“ลั่วเย่ว์อยู่ห่างไกลเกินไป” สืออีเหนียงได้ฟังดังนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “แต่ว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล หลิวหยวนรุ่ยของพวกเจ้าเป็นคนมีคุณธรรมและซื่อสัตย์ เป็นคนทำงานได้อย่างเหมาะสม หากร้านขายของมงคลสมรสได้เปิดจริงๆ แล้วมีเขาคอยช่วยที่ร้านข้าก็สบายใจ ช่วงนี้เจ้าช่วยไปเดินดูรอบๆ กับอาจารย์เจี่ยนไปก่อน ส่วนจะจัดการอย่างไรนั้นข้าจะลองคิดดูอย่างละเอียดอีกที”
สืออีเหนียงเป็นคนที่คำพูดเชื่อถือได้ สะใภ้หลิวหยวนรุ่ยได้ยินดังนั้นก็ดีใจเป็นอย่างมาก ย่อเข่าคำนับสืออีเหนียง จากนั้นก็ไปหาอาจารย์เจี่ยนพร้อมกับสืออีเหนียง
อาจารย์เจี่ยนเห็นสะใภ้หลิวหยวนรุ่ยแต่งกายเรียบร้อย พูดจาไพเราะ ดูก็รู้ว่าเป็นคนฉลาด จึงแอบพยักหน้า ให้ผ้าเช็ดหน้าสองผืนเป็นของขวัญในการพบกันแก่สะใภ้หลิวหยวนรุ่ย จากนั้นก็กำชับชิวจวี๋ว่าช่วงนี้ให้ไปช่วยเจินเจี่ยเอ๋อร์ทำงานเย็บปักเป็นเพื่อนปินจวี๋ แล้วเริ่มไปหาร้านค้าที่ถนนตงต้าและถนนซีต้าในเยี่ยนจิงกับสะใภ้หลิวหยวนรุ่ยเพื่อดูสถานการณ์
ในตอนนี้เฉียวเหลียนฝังกำลังกำชับซิ่วหยวนว่า “ปักดอกบัวปิ้งตี้เถิด มันทำมาจากผ้าไหมบาง และมีขนาดเท่าจอกเหล้า จะได้ไม่เตะตามาก”
ซิ่วหยวนได้ยินดังนั้นก็รีบหยิบดอกบัวปิ้งตี้คู่นั้นมาปักที่มวยผมของเฉียวเหลียนฝัง เงยหน้ามองคนในกระจก ใบหน้าขาวราวกับหยก ริมฝีปากแดงระเรื่อ พูดด้วยความลังเลว่า “คุณหนู ท่านดูสิ ท่านจะเปลี่ยนสีแก้มหรือไม่…สีนี้ดูโดดเด่นงดงามเกินไป บ่าวดูแล้วสืออีเหนียงมักจะแต่งกายเรียบง่ายมากเวลาอยู่ที่เรือน ท่านก็พูดเองไม่ใช่หรือว่าตอนนี้ท่านโหวเวลาอยู่เรือนในก็มักจะไปอยู่ที่เรือนของนาง หากอยากจะพบท่านโหวก็ทำได้เพียงต้องไปคารวะนางที่นั่น ท่านแต่งกายสวยงามเช่นนี้ หากสืออีเหนียงผู้นั้นเห็นเข้าแล้ว จะต้องอิจฉาอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ…”
“สืออีเหนียงผู้นั้นร้ายกาจและเจ้าเล่ห์” เฉียวเหลียนฝังได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้า “เช่นนั้นก็ช่วยเปลี่ยนเป็นสีชมพูดอกท้อให้ข้าที”
เมื่อซิ่วหยวนได้ยินก็ตอบรับอย่างดีใจ ตักน้ำมาช่วยเฉียวเหลียนฝังล้างหน้าให้สะอาด ทาแป้งแล้วปัดแก้มสีแดงอมชมพู
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย เฉียวเหลียนฝังกลับนั่งทำหน้าบึ้งตึงอยู่ตรงนั้น
ซิ่วหยวนไหนเลยจะไม่รู้ถึงปมในใจของนาง พูดเกลี้ยกล่อมนางเบาๆ เพื่อหาทางลงให้นาง “นี่เป็นเพียงการเสแสร้งแสดงความนอบน้อมเพียงชั่วคราวเท่านั้นเจ้าค่ะ นึกถึงตอนนั้นที่ท่านกั๋วกงของพวกเราพาอี๋เหนียงสี่กลับมา ฮูหยินของพวกเราทำอย่างไรจำได้หรือไม่เจ้าคะ ไม่เพียงแค่ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเท่านั้น ตอนที่อี๋เหนียงสี่ป่วยก็ยังไปต้มยาให้นางด้วยตัวเอง อย่าว่าแต่พออี๋เหนียงสี่เห็นแล้วจะรู้สึกซาบซึ้ง แม้แต่ท่านกั๋วกงของพวกเราพอเห็นแล้วก็ยังบอกว่าฮูหยินมีคุณธรรมและใจกว้าง มีคุณสมบัติคู่ควรที่จะเป็นนายหญิงของจวน ต่อมาฮูหยินบอกว่าอี๋เหนียงสี่ทำให้อี๋เหนียงสามแท้ง ท่านกั๋วกงของพวกเราไม่ได้ซักถามอี๋เหนียงสี่แม้แต่คำเดียว ก็ให้ฮูหยินส่งอี๋เหนียงสี่กลับสกุลเดิม นั่นเป็นเพราะฮูหยินมีฐานะสูงส่งจึงสามารถทำเช่นนั้นได้ในตอนนั้น ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้คุณหนูได้พบกับคนที่เจ้าเล่ห์เพทุบายอย่างสืออีเหนียง ยิ่งควรจะใช้วิธีพิเศษในกรณีพิเศษเช่นนี้จึงจะถูกเจ้าค่ะ!”
เฉียวเหลียนฝังได้ฟังดังนั้น ก็ค่อยๆ ปรับความรู้สึกอารมณ์ในใจ แล้วลุกขึ้นยืน “ซิ่วหยวน เจ้าพูดถูก ข้าควรจะตั้งสติ ไม่ควรไปคิดเล็กคิดน้อยว่าจะได้กำไรหรือขาดทุน ต้องคิดหาวิธีมีบุตรอีกให้ได้จึงจะถูก”
ซิ่วหยวนได้ฟังดังนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางหยิบเสื้อกั๊กสีแดงทับทิมตัวใหม่ขึ้นมาพลางยิ้มแล้วพูดว่า “คุณหนูคิดได้เช่นนี้ถูกต้องแล้ว ท่านโหวเป็นคนเคร่งครัดในกฎ ตอนนี้ท่านไปคารวะสืออีเหนียงทุกวัน ประการแรกพอมาเจอหน้ากัน ท่านโหวเห็นดังนั้นก็จะนึกถึงช่วงเวลาดีๆ ในอดีต ย่อมต้องใจอ่อนแล้วก็จะไม่มีสีหน้าเย็นชากับท่าน ประการที่สองเมื่อเวลาผ่านไปนาน หากสืออีเหนียงผู้นั้นคิดพูดใส่ร้ายท่านต่อหน้าท่านโหว ท่านโหวก็จะไม่เชื่อ เมื่อถึงเวลานั้นขอเพียงแค่ท่านตั้งครรภ์คุณชายน้อย อย่าว่าแต่จะทำให้ฉินอี๋เหนียงไม่มีที่ยืน แม้แต่สืออีเหนียงเองก็เกรงว่าคงจะต้องนอนไม่หลับแล้วเจ้าค่ะ”
เฉียวเหลียนฝังได้ฟังก็พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็ส่งเสียง “เหอะ” ออกมาอย่างเย็นชา “เจ้าดูความหยิ่งยโสของนางเมื่อวานนี้ เอารองเท้าไปส่งตอนไหนไม่ไป ดันเอารองเท้าไปส่งตอนที่ท่านโหวอยู่ด้วย ปากบอกว่าเพื่อแสดงความเคารพต่อสืออีเหนียง ความจริงแล้วก็เพื่อที่จะทำท่าทางนอบน้อมต่อหน้าสืออีเหนียงเพื่อเอาใจท่านโหว” ขณะที่พูดสายตาก็ฉายแววดูหมิ่น “แต่ก็ไม่น่าแปลกใจที่นางจะกังวล ข้าได้ยินสาวใช้น้อยที่ชื่อว่าหงเอ๋อร์บอกว่าหลายวันมานี้แม้ว่าท่านโหวจะไปหานางแต่กลับ…” เมื่อพูดถึงตรงนี้นางก็เบ้ปากอย่างดูแคลน “คราวที่แล้วที่เรือนริมน้ำท่านโหวก็สั่งสอนนางไปหลายประโยค ตั้งแต่ที่นางวิ่งเข้าไปก่อเรื่องที่เรือนหลัก พอท่านโหวเห็นนาง อย่าว่าแต่พูดทักทายเลย แม้แต่หน้าก็ไม่อยากจะชายตามอง คนเป็นแม่มักจะได้รับเกียรติจากเกียรติของบุตรชาย ลูกมักจะได้รับความเคารพจากความน่าเกรงขามของมารดา ตอนนี้คุณชายน้อยสองอยู่ไกลถึงเล่ออาน จุนเกอเองก็ถูกแต่งตั้งเป็นซื่อจื่อแล้ว หากนางยังไม่ทุ่มเทแรงกายแรงใจอีก เกรงว่าในจวนนี้คงมีไม่กี่คนที่รู้ว่านางเป็นใคร!”
แต่ซิ่วหยวนกลับกังวล “ท่านโหวยังต้องไว้ทุกข์อีกสองเดือนครึ่ง ได้ยินมาว่าคุณชายน้อยสองจะกลับมาเข้าร่วมการสอบบัณฑิตรุ่นเยาว์ปลายปีนี้ บ่าวกลัวว่าเมื่อเวลานั้นมาถึง เพื่อคุณชายน้อยสองแล้ว…”
เฉียวเหลียนฝังได้ฟังเช่นนี้ก็กัดฟันแน่น สายตาฉายแววเย็นชา “ไป พวกเราไปคารวะสืออีเหนียงกันเถิด!”
“เจ้าค่ะ!” ซิ่วหยวนได้ยินดังนั้นก็ยิ้มหน้าบาน
ชุ่ยเอ๋อร์สาวใช้ของฉินอี๋เหนียงเอ่ยเตือนฉินอี๋เหนียงอย่างลังเลว่า “ท่านว่า จะต้องไปหาฮูหยินหรือไม่เจ้าคะ”
ฉินอี๋เหนียงลืมตาขึ้น ก้มหน้าแล้วพนมมือ มีชุ่ยเอ๋อร์ประคองนางลุกขึ้น
“เจ้าไปหยิบเสื้อผ้ามาให้ข้าที” สายตาของนางยังคงหลงเหลือความเคร่งครัดต่อศาสนา ในกระถางธูปมีธูปที่จุดถวายพระโพธิสัตว์กวนอิมปักอยู่ “ท่านโหวไม่ชอบให้ข้าไหว้พระ ข้าจะเปลี่ยนชุดก่อนแล้วค่อยไป”
ในห้องได้จุดไม้จันทน์ไว้แล้ว อีกนานกว่ากลิ่นจะสลายไป
ชุ่ยเอ๋อร์รับคำแล้วถอยออกไป
ตั้งแต่ครั้งก่อนที่ตัวเองใช้คำพูดกดดันสืออีเหนียง ท่านโหวก็เพียงฝืนใจมาอยู่ที่ห้องของตนทั้งคืน แล้วก็ไม่มีอีกเลย…
ฉินอี๋เหนียงยืนอยู่ด้านหน้าศาลเจ้า ครุ่นคิดอยู่เงียบๆ
เดิมทีคิดว่าอีกไม่กี่วันความโกรธของท่านโหวก็จะสลายไป ไม่เคยคิดเลยว่า…
ในหัวของนางปรากฏภาพการแสดงออกอย่างเฉยเมยของสวีลิ่งอี๋ที่สั่งให้คนไปซื้อเตาผิงพกพาเมื่อวานนี้ หัวใจราวกับถูกมีดกรีดก็ไม่ปาน
‘แค่ซื้อให้ท่านแม่ เจ้า แล้วก็น้องสะใภ้ห้าก็พอแล้ว’
ทุกคำทุกประโยคเหมือนฟ้าผ่าลงกลางใจ ทำให้นางรู้สึกเจ็บปวด
ท่านโหวเป็นคนใจกว้างมาตลอด แม้ว่าเตาผิงไม้ไผ่นั้นหาได้ยาก แต่ก็ไม่ใช่ของที่ฮูหยินใช้ได้แต่อนุใช้ไม่ได้ ปกติแล้วอย่าว่าแต่ห้ามเหวินอี๋เหนียงเลย เกรงว่าเขาคงกำชับให้ผู้ดูแลซื้อมาไว้เป็นกองตั้งนานแล้ว แต่ครั้งนี้เขากลับเอ่ยถึงไท่ฮูหยินกับฮูหยินห้าเท่านั้น หากไม่เอ่ยถึงไท่ฮูหยินก็จะอกตัญญู หากไม่เอ่ยถึงฮูหยินห้าก็เท่ากับว่าอยุติธรรม เห็นได้ชัดว่าเขาหลอกคนอื่นได้แต่หลอกตัวเองไม่ได้ว่าอยากจะซื้อเตาพกพาให้สืออีเหนียง!
มิเช่นนั้นจะลืมฮูหยินสองไปได้อย่างไร!
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าเมื่อหมดช่วงไว้ทุกข์ก็จะ…
นางคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าตัวเองพลันหายใจไม่ออก จึงตะเกียกตะกายไปนั่งบนเตียงเตาริมหน้าต่าง
“อี๋เหนียง” ชุ่ยเอ๋อร์ที่ไปหยิบเสื้อผ้าเข้ามาเห็นนางหน้าซีดเผือดกำลังเอนตัวพิงกำแพงไม้ลายดอกเหมยสีดำขลับ ก็รีบปรี่เข้าไปประคองฉินอี๋เหนียงด้วยสีหน้ากังวล “ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ ให้บ่าวเรียกหมอหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องหรอก” ฉินอี๋เหนียงสูดหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ “ไต้ซือจี้หนิงบอกว่าข้ามีอาการใจสั่น ให้ข้าผ่อนคลายแล้วนอนพักก็พอแล้ว”
ชุ่ยเอ๋อร์ก็เคยได้ยินไต้ซือจี้หนิงพูดเช่นนี้
“ให้บ่าวไปรินน้ำศักดิ์สิทธิ์มาให้ท่านดื่มดีหรือไม่เจ้าคะ” นางพูดต่อว่า “คราวที่แล้วท่านไม่สบาย พอได้ดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ของไต้ซือนี้หนิงก็หายเป็นปลิดทิ้ง!”
ฉินอี๋เหนียงพยักหน้าอย่างอ่อนแรง
ชุ่ยเอ๋อร์รีบเดินไปที่ห้องเล็กๆ ที่เชื่อมกับห้องด้านในที่เป็นห้องบูชาพระโพธิสัตว์กวนอิม ค่อยๆ เปิดกล่องไม้จันทน์สีแดงที่อยู่ด้านหน้าศาลเจ้าอย่างระมัดระวัง หยิบกระดาษสีเหลืองขึ้นมาพนมมือแล้วกราบหน้าศาลสามครั้ง จากนั้นก็เทน้ำสะอาดลงในชาม แล้วจุดเทียนหอมที่หน้าศาลเจ้า นำขี้เถ้ามาผสมน้ำให้ฉินอี๋เหนียงดื่ม
หลังจากดื่มแล้ว ฉินอี๋เหนียงก็รู้สึกดีขึ้นมาก นั่งนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปหาสืออีเหนียง
นางมาเจอเฉียวเหลียนฝังที่หน้าประตูพอดี
เฉียวเหลียนฝังไม่แม้แต่จะชายตามองนาง เชิดหน้าแล้วเดินจากไป
สาวใช้น้อยที่อยู่ข้างๆ ยิ้มแล้วพูดว่า “วันนี้ฉินอี๋เหนียงมาสายแล้ว เหวินอี๋เหนียงกับเฉียวอี๋เหนียงมาถึงตั้งนานแล้ว ตอนนี้เหวินอี๋เหนียงยังอยู่ในห้องของฮูหยินเจ้าค่ะ”
ชุ่ยเอ๋อร์ให้เงินรางวัลสาวใช้น้อยสองเหรียญทองแดง “ให้เจ้าไว้ซื้อลูกกวาดกิน”
สาวใช้น้อยหัวเราะคิกคักแล้ววิ่งจากไป
ชุ่ยเอ๋อร์พาฉินอี๋เหนียงไปเรือนหลัก
สืออีเหนียงกับเหวินอี๋เหนียงกำลังปรึกษากันเรื่องสินสอดทองหมั้นของเจินเจี่ยเอ๋อร์ “…ขบวนแรกจะใช้สัญลักษณ์หรูอี้ หรือว่าฮกลกซิ่วก็ได้ทั้งนั้น หลักๆ ขึ้นอยู่กับว่าทำอย่างไรถึงจะดูดี คราวที่แล้วตอนที่ข้าไปเข้าเฝ้าฮองเฮาในวังก็ได้เล่าเรื่องงานแต่งของเจินเจี่ยเอ๋อร์ให้ฟัง ฮองเฮาได้ยินดังนั้นก็ดีใจมาก บอกว่าในจวนเราไม่มีสตรีออกเรือนมาสิบกว่าปีแล้ว ฮองเฮาเองก็กำลังตั้งครรภ์พระโอรส ส่วนข้าก็อยู่ในช่วงไว้ทุกข์ หลายวันมานี้จึงไม่สะดวกเข้าเฝ้าฮองเฮา พอข้าพ้นช่วงไว้ทุกข์เมื่อใด ข้าจะเข้าวังไปฟังความเห็นของฮองเฮา หากได้รับพระราชทานสินสอดขบวนแรกจากฮองเฮาก็คงไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว” เมื่อพูดจบก็เงยหน้าขึ้น เห็นฉินอี๋เหนียงเดินเข้ามาก็พยักหน้าแล้วพูดต่อว่า “เรื่องนี้คงต้องปล่อยไว้ก่อน จัดการสิ่งที่ควรจัดการให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
เหวินอี๋เหนียงเห็นสืออีเหนียงพยักหน้าให้คนที่อยู่ด้านหลังจึงรู้ว่าฉินอี๋เหนียงมาแล้ว นางยิ้มรับคำสืออีเหนียง “เป็นฮูหยินที่คิดได้รอบคอบอยู่เสมอ ข้าจะฟังท่านทุกอย่างเจ้าค่ะ” จากนั้นก็หันไปทักทายฉินอี๋เหนียง “พี่หญิงมาแล้วหรือ!”
ฉินอี๋เหนียงคารวะสืออีเหนียงอย่างนอบน้อม จากนั้นก็หันไปคำนับเหวินอี๋เหนียงแล้วไปยืนอยู่ข้างๆ อย่างเป็นระเบียบ
เหวินอี๋เหนียงลุกขึ้นกล่าวลา “เช่นนั้นข้าต้องขอตัวไปทำธุระตามที่ฮูหยินสั่งก่อน”
สืออีเหนียงยกถ้วยชาขึ้นมา เหวินอี๋เหนียงยังไม่ทันได้ออกไปก็มีสาวใช้น้อยเข้ามารายงานว่า “ท่านป้าผู้ดูแลข้างกายกานไท่ฮูหยินจวนจงฉินปั๋วมาคารวะฮูหยินเจ้าค่ะ”
“เชิญนางเข้ามา”
สาวใช้น้อยพาป้ารับใช้ร่างผอมบางเข้ามา
“ไท่ฮูหยินของจวนบ่าวให้บ่าวมาถามฮูหยินว่าในจวนของท่านได้ปลูกชากุหลาบแดงหรือไม่ ถ้าหากมีเยอะโปรดมอบมันให้บ่าวนำกลับไปสักสองสามกระถางด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
นี่เป็นสิ่งที่กานไท่ฮูหยินกับสืออีเหนียงนัดกันไว้แล้ว หากมีเรื่องต้องการเชิญให้สืออีเหนียงไปก็ให้ส่งคนมาขอต้นไม้จากนาง
ต้นชากุหลาบแดงเป็นดอกไม้ที่ต้องมีสำหรับฤดูหนาว เพียงแต่ว่าในเรือนหน่วนฝังไม่ได้ปลูกไว้ ต้องไปซื้อที่เฟิงไถมา
“เจ้ากลับไปเรียนไท่ฮูหยินของเจ้าว่าอีกสักครู่ข้าจะส่งคนไปดูที่เรือนหน่วนฝัง ถ้าหากมีข้าจะรีบส่งไปทันที”
นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่จึงตัดสินใจไปหากานไท่ฮูหยินในช่วงบ่าย
ท่านป้าผู้นั้นยิ้มขอบคุณ ย่อเข่าคำนับแล้วถอยออกไป
ในช่วงบ่ายสืออีเหนียงไปที่จวนจงฉินปั๋ว
กานฮูหยินเห็นนางนำดอกชากุหลาบแดงมาด้วยสองสามกระถางก็ยิ้มเจื่อนๆ แล้วพูดขึ้นมาว่า “รบกวนฮูหยินอีกแล้ว”
“พวกเราเป็นญาติกัน ฮูหยินพูดเช่นนี้ทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายใจเลย”
กานฮูหยินจึงได้เปลี่ยนท่าที พูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้ว ใช่แล้ว พวกเราเป็นญาติกัน การพูดคำเหล่านี้ถือว่าข้าเสียมารยาทแล้ว”
จากนั้นก็พาสืออีเหนียงไปหากานไท่ฮูหยิน
แม้ว่าตอนนี้จะเป็นฤดูใบไม้ร่วงแล้ว แต่ด้วยการตกแต่งของต้นไม้ดอกไม้ทำให้ลานในจวนดูมีชีวิตชีวา
กานไท่ฮูหยินไม่ได้สวมเครื่องประดับใดๆ สวมเพียงผ้าไหมหังโจวสีน้ำตาลเข้มมาพบพวกนาง
กานฮูหยินกล่าวทักทายไม่กี่ประโยคก่อนจะขอตัวออกไป กานไท่ฮูหยินยิ้มพลางเดินเข้าไปที่ห้องด้านในกับสืออีเหนียง