ถ้าจี้เอ๋อร์ยังไม่สามารถยืนหยัดอย่างมั่นคงในกองทัพได้ เช่นนั้นก็จะไม่สามารถตั้งตัวได้ ไม่สู้หยุดความคิดเรื่องการแย่งชิงเสียตอนนี้ ให้เขาได้มีชีวิตที่ดี
คิดถึงตอนนั้นที่ตนเอ่ยถึงเรื่องการหมั้นหมายกับนายท่าน นายท่านยังรู้สึกอายอยู่บ้าง กลัวว่าสกุลสวีจะไม่เห็นหัว
‘แม้ว่าจะเป็นบุตรสาวของอนุ แต่ท่านโหวมีบุตรสาวเพียงคนเดียว ไม่รู้ว่ามีกี่คนที่คิดเรื่องนี้…’
ตอนนั้นนางทั้งใจร้อนทั้งโมโห ‘หากไม่ลองดูแล้วจะรู้ได้อย่างไร ไม่แน่ว่าทุกคนอาจจะคิดแบบเดียวกันกับที่ท่านคิด แต่น้อยคนนักที่จะกล้าหาญ จึงหาคนที่เหมาะสมไม่เจอ มิเช่นนั้นเหตุใดราชบุตรเขยที่กรมพิธีการเลือกให้องค์หญิงในแต่ละครั้งถึงได้ทำให้ทุกคนตกตะลึง’
สกุลจัวด้อยกว่าสกุลตัวเองเสียอีก ยิ่งไปกว่านั้นเด็กในสกุลนั้นก็เป็นแค่คนธรรมดา ส่วนสกุลหวังจู่ๆ ก็มีว่าที่พระชายาขององค์ชายใหญ่ ซึ่งทั้งสองตระกูลจะไม่แต่งงานกันอีกแน่นอนเพื่อหลีกเลี่ยงความสงสัย เดิมทีตนคิดว่าการแต่งงานจะเป็นเรื่องที่แน่นอน แต่คิดไม่ถึงว่าสกุลเซ่าจะโผล่มากลางทาง…
เมื่อคิดได้เช่นนี้หลี่ฮูหยินก็กัดฟันแน่น
“ดังนั้นเรื่องนี้จะสำเร็จหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับคำพูดของฮูหยินแล้ว!”
นางพูดเสียงเบา น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความวิงวอน
สืออีเหนียงชะงักไปครู่หนึ่ง
หลี่ฮูหยินพูดขึ้นมาว่า “ตอนนี้บรรดาเก๋อเหล่ากำลังโต้เถียงเรื่องการปิดอ่าวทะเล ขุนนางทางใต้ย่อมคัดค้าน ส่วนขุนนางทางเหนือย่อมเห็นด้วย ส่วนทางด้านเฉินเก๋อเหล่านั้นพูดได้ยาก แม้ว่าจะเข้าหาได้ง่าย แต่ก็ต้องดูว่าเขามีเจตนาอย่างไร แต่ว่ายังมีคนของตัวเองอยู่ในฝูเจี้ยน ไม่ว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็จะรับมือได้เร็วกว่าคนอื่น และด้วยเหตุผลนี้ เหลียงเก๋อเหล่าจึงได้รับปากว่าจะเป็นหูเป็นตาให้นายท่านของเรา เพราะอย่างไรเสียเฉินเก๋อเหล่าก็เป็นถึงสมุหราชเลขาธิการ นายท่านของเราได้ฟังเจตนาของเหลียงเก๋อเหล่าแล้ว หากมีท่านโหวช่วยพูดสักประโยค ไม่สิ เกรงว่าแม้ท่านโหวไม่จำเป็นต้องพูดสักประโยค ขอเพียงแค่เผยเจตนาให้รู้ เรื่องนี้ก็จะสำเร็จลุล่วง” พูดพลางหัวเราะคิกคัก “ตอนนี้เฉินเก๋อเหล่าต้องรับมือกับศัตรูทุกทิศทาง ส่วนท่านโหวก็แค่ยืนอยู่ข้างๆ ไม่เคยว่าอะไรเขาเลยแม้แต่ประโยคเดียว แล้วบัญชีนี้จะคิดอย่างไร คิดดูแล้วอย่างไรเสียเฉินเก๋อเหล่าก็ควรคิดให้รอบคอบ!”
สืออีเหนียงเข้าใจดี
สกุลหลี่ไปหาเหลียงเก๋อเหล่าด้วยความจริงใจ เหลียงเก๋อเหล่ากลัวว่าจะต้องรับผิดชอบ จึงหวังว่าสวีลิ่งอี๋จะแสดงท่าทีออกมา!
แต่เหตุใดถึงไม่ใช่คนอื่นเล่า ทำไมต้องเป็นสวีลิ่งอี๋
นางหรี่ต่อมองหลี่ฮูหยิน
แม้แต่ผู้บัญชาการหลี่ยังรู้ว่าการไปฝูเจี้ยนเพื่อสงบศึกนั้นเป็นโอกาสอันดี คนเก่าคนแก่อย่างเหลียงเก๋อเหล่าก็ยิ่งเข้าใจอย่างชัดเจน โอกาสดีเช่นนี้มีใครบ้างที่จะไม่อยากให้เป็นคนของตัวเอง การที่ผู้บัญชาการหลี่สามารถไปขอร้องเหลียงเก๋อเหล่าได้ แปดเก้าในสิบส่วนคาดว่าน่าจะใช้สวีลิ่งอี๋เป็นหมาก ไม่แน่อาจจะบอกเหลียงเก๋อเหล่าเป็นการส่วนตัวด้วยว่าทั้งสองสกุลกำลังเจรจาเรื่องการหมั้นหมายอยู่
แต่เหลียงเก๋อเหล่าเป็นใครกัน เขาจะต้องผ่านเรื่องเช่นนี้มาไม่น้อยแน่ๆ คำพูดไม่มีหลักฐาน ต้องแสดงหลักฐานออกมา ในเมื่อบอกว่ามีความสัมพันธ์กับสวีลิ่งอี๋ เช่นนั้นก็ต้องเชิญสวีลิ่งอี๋ออกมาทักทายสักหน่อย เช่นนี้ก็จะสามารถทดสอบได้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ หากเขามีแผนการของตัวเองอยู่แล้ว ก็จะสามารถคำนวณข้อดีข้อเสียได้จากเรื่องนี้ เพิ่มน้ำหนักของผู้บัญชาการหลี่ในใจของเหลียงเก๋อเหล่า
สกุลหลี่ช่างอยู่เป็นเสียจริง!
ด้วยประสบการณ์ของสืออีเหนียง แม้ว่าคนเช่นนี้จะไม่จำเป็นต้องคบค้าสมาคม แต่ก็ไม่อาจไปล่วงเกินได้
“เรื่องที่หลี่ฮูหยินพูด ข้าไม่เข้าใจเท่าไหร่” สืออีเหนียงวางตัวเองให้อยู่ในตำแหน่งค่อนข้างต่ำ เพื่อป้องกันไม่ให้หลี่ฮูหยินผู้นี้มีธุระกลับมาหานางอีก เอ่ยปากกล่าวขอโทษ “อีกทั้งท่านโหวก็ไม่ชอบให้สตรีในเรือนเข้ามายุ่งกับเรื่องเหล่านี้ด้วย…”
หลี่ฮูหยินรู้อยู่แล้ว
มีบุรุษคนไหนที่จะเต็มใจให้สตรีในเรือนของตัวเองมีส่วนร่วมกับเรื่องพวกนี้ แต่พวกเขาทั้งสองคนก็ไม่มีทางเลือกอื่น!
“ฮูหยิน” นางแสดงความจริงใจ “ข้าก็ไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ เพียงแค่กังวลอนาคตของจี้เอ๋อร์ เรื่องเหล่านี้ข้าก็พูดกับนายท่านแค่ตอนที่ปรึกษาเรื่องของลูกๆ” นางมองสืออีเหนียงด้วยแววตาเป็นประกาย บอกเป็นนัยๆ ว่า “ฮูหยินเองก็เป็นแม่คนเช่นกัน ย่อมต้องวางแผนสำหรับอนาคตของลูก หากท่านโหวรู้เข้าก็จะมีแต่ดีใจ แล้วจะตำหนิได้อย่างไร”
ใช้การแต่งงานของเจินเจี่ยเอ๋อร์เป็นข้ออ้างหรือ
สืออีเหนียงยิ้มเยาะในใจ แต่กลับยิ้มออกมาอย่างโกรธเคือง “เช่นนั้นข้าก็จะเล่าคำพูดของฮูหยินให้ท่านโหวฟัง!”
หลี่ฮูหยินรู้สึกว่าคำตอบของสืออีเหนียงไม่เหมาะสม นึกถึงท่าทีตอนที่นางได้ยินว่าสวีลิ่งอี๋ได้พบกับโจรที่ซานตง จึงลังเลเล็กน้อยก่อนจะพูดเสียงเบาว่า “ข้าก็ทำเพื่อฮูหยินเช่นกัน มักจะพูดกันว่าลูกเขยก็เหมือนกับบุตรชายครึ่งหนึ่ง หากฮูหยินมีลูกเขยที่มีอำนาจ ในอนาคตหากมีเรื่องอันใดก็จะมีคนให้ขอความช่วยเหลือได้ ย่อมสะดวกกว่าสั่งการผู้ดูแลเรือนนอก”
หลี่ฮูหยินผู้นี้ช่างมีความสามารถในการเกลี้ยกล่อมเสียจริง!
สืออีเหนียงพยักหน้าแล้วส่งหลี่ฮูหยินกลับไป จากนั้นก็รีบกำชับหู่พั่วทันที “ไปดูว่าท่านโหวอยู่ที่ไหน”จากนั้นนางก็กลับไปหาไท่ฮูหยินราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“นางมอบอะไรให้หรือ เหตุใดถึงไม่กล้ารับ” ไท่ฮูหยินอาศัยโอกาสที่เด็กๆ กำลังเล่นพันด้ายอยู่บนเตียงเตา ฮูหยินห้าเห็นว่าได้โอกาสจึงปลีกตัวออกมาจากทุกคนไปถามสืออีเหนียงด้วยเสียงกระซิบ
“เป็นพยัคฆ์ทองคำ” สืออีเหนียงเปรียบเปรยให้เห็นภาพ “จากที่หู่พั่วบอกดูเหมือนว่าข้างในจะโปร่ง”
ไท่ฮูหยินยิ้ม เห็นได้ชัดว่านางพอใจกับการรับมือของสืออีเหนียงเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงนั่งลงบนเตียงเตา ดูเด็กๆ เล่นกันอย่างสนุกสนานอยู่กับฮูหยินห้า
เว่ยจื่อยกน้ำชาใบหม่อนเข้ามา
เด็กๆ ลงจากเตียงนั่งไปดื่มชาใบหม่อน ฮูหยินห้ากับสืออีเหนียงยังคงนั่งอยู่บนเตียงเตา มีสาวใช้น้อยยกชามาให้
ฮูหยินห้าถือถ้วยทรงกระดิ่งลายครามอยู่ ยิ้มแล้วพูดว่า “ได้เวลาพูดเรื่องการหมั้นหมายของเจินเจี่ยเอ๋อร์แล้วกระมัง”
เสียงระฆังเตือนภัยดังขึ้นในใจของสืออีเหนียง
ฮูหยินห้าพูดถึงเรื่องการหมั้นหมาย หากปฏิเสธเกรงว่าจะทำให้นางไม่สบายใจนัก ถึงอย่างไรทั้งสองคนก็ต้องเจอกันบ่อยๆ
“กำลังปรึกษากันอยู่!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “มีหลายตระกูล ท่านโหวกำลังส่งคนไปสืบหาข้อมูลทีละคน!”
ฮูหยินห้ายิ้มแล้วพูดว่า “หลานชายของท่านป้าสะใภ้สกุลเดิมของข้าอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเจินเจี่ยเอ๋อร์ ให้ข้าไปถามให้หรือไม่” จากนั้นก็เล่าเรื่องราวของฝ่ายชายให้ฟัง
ในเมื่อพูดถึงเรื่องการหมั้นหมาย ก็ย่อมต้องยกคำดีๆ มาพูด รายละเอียดจะเป็นอย่างไรสืออีเหนียงก็ยังไม่รู้ แต่ก็พอจะเข้าใจอยู่เล็กน้อย หลานของป้าสะใภ้ฮูหยินห้ามาจากกองทัพทหาร มีตำแหน่งที่สืบทอดต่อกันมา
“ข้าจะกลับไปปรึกษากับท่านโหว” ฮูหยินห้าพยักหน้า ลุกขึ้นไปหาไท่ฮูหยิน ถามจุนเกอว่า “อาจารย์จ้าวให้เจ้าหยุดอีกแล้วหรือ”
“ไม่ใช่ขอรับ” จุนเกอรีบพูดขึ้นว่า “อาจารย์ให้ข้าเขียนตัวอักษรสิบสองตัว ข้าเขียนเสร็จก่อนเวลาและเขียนได้ดีมาก อาจารย์จึงให้ข้าหยุดเรียนหนึ่งวัน ไม่ใช่ให้ข้าหยุดเพราะเป็นวันเกิดของข้า อาจารย์บอกว่าไม่ควรหาข้ออ้างให้ตัวเองหยุดเรียน”
ฮูหยินห้าได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ “เขาหยุดในทุกๆ เทศกาลไม่ว่าจะสำคัญหรือไม่สำคัญ ยังจะบอกว่าไม่ใช่ข้ออ้างอีก!”
“ไม่ใช่ข้ออ้างนะขอรับ” ฮูหยินห้าเป็นผู้อาวุโสของเขา จุนเกอไม่กล้าโต้แย้ง แต่ใบหน้ากลับแดงก่ำ พูดตะกุกตะกักว่า “อาจารย์บอกว่าการเรียนย่อมมีหนักมีเบา”
“ดูแล้วจุนเกอของเราจะชอบอาจารย์จ้าวเป็นอย่างมาก!” ฮูหยินห้ายังคงพูดหยอกล้อจุนเกอต่อ
ความคิดของสืออีเหนียงกลับล่องลอยไกลออกไป กำลังคิดอยู่ว่าเหตุใดหู่พั่วถึงยังไม่กลับมารายงานสักที