“คุณนายใหญ่สกุลเหลียงบอกว่ากานไท่ฮูหยินได้ย้ายไปอยู่ที่สวนหลังจวนแล้ว นางตั้งใจจะมาบอกท่านเจ้าค่ะ”
ตอนนี้ซื่อจื่อได้ดำรงตำแหน่งแล้ว ตอนนี้คุณนายใหญ่สกุลกานได้กลายเป็นกานฮูหยินแล้ว ส่วนกานฮูหยินคนก่อนได้ถูกปรับตำแหน่งเป็นกานไท่ฮูหยิน
สืออีเหนียงให้ป้าซ่งออกไปก่อน วันรุ่งขึ้นได้ถือกล่องสีแดงไปที่จวนสกุลกาน
กฎของต้าโจวคือต้องแบ่งทรัพย์สินทั้งหมดอย่างเท่าเทียมกัน บิดาของฮูหยินสามก็เป็นหนึ่งในคนที่แย่งชิงทรัพย์สมบัติกับจงฉินปั๋วคนใหม่ กานฮูหยินไม่อยากล่วงเกินสืออีเหนียง ให้สกุลสวีที่เป็นกลางต้องมาเป็นฝ่ายตรงข้ามกับตน นางจึงยิ้มพลางพาสืออีเหนียงไปที่เรือนของกานไท่ฮูหยินด้วยความนอบน้อม
เรือนถูกสร้างที่มุมตะวันออกเฉียงเหนือของสวนหลังจวน ประตูเล็กทั้งสองบานทาสีดำขลับ เมื่อเข้าประตูมาก็จะเห็นกำแพงแกะสลัก เมื่ออ้อมกำแพงแกะสลักมาจะมีห้องปีกซ้ายขวาสามห้อง ด้านหน้ามีห้องหลักสามห้องรวมทั้งห้องย่อย แม้ว่าเรือนจะสะอาดสะอ้าน แต่ก็โล่งเตียนเกินไป อย่าว่าแต่ต้นไม้เลย แม้แต่กระถางต้นไม้ก็ไม่มี มีเพียงสุนัขตัวน้อยที่กานไท่ฮูหยินเลี้ยงไว้กำลังนอนแผ่อยู่บนบันไดหินปูนอย่างเกียจคร้าน ให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวและเงียบสงัด
มีสาวใช้น้อยไปรายงานแล้ว สืออีเหนียงพึ่งจะเดินขึ้นบันได กานไท่ฮูหยินก็ออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง
นางสวมชุดกระโปรงผ้าฤดูร้อนสีดำ ผมดำขลับดุจน้ำหมึกถูกมวยขึ้นอย่างเป็นระเบียบ ไม่มีเครื่องประดับบนหัว แต่งตัวเหมือนหญิงม่าย แม้ว่าดวงตาจะดูช้ำเขียวอย่างเห็นได้ชัด แต่นางดูมีชีวิตชีวากว่าตอนที่เจอกันก่อนหน้านี้
“เจ้ามาแล้วหรือ” ดวงตาของกานไท่ฮูหยินมีรอยยิ้มจางๆ ปรากฎขึ้น
สืออีเหนียงย่อเข่าคำนับนางแล้วพูดขึ้นมาว่า “ได้ยินหลานถิงบอกว่าท่านย้ายมาที่นี่ข้าจึงตั้งใจมาเยี่ยมเยียน”
กานไท่ฮูหยินทักทายนางสองสามประโยคก่อนจะต้อนรับนางและกานฮูหยินเข้าไป
ภายในห้องตกแต่งด้วยข้าวของเครื่องใช้สีดำทั้งหมด มีภาพวาดภูเขาและแม่น้ำแขวนอยู่ที่กลางห้องโถง บนโต๊ะยาวมีขวดบ๊วยลายครามวางอยู่ ทั้งหมดเป็นของที่กานไท่ฮูหยินเคยใช้ มีกลิ่นสีจางๆ ในห้อง
ทุกคนแยกย้ายกันไปนั่ง สาวใช้น้อยยกเครื่องดื่มและขนมมาวาง คุยเรื่องในครอบครัวอย่างเป็นกันเอง มีสาวใช้น้อยผู้หนึ่งเข้ามารายงาน “ฮูหยิน ท่านปั๋วเชิญท่านไปที่เรือนหลัก บอกว่ามีเรื่องจะปรึกษากับท่านเจ้าค่ะ”
กานฮูหยินได้ยินดังนั้นก็นั่งไม่ติด ยิ้มบอกลาสืออีเหนียงพลางชวนให้นางอยู่ทานข้าวต่ออย่างสนิทสนมก่อนจะไปที่เรือนหลัก
ทันทีที่นางไป กานไท่ฮูหยินก็พาสืออีเหนียงเข้าไปที่ห้องด้านใน
ทั้งสองนั่งลงบนเตียงนั่งริมหน้าต่างที่ห้องด้านใน ให้บรรดาสาวใช้น้อยออกไปทั้งหมด สืออีเหนียงหยิบกล่องออกมาจากเสื้อ
สีหน้าของกานไท่ฮูหยินเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง “โชคดีที่เจ้าให้คนมาเยี่ยมข้า มิเช่นนั้นก็คงไม่ได้มอบกล่องนี้ให้เจ้า!” จากนั้นก็นำกล่องวางไว้ด้านหลังหัวเตียงที่แกะสลักเรื่องราว ’มารดาของเมิ่งจื่อย้ายถิ่นฐานสามครั้ง’ ต่อหน้านาง แล้วกลับมานั่งบนเตียงนั่ง “เป็นโฉนดที่ดินที่นายท่านคนก่อนแอบซื้อให้เมื่อหลายปีก่อน ข้าคิดไม่ถึงว่าเขาจะจากไปเร็วเช่นนี้…” ขณะที่พูดดวงตาก็เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา
สืออีเหนียงรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาให้กานไท่ฮูหยิน แต่ในใจกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น
หากตั้งใจทำเพื่อกานไท่ฮูหยินจริงๆ หลายปีมานี้ตอนที่ร่างกายยังแข็งแรงดีก็ควรจะหาวิธีให้บุตรชายที่เกิดจากสาวใช้ห้องข้างที่ถูกเลี้ยงดูภายใต้ชื่อของกานไท่ฮูหยิน ทิ้งทรัพย์สินที่ดินเหล่านี้ไว้เพื่ออะไร สตรีไม่สามารถมีทรัยพ์สินอื่นนอกจากสินเดิม ต้องให้สิ่งที่กานไท่ฮูหยินสามารถครอบครองได้ถึงจะถูก!
นางอดพูดไม่ได้ว่า “เรื่องนี้ท่านควรจะปรึกษากับท่านทูตดีหรือไม่ ทรัพย์สินประเภทที่ดิน จะต้องมีขั้นตอนมากมาย!”
กานไท่ฮูหยินรับผ้าเช็ดหน้ามาซับหางตาแล้วกระซิบว่า “พี่ชายข้ารู้เรื่องนี้แล้ว ตอนนั้นท่านปั๋วคนก่อนได้นับทรัพย์สินพวกนี้รวมกับสินเดิมของข้า จนเกินรายชื่อสินเดิมบัญชี ท่านปั๋วคนก่อนกับพี่ชายของข้าทะเลาะกันก็เพราะทรัพย์สินเหล่านี้”
สืออีเหนียงได้ฟังก็แปลกใจมาก
กานไท่ฮูหยินพูดขึ้นมาว่า “เรือนเหล่านี้ล้วนอยู่ที่ตรอกข้างถนนตงต้า ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น ด้วยสภาพแวดล้อมที่ครื้นเครง อีกทั้งที่นั่นมีร้านผงชาดที่มีอายุร้อยปี และร้านเครื่องหอมก็อยู่ที่นั่น ล้วนเป็นเรือนเก่าแก่ มีเงินก็ซื้อไม่ได้ ท่านปั๋วสงสัยว่าสินสอดทองหมั้นที่ติดตัวข้ามาเป็นของท่านปั๋วคนก่อน…ตอนนี้ก็อธิบายอย่างชัดเจนแล้ว พี่ชายของข้าสนับสนุนท่านปั๋วให้นำหนึ่งในห้าส่วนของที่ดินของตระกูลมาทำพิธีเซ่นไหว้ เขาจึงไม่ได้ตรวจสอบทรัพย์สินเหล่านี้”
สืออีเหนียงสูดหายใจเข้า
ที่ดินของสกุลกานอยู่ภายใต้การดูแลของจงฉินปั๋วมาทุกยุคทุกสมัย กล่าวคือทรัพย์สินในส่วนกลางยังไม่ได้แบ่งกัน หนึ่งในห้าของทรัพย์สินได้ตกไปอยู่ในมือของจงฉินปั๋วคนใหม่
กานไท่ฮูหยินจะไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร
นางถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดอย่างเบื่อหน่ายว่า “อย่าเอาแต่พูดถึงเรื่องวุ่นวายของข้าเลย” จากนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า “ข้ามชื่อเล่นว่าฝูเจิน เจ้าเรียกข้าว่าฝูเจินก็พอแล้ว!”
มีเพียงคนที่สนิทกันมากๆ เท่านั้นถึงจะเรียกชื่อเล่นกันได้
สืออีเหนียงยิ้มพลางเรียกกานไท่ฮูหยินว่า “พี่หญิงฝูเจิน” แล้วพูดต่อว่า “ข้ามีชื่อเล่นว่ามั่วเหยียน”
ฝูเจินได้ฟังก็หัวเราะแล้วเรียกนางว่า “น้องหญิงมั่วเหยียน”
สืออีเหนียงมีสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย
พูดตามตรง ไม่ชินเลยจริงๆ ที่ถูกเรียกเช่นนี้!
กานไท่ฮูหยินกลับไม่ได้สนใจเรื่องนี้ ถามถึงเรื่องของนางด้วยความเป็นห่วงว่า “เจ้าย้ายกลับไปแล้วใช่หรือไม่ เป็นอย่างไรบ้าง ชินแล้วหรือยัง”
คงหมายถึงเรื่องที่ภรรยาเอกกับอนุภรรยาได้กลับมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอีกครั้งกระมัง!
“ก็พอได้!” สืออีเหนียงยิ้มพลางพูดอย่างมีนัยยะว่า “คงไม่สามารถอาศัยอยู่ที่เรือนริมน้ำได้ตลอดชีวิต มีบางเรื่องที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้!”
กานไท่ฮูหยินเห็นสีหน้าของนางนิ่งสงบ สายตาก็จับจ้องไปที่ท้องของนาง
สองวันก่อนได้พูดคุยเรื่องส่วนตัว
สืออีเหนียงรู้ถึงความหมายของนางจึงเอ่ยขึ้นว่า “ทางฝั่งของข้ายังไม่มีอะไรคืบหน้าเลย”
กานไท่ฮูหยินได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกกังวลขึ้นมา จึงพูดเกลี้ยกล่อมนางว่า “เจ้าลองคิดให้ละเอียดอีกทีเถิด หากมีลูกเจ้าจะมีชีวิตที่ดีหลังจากนี้”
“ปล่อยไปตามโชคชะตาเถิด!” ท่าทางของสืออีเหนียงเอื่อยเฉื่อยเป็นอย่างมาก
นางรู้ว่าหากมีลูกจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมาก แต่นางไม่เต็มใจที่จะเอาเด็กมาเป็นหมากที่มีชีวิต เด็กน้อยที่มักทำให้คนรู้สึกทุกข์แต่ก็แฝงไว้ด้วยความสุขควรจะเป็นของขวัญที่งดงามที่สุดในชีวิต
ขึ้นอยู่กับว่าสวรรค์จะตัดสินใจว่าจะให้สิ่งนั้นกับตนเมื่อใด!
กานไท่ฮูหยินถอนหายใจเบาๆ
อย่างไรเสียสืออีเหนียงก็ยังเด็กเกินไป ยังไม่เข้าใจหลักการ ‘ช่วงเวลาดีๆ มักไม่เนิ่นนาน มิตรภาพไม่ได้คงอยู่ตลอดไป’ อย่างไรก็ตามนี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้คนหนุ่มสาวมีชีวิตชีวา มักจะรู้สึกว่าตัวเองยังมีเวลาและโอกาสอีกมากมาย เต็มไปด้วยความหวังสำหรับอนาคต
นางไม่ได้เกลี้ยกล่อมสืออีเหนียงอีก บางครั้งมีเพียงการประสบพบเจอด้วยตัวเองเท่านั้นจึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงความคิดได้
กานไท่ฮูหยินเปลี่ยนหัวข้อสนทนา พูดกับนางถึงเรื่องวันไหว้พระจันทร์ “วันนี้บรรดาบุตรเขยจะมาส่งของขวัญเทศกาลไหว้พระจันทร์ใช่หรือไม่”
“เจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงพูดต่อว่า “เมื่อไม่กี่วันก่อนก็ส่งของขวัญมาแล้ว นอกจากชา สุรา ขนมไหว้พระจันทร์ ขนมหวานที่เป็นของหาได้ทั่วไปแล้วยังได้ส่งพุทราไหมทองที่ปลูกในเมืองชังโจวโดยเฉพาะมาอีกด้วย”
ขณะที่พูดอยู่นั้นกานฮูหยินก็มาพอดี ยิ้มพลางเชื้อเชิญสืออีเหนียงไปทานอาหารกลางวันที่เรือนหลัก สืออีเหนียงอ้างว่าที่เรือนยังมีธุระจึงลุกขึ้นกล่าวลา
เมื่อกลับมาถึงเรือนก็คิดถึงเรือนหลังนั้นของกานไท่ฮูหยิน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ทำอย่างไรก็นอนไม่หลับ สวีลิ่งอี๋กอดนาง “มีอะไรหรือถึงได้นอนไม่หลับเช่นนี้”
“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงพูดต่อว่า “แค่รู้สึกว่าแมลงในฤดูใบไม้ร่วงเสียงดังน่ารำคาญ”
สวีลิ่งอี๋ตั้งใจฟัง แต่ก็ได้ยินเสียงร้องเพียงไม่กี่ครั้ง
เขาครุ่นคิด
ในเที่ยงของวันต่อมาเขากลับมาจากเรือนนอก ก็เห็นป้าซ่งกับสะใภ้หลี่ถิงประคองสาวใช้น้อยขึ้นรถม้าอยู่ที่หน้าประตูฉุยฮวา
เมื่อทั้งสองเห็นสวีลิ่งอี๋ก็รีบเข้าไปคารวะ ป้าซ่งอธิบายว่า “ฮูหยินส่งพุทราไหมทองจากชังโจวที่ท่านเขยส่งมาเมื่อไม่กี่วันก่อนไปที่จวนจงฉินปั๋วให้กานไท่ฮูหยินลองชิมเจ้าค่ะ” จากนั้นก็ชี้ไปที่สะใภ้หลี่ถิง “ให้นางตามข้าไปด้วย ไปดูว่ากานไท่ฮูหยินขาดแคลนอะไรหรือไม่ จากนั้นค่อยส่งดอกไม้และต้นไม้ไปให้”
สวีลิ่งอี๋แอบรู้สึกประหลาดใจ
คิดไม่ถึงว่าสืออีเหนียงจะดูแลกานไท่ฮูหยินดีเช่นนี้
เขาพยักหน้าอย่างเงียบๆ แล้วเดินเข้าไปในจวน
สืออีเหนียงกำลังนั่งเขียนแผ่นพับตัวอักษรให้สวีซื่อเจี้ยอยู่บนเตียงนั่ง
“เห็นหรือยัง สามคำนี้รวมกันคือ ‘เซียง จิ่ว ลิ่ง’ ข้าจะเล่าเรื่อง ’หวงเซียงอุ่นที่นอนพัดหมอน’ ให้เจ้าฟัง แล้วเจ้าต้องหาตัวอักษรทั้งสามตัวนี้ออกมา เข้าใจหรือไม่” ท่าทางใจเย็นมีความอดทนสูง
สวีซื่อเจี้ยกอดหมอนอิงใบเล็กพยักหน้าไปมา
สวีลิ่งอี๋ยืนครุ่นคิด
สืออีเหนียงได้ยินสวีซื่อเจี้ยร้องเรียก “ท่านพ่อ”
“ท่านโหวกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ!” นางยิ้มพลางลงจากเตียงนั่ง
จู่ๆ ก็มีสาวใช้น้อยวิ่งเข้ามา “ฮูหยิน มีจดหมายมาจากอวี๋หังเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงรับมาดู ลายมืองดงามแลดูสง่า เป็นลายมือของอาจารย์เจี่ยน
“เป็นจดหมายจากอาจารย์เจี่ยน” นางยิ้มพลางอธิบายให้สวีลิ่งอี๋ฟัง จากนั้นก็เปิดซองจดหมาย นั่งลงบนเตียงนั่งแล้วเริ่มอ่านจดหมาย ไม่นานก็เงยหน้าขึ้น สีหน้าเผยให้เห็นถึงความดีใจ “บอกว่ากลางเดือนเจ็ดจะเริ่มออกเดินทางจากอวี๋หัง” ขณะที่พูดรอยยิ้มก็ค่อยๆ หายไป “แต่เหตุใดจดหมายถึงได้มาช้านัก หากนับวันแล้วอาจารย์เจี่ยนกับชิวจวี๋คงใกล้จะมาถึงในสองวันนี้แล้ว!”
ตอนที่สืออีเหนียงส่งจดหมายไปฉบับแรก อาจารย์เจี่ยนก็ตอบจดหมายมาว่ายินดีมาเรียนรู้ที่เมืองเยี่ยนจิง แต่เพราะยังต้องสอนลูกศิษย์อีกหลายคนจึงไม่สามารถกำหนดวันเวลาที่แน่นอนได้ สืออีเหนียงคิดว่าในเมื่อมีลูกศิษย์ที่ต้องสอน เกรงว่าคงจะได้ออกเดินทางสิ้นปีนี้หรือไม่ก็ปีหน้าหรือปีต่อๆ ไป คิดไม่ถึงว่าจะได้ออกเดินทางกลางปีนี้เลย
นางอดเป็นกังวลไม่ได้
หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้น
สวีลิ่งอี๋คิดว่านางกังวลเกี่ยวกับการมาอย่างกะทันหันของอาจารย์เจี่ยนแล้วจะหาจวนสวีไม่เจอจึงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าอย่าได้กังวลไปเลย ข้าจะส่งคนไปรับนางที่ทงโจว”
อาจารย์เจี่ยนเป็นสตรีนางหนึ่ง และมาที่เยี่ยนจิงเป็นครั้งแรก หากมีคนไปรอรับก็จะดีไม่น้อย
สืออีเหนียงเอ่ยขอบคุณสวีลิ่งอี๋ สวีลิ่งอี๋จัดแจงส่งคนไปรอรับอาจารย์เจี่ยนที่ทงโจว
เมื่อถึงวันที่สิบห้าเดือนแปด ไท่ฮูหยินก็นำบรรดาสตรีในจวนไปไหว้พระจันทร์ที่ศาลาปี้อีริมน้ำ จากนั้นก็ไปทานขนมไหว้พระจันทร์ที่เรือนฉยงหลิง ดื่มสุรากุ้ยฮวาพลางชมจันทร์
จุนเกอกับสวีซื่อเจี้ยถือโคมไฟกระต่ายวิ่งเล่นกันอยู่ในห้องโถงพลางร้องเพลงว่า “ดอกบัวยังไม่ทันหมดไป ก็มาถึงเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ ทุกคนในครอบครัวตัดขนมไหว้พระจันทร์ กระต่ายกระดาษหอมกลิ่นขี้ผึ้ง เด็กๆ พากันร้องเพลงชมจันทร์อย่างมีคามสุข” ทำเอาทุกคนพากันหัวเราะครื้นเครง
หลังจากเทศกาลไหว้พระจันทร์ สืออีเหนียงก็พาสะใภ้หลี่ถิงไปที่เรือนกานไท่ฮูหยิน ส่งดอกไม้และต้นไม้มากมายไปให้กานไท่ฮูหยิน สะใภ้หลี่ถิงสั่งให้หญิงรับใช้สูงวัยย้ายกระถางต้นไม้บางส่วนไปที่ห้องด้านใน บางส่วนก็ปลูกที่ลานบ้าน
กานไท่ฮูหยินบ่นนาง “ข้าก็แก่จนจะลงโลงแล้ว เหตุใดเจ้าต้องหาเรื่องล่วงเกินนางด้วยเล่า!”
“แต่ก็ยังไม่ได้ลงโลงใช่หรือไม่” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “พี่หญิงฝูเจิน เห็นแก่ข้าที่เป็นห่วงท่านเช่นนี้ ท่านก็ควรจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขด้วย” กานไท่ฮูหยินไม่ได้พูดอะไร มองนางด้วยความประหลาดใจ จากนั้นก็เผยให้เห็นรอยยิ้มบางๆ “ตอนที่ข้าอายุเท่าเจ้าข้ามักจะกังวลว่าตัวเองจะพูดผิดหรือทำอะไรผิดจนล่วงเกินผู้อื่น…เจ้าแข็งแกร่งกว่าข้าในตอนนั้นมาก”
“จริงหรือ” สืออีเหนียงได้ฟังก็รู้สึกประหลาดใจ
หรือว่าตัวเองจะแสดงความเป็นผู้ใหญ่มากเกินไป!
นางรู้สึกผิด กานไท่ฮูหยินจับมือนางไว้ “แต่ว่าเป็นเช่นนี้ก็ดี! จะได้ไม่เหมือนข้า…” น้ำเสียงดูปลื้มปิติเป็นอย่างมาก จากนั้นก็เดินเข้าไปที่ห้องด้านในกับนาง
สืออีเหนียงรู้สึกขวยเขินเล็กน้อย
ขณะที่พึ่งนั่งลงบนเตียงนเตาขนาดใหญ่ที่ริมหน้าต่างห้องด้านในกับกานไท่ฮูหยิน เห็นหญิงรับใช้สูงวัยกลุ่มหนึ่งห้อมล้อมกานฮูหยินเดินเข้ามา
กานฮูหยินเห็นบรรยากาศในเรือนดูครึกครื้นก็รู้สึกคาดไม่ถึง
กานไท่ฮูหยินพูดเสียงเรียบว่า “ข้าให้ฮูหยินหย่งผิงโหวช่วยหาดอกไม้และต้นไม้ที่เหมาะสมมาปลูกในเรือนนี้ ฮูหยินเห็นหรือไม่ ที่ปลูกอยู่ตรงมุมกำแพงว่ากันว่าเป็นต้นเซียงชุน เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิก็เก็บใบเซียงชุนมาผัดกับไข่ไก่ทานได้ เจ้าว่าอย่างไรบ้าง ไม่เลวเลยใช่หรือไม่”
กานฮูหยินมองสืออีเหนียงด้วยความอึดอัดใจ ยิ้มแล้วพูดว่า “สิ่งที่ท่านแม่ตัดสินใจย่อมไม่ผิดแน่!” จากนั้นก็พูดอีกสองสามประโยคก่อนจะรีบกล่าวลา