“ยังต้องถามอีกหรือ!” ฮูหยินสองพูด “ก็เพราะว่าองค์หญิงใหญ่ฝูเฉิงกลัวฮ่องเต้จะประกาศพระราชโองการ กลัวว่าต่อไปจะจัดการสกุลหยางไม่ได้ ดังนั้นจึงสนับสนุนให้ฮ่องเต้ประกาศพระราชกฤษฎีกาในนามของไทเฮา ฮ่องเต้เองก็คงคิดว่าการประกาศพระราชโองการแต่งตั้งอนุภรรยาไม่เหมาะสม จะถูกผู้คนหัวเราะเยาะเอาได้ จึงพายเรือตามน้ำแล้วบอกให้ขันทีของพระตำหนักฉือหนิงช่วยประกาศพระราชกฤษฎีกา”
สืออีเหนียงและไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็มองไปยังสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเบาๆ “ตั้งแต่โบราณ พระราชโองการของฮ่องเต้มีแค่ประกาศมอบงานอภิเษกสมรสให้กับภรรยาเอก ไม่มีแต่งตั้งอนุภรรยา เดิมทีฮ่องเต้แค่จะประกาศด้วยวาจา แต่องค์หญิงใหญ่ฝูเฉิงกลัวว่าเรื่องราวจะเปลี่ยนไป ทำให้เกิดปัญหาอะไรตามมาอีก นางจึงรีบตัดสินใจเรื่องนี้ ส่วนไทเฮาก็กลัวว่าสองสกุลจะไม่รักษาสัญญา จึงอยากจะประกาศพระราชกฤษฎีกา ให้เจี้ยนหนิงโหวและซื่อเจิงเขียนพระราชกฤษฎีกา ให้ขันทีของพระตำหนักฉือหนิงเป็นคนประกาศพระราชกฤษฎีกา ตัดสินใจเรื่องนี้ทันทีทันใด”
“ข้ายังคิดว่าเหตุใดถึงประกาศพระราชกฤษฎีกายามเย็นเช่นนี้ แล้วเนื้อหาก็แปลกๆ ราวกับแต่งตั้งภรรยาเอก” ไท่ฮูหยินพูดว่า” ที่แท้เรื่องราวก็เป็นแบบนี้นี่เอง” จากนั้นก็เอ่ยถามเขาด้วยความเป็นห่วง “แล้วทำไมเจ้าพึ่งกลับมาตอนนี้เล่า”
“จากนั้นฮ่องเต้ก็คอยรับใช้อยู่ที่พระตำหนักฉือหนิง พวกข้าก็คอยรับใช้อยู่ข้างๆ หลังจากฮองเฮามา องค์หญิงใหญ่ฝูเฉิงอยู่เป็นเพื่อนฮองเฮาที่พระตำหนักฉือหนิง พวกข้าไปที่พระตำหนักเฉียนชิงกับฮ่องเต้ ฮ่องเต้ให้พวกข้าอยู่ทานอาหารตอนกลางคืน เพราะว่าพระราชวังปิดประตูแล้ว พวกข้าจึงค้างคืนที่นั่น เช้าวันต่อมา ฮ่องเต้ก็บอกให้ขันทีเรียกข้ากับเจี้ยนหนิงโหวเข้าไปพูดคุยด้วยที่พระตำหนักเฉียนชิง พวกข้าต้องรอจนกว่าฮ่องเต้จะเลิกจากงานพระราชสำนักช่วงเช้า พูดคุยกันครู่หนึ่งถึงกลับมา”
ไท่ฮูหยินมีสีหน้าเคร่งขรึม “ฮ่องเต้ตรัสว่าอะไรบ้าง”
“ไม่ได้ตรัสอะไรขอรับ” สวีลิ่งอี๋พูดอย่างคลุมเครือ “ฮ่องเต้ทรงถามเพียงว่าเขาดูแลไทเฮามาหลายปีแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีความเมตตา แต่ก็มีความกตัญญูใช่หรือไม่!”
นี่คงเป็นเหตุผลที่ฮ่องเต้เคารพไทเฮา และยอมอดทนต่อเจี้ยนหนิงโหวและโซ่วชังปั๋วมาตลอดกระมัง!
สืออีเหนียงครุ่นคิด
ไม่ว่าตอนนั้นจะเกิดอะไรขึ้น แต่ในสายตาของผู้คน ไทเฮามีบุญคุณต่อฮ่องเต้ หากตอนนั้นไทเฮาไม่ถ่วงเวลาเอาไว้ ฮ่องเต้องค์ก่อนก็ไม่มีทางมอบบัลลังก์ให้ไท่จื่อ ตอนนี้ไทเฮาอายุมากแล้ว อีกทั้งยังประชวร ราวกับหนึ่งร้อยก้าวที่เดินมาแล้วเก้าสิบเก้าก้าว ฮ่องเต้คงไม่อยากสูญเสียสิ่งที่ยิ่งใหญ่ไปเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยแน่นอน หากเกิดอะไรขึ้นกับไทเฮาในวินาทีสุดท้าย คงทำให้ตัวเองกลายเป็นลูกที่อกตัญญู
ไท่ฮูหยินได้ยินดังนั้นก็โล่งใจ “ในเมื่อไม่ยอมประกาศพระราชโองการแต่กลับใช้พระราชกฤษฎีกา แล้วยังพูดเช่นนี้ ข้าก็สบายใจแล้ว!”
เจตนาของฮ่องเต้ชัดเจนอยู่แล้ว ตราบใดที่ไทเฮายังมีชีวิตอยู่ เรื่องบางเรื่องก็ต้องคิดให้รอบคอบ ในทางกลับกัน หากไทเฮาไม่อยู่แล้ว…
ดูเหมือนว่า ตามสถานการณ์ตอนนี้แล้ว ตราบใดที่ไทเฮายังมีชีวิตอยู่ ก็ยังต้องเคารพสกุลหยาง
แต่ดั่งคำโบราณที่ว่า ‘มนุษย์เจ็บป่วยเป็นเรื่องธรรมดา แต่ไม่เจ็บป่วยเลยกลับเป็นเรื่องที่น่าประหลาด’ ไทเฮาเจ็บป่วยมากว่าครึ่งปีแล้ว แม้แต่คำพูดขององค์หญิงใหญ่ฝูเฉิงที่พระตำหนักเฟิ่งเซียนยังทำอะไรนางไม่ได้ ใครจะกล้าพูดว่าไทเฮาจะไม่อารมณ์ดีขึ้นเมื่อเจอกับเรื่องราวดีๆ เช่นนี้ แล้วมีชีวิตอยู่ต่ออีกสี่ห้าปี!
สืออีเหนียงแอบบ่นงุบงิบอยู่ในใจ จากนั้นก็เอ่ยถามไท่ฮูหยิน “ท่านแม่ ท่านคิดว่าพิธีแต่งอนุภรรยาควรจัดแบบใดเจ้าคะ”
“จัดแบบใด!?” ไท่ฮูหยินยิ้มอย่างแผ่วเบา “ในเมื่อแต่งอนุภรรยา ก็ต้องจัดพิธีตามพิธีแต่งอนุภรรยา ไม่จำเป็นต้องปรึกษาข้า!” พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “แต่งเฉียวอี๋เหนียงอย่างไร ก็แต่งสตรีสกุลหยางอย่างนั้น” จากนั้นก็พูดว่า “คุณชายสี่พึ่งจะกลับมาจากพระราชวัง พวกเจ้ากลับไปทานข้าวกันก่อนเถิด! ไม่ต้องคอยรับใช้ข้า ยามบ่ายค่อยมาปรึกษากันเรื่องงานเลี้ยงวันที่สามเดือนสาม”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินแล้วก็หยัดกายขึ้นยืน “เช่นนั้นเรากลับกันก่อนเถิด!”
ไท่ฮูหยินพยักหน้า แล้วพูดด้วยความเมตตา “รีบกลับไปเถิด!”
สืออีเหนียงก็ขอตัวออกไปกับสวีลิ่งอี๋ กลับไปที่เรือนของตัวเอง
สวีลิ่งอี๋นั่งลงบนเตียงเตา “เจ้าทำบะหมี่รวมมิตรให้ข้าก็พอแล้ว ข้าทานข้าวต้มมาแล้วตั้งแต่ยามเหม่า” ตอนนี้ก็เที่ยงแล้ว คงจะหิวจนอยากซดพวกน้ำแกง หลังจากพูดจบเขาก็พูดเสริมอีกว่า “บะหมี่รวมมิตรเหมือนที่เจ้าทำให้ข้าตอนวันเกิดข้าครั้งก่อน”
สืออีเหนียงทำบะหมี่ด้วยตัวเอง ตอนนวดเส้น นางใส่น้ำมันเข้าไปนิดหน่อย ใช้กระดูกวัว กระดูกไก่และกระดูกเป็ดทำน้ำแกง ใส่หน่อไม้ฝอย เห็ดฝอย ถั่วงอกและแครอท เป็นเมนูที่ธรรมดามาก แต่น้ำแกงมีรสชาติกลมกล่อม เส้นบะหมี่เหนียวนุ่ม
“เช่นนั้นท่านโหวพักผ่อนสักครู่เถิดเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงห่มผ้าผืนบางฐานสีแดงให้สวีลิ่งอี๋ “หากบะหมี่เสร็จแล้วข้าจะเรียกท่าน!”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า
สืออีเหนียงเดินออกไปโรงครัวเล็ก ทำบะหมี่รวมมิตรแล้วยกเข้ามาด้วยตัวเอง
สวีลิ่งอี๋นอนตะแคงหลับสนิท สีหน้าของเขานิ่งสงบ ไม่มีความเคร่งขรึมอยู่บนใบหน้า ทำให้ดูเด็กลงไม่น้อย
สืออีเหนียงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สวีลิ่งอี๋พลันลืมตาขึ้นมา ลุกขึ้นนั่งด้วยสีหน้าที่งงงวย
“ได้กลิ่นหอมหรือเจ้าคะ!”
สืออีเหนียงยิ้มแล้ววางถาดสีแดงลงบนโต๊ะเตียงเตาตรงหน้าเขา “ท่านโหวทานก่อนแล้วค่อยนอนต่อเถิด!”
สวีลิ่งอี๋หยิบตะเกียบขึ้นมา “เจ้าก็ทานด้วยกัน!”
สืออีเหนียงไม่ชอบทานบะหมี่ จึงพูดอย่างอ้อมค้อม “ข้ายังไม่หิว ประเดี๋ยวค่อยทานเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋ก็ไม่บังคับนาง เหมือนครั้งก่อน เขาทานไปสามชาม
สืออีเหนียงรับใช้เขาอาบน้ำพักผ่อน จากนั้นก็กลับไปที่ห้องปีกทิศตะวันตก บอกให้หู่พั่วดูสมุดบัญชีประจำปี แล้วก็บอกสาวใช้จัดอาหาร
หลังทานข้าวเสร็จ หู่พั่วถือสมุดบัญชีมารายงาน “…เครื่องนอนและเครื่องเทียนไข รวมกันแล้วใช้เงินไปทั้งหมดสามร้อยตำลึงเงิน จัดโต๊ะงานเลี้ยงสี่โต๊ะ ใช้เงินทั้งหมดสองร้อยตำลึงเงินเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงได้ฟังแล้วก็แปลกใจ
คิดไม่ถึงว่าแต่งเฉียวเหลียนฝังเข้ามาใช้เงินไปแค่ห้าร้อยตำลึงเงิน ค่าใช้จ่ายของงานเลี้ยงคิดเป็นสองส่วนในห้า
หู่พั่วติดตามสืออีเหนียงมานาน ยิ่งทำอะไรก็ยิ่งมีความคิดเป็นของตัวเองมากขึ้น ไม่เหมือนกับเมื่อก่อน ที่บอกให้ทำอะไรก็ทำเช่นนั้น นางนึกถึงตอนที่ท่านโหวพึ่งกลับมา จากนั้นก็ไปยังเรือนของไท่ฮูหยินกับสืออีเหนียง ก็คิดได้ว่าพวกเขาคงจะไปปรึกษากันเรื่องงานแต่งอนุภรรยาสกุลหยาง อีกทั้งทันทีที่สืออีเหนียงกลับมาก็ดูสมุดบัญชีของเฉียวเหลียนฝัง มันต้องเกี่ยวข้องกับสกุลหยางอย่างแน่นอน ดังนั้นนางจึงดูสมุดบัญชีของเหวินอี๋เหนียงมาด้วย
“…ส่วนเหวินอี๋เหนียง ค่าเครื่องนอนและเครื่องเทียนไขใช้เงินไปทั้งหมดห้าร้อยตำลึงเงิน จัดโต๊ะงานเลี้ยงสี่โต๊ะ ใช้เงินไปทั้งหมดหนึ่งร้อยหกสิบตำลึงเงินเจ้าค่ะ” นางพูดเสริม “บ่าวถามป้าซ่งแล้ว ป้าซ่งบอกว่า ตอนที่เหวินอี๋เหนียงแต่งเข้ามา คุณหนูใหญ่สกุลเรามอบเครื่องประดับมุก ปิ่นปักผมหนึ่งคู่และกำไลอีกหนึ่งวงให้นาง ใช้เงินไปทั้งหมดสามร้อยกว่าตำลึงเงิน ตอนที่เฉียวอี๋เหนียงแต่งเข้ามา คุณหนูใหญ่มอบให้แค่ปิ่นดอกมรกตหนึ่งคู่ มูลค่าสามสิบกว่าตำลึงเงินเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็เข้าใจได้ทันที
บอกให้หู่พั่วไปเชิญพ่อบ้านไป๋เข้ามา จากนั้นก็เริ่มเขียนรายชื่อแขกที่ตัวเองจะเชิญมาในวันที่สามเดือนสาม
ทันทีที่วางพู่กันลง พ่อบ้านไป๋ก็มาพอดี
“…วันมงคลกำหนดไว้เป็นวันที่สิบสองเดือนสาม” สืออีเหนียงพูดอย่างตรงไปตรงมา “แค่พริบตาเดียวก็จะถึงแล้ว เรื่องบางเรื่องต้องเตรียมการไว้ก่อน”
พ่อบ้านไป๋โค้งคำนับ แล้วพูดอย่างสุขุม “ฮูหยินบอกบ่าวได้เลยขอรับ”
“จัดเรือนใหม่ให้อยู่ที่เรือนเก่าของคุณชายน้อยสองก็ได้ ถือโอกาสสองวันนี้ที่มันมีแดด เจ้าหาคนมาจัดการเสียเถิด ส่วนเรื่องพิธี ก็ทำตามพิธีแต่งของเฉียวอี๋เหนียง” สืออีเหนียงพูด จากนั้นก็หันไปมองหู่พั่ว “ถึงตอนนั้นเจ้าคัดลอกสมุดบัญชีของปีนั้นให้พ่อบ้านไป๋ พ่อบ้านไป๋จะได้จัดการได้สะดวก”
แต่พ่อบ้านไป๋กลับสายตาเคร่งขรึม
ตนเป็นคนเก่าคนแก่ของจวน เหวินอี๋เหนียงแต่งเข้ามาเท่าไร เฉียวเหลียนฝังแต่งเข้ามาเท่าไร จะไม่รู้ได้อย่างไร
แต่หู่พั่วกลับดีใจ
สกุลหยางคนนั้นเป็นคนของไทเฮา แล้วก็ไม่รู้ว่านิสัยเป็นเช่นไร หากท่านโหวให้เกียรติสกุลหยางมากเกินไป เกรงว่าอำนาจของสืออีเหนียงก็จะลดน้อยลง ตอนนี้จัดพิธีตามพิธีแต่งของเฉียวอี๋เหนียง อย่างน้อยก็เป็นการแสดงอำนาจ ให้คนอื่นรู้ว่าไท่ฮูหยินและท่านโหวคิดเห็นอย่างไร
นางยิ้มแล้วตอบรับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็ไปลอกสมุดบัญชีกับพ่อบ้านไป๋
สืออีเหนียงลุกขึ้น กำลังจะไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
เฉียวเหลียนฝังก็มาขอพบนาง
นางสวมเสื้อผ้าไหมสีเขียว สวมกระโปรงสีขาว มวยผมอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ปักปิ่นปักผมดอกบัว ทำให้ดูสดใสและงามสง่า
สืออีเหนียงตกใจ
ดูเหมือนว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่นางเห็นเฉียวเหลียนฝังแต่งตัวเรียบง่ายเช่นนี้
นางย่อเข่าคำนับสืออีเหนียงอย่างนอบน้อม
สืออีเหนียงบอกให้สาวใช้ยกเก้าอี้มาให้เฉียวเหลียนฝังนั่ง
นางยิ้มแล้วเอ่ยขอบคุณสืออีเหนียง หย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ เหลือบมองกระดาษในมือของสืออีเหนียงแล้วพูดว่า “ฮูหยินกำลังยุ่งอยู่กับงานเลี้ยงวันที่สามเดือนสามหรือ ช่วงนี้ท่านคงจะยุ่งมากเลยใช่หรือไม่”
หมายความว่านางยุ่งเรื่องงานเลี้ยงในวันที่สามเดือนสาม แล้วยังต้องยุ่งเรื่องแต่งสกุลหยางเข้ามาใช่หรือไม่
“ไม่ค่อยเท่าไร!” สืออีเหนียงพูด “ล้วนแต่มีกฎเกณฑ์ แค่ทำตามก็พอแล้ว!”
เฉียวเหลียนฝังได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ฮูหยินเป็นคนฉลาด มองอะไรก็เข้าใจในทันที ดังนั้นทำอะไรจึงประสบความสำเร็จ ไม่เหมือนกับข้า ทำอะไรก็ไม่ดี”
“เฉียวอี๋เหนียงถ่อมตัวเกินไปแล้ว” สืออีเหนียงเห็นท่าทีที่พูดกับตนของนาง ก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยเจตนาของนาง
“ข้าไม่ได้ถ่อมตัวเจ้าค่ะ” เฉียวเหลียนฝังยิ้ม “ในวันที่สามเดือนสามล้วนแต่มีฮูหยินของขุนนางมาเป็นแขกที่จวนมากมาย ไม่เพียงแต่ต้องทักทายพวกนาง แล้วยังต้องจัดคณะงิ้ว จัดอาหาร จัดน้ำชาในงานเลี้ยง… แค่คิดก็น่ากลัวแล้ว แต่ฮูหยินกลับจัดการเรื่องพวกนี้ได้อย่างง่ายดาย”
นางพูดถึงเรื่องงานเลี้ยงวันที่สามเดือนสามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ให้ความสำคัญเช่นนี้!
สืออีเหนียงรู้สึกแปลกใจ
แต่นางยังไม่ทันพูดอะไร สีหน้าของเฉียวเหลียนฝังก็หม่นหมองลง นางก้มหน้า “ตอนนี้คิดดูแล้ว โชคชะตาช่างเล่นตลก” พูดเสียงเบาราวกระซิบ “ทุกคนที่งานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิตอนนั้นล้วนแยกทางกันไปหมดแล้ว!”
สืออีเหนียงนิ่งเงียบ
ตอนนี้พูดเช่นนี้มีประโยชน์อะไร
หรือมันยังสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้
แค่ทำให้ผู้คนนึกถึงอดีตและเสียใจก็เท่านั้น!
นางรู้สึกว่าตัวเองและเฉียวเหลียนฝังนั้นไม่มีทางมีหัวข้อเรื่องที่สามารถพูดคุยสนทนากันได้ จึงยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ “เฉียวอี๋เหนียงมาหาข้ามีเรื่องอันใดหรือ”
“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ” เฉียวเหลียนฝังได้ยินเช่นนี้ก็เงยหน้าขึ้นมาด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น “ข้าเห็นว่าเหวินอี๋เหนียงเอาแต่ช่วยคุณหนูใหญ่เตรียมสินเดิม ฉินอี๋เหนียงก็เอาแต่ทำเสื้อผ้าฤดูร้อนให้คุณชายน้อยห้า แล้วยังต้องหาเวลาทำขนมของว่างให้คุณชายน้อยสอง มีแค่ข้าที่ไม่มีอะไรทำ คิดดูแล้ว จึงอยากมาดูว่าฮูหยินมีอะไรให้ข้าช่วยหรือไม่ คิดไม่ถึงว่าข้าจะเผลอพูดถึงเรื่องในอดีตขึ้นมา” พูดจบ นางก็ถอนหายใจ “ฮูหยิน จะว่าไปแล้วข้ากับท่านก็มีพรหมลิขิตต่อกัน ข้าพูดความจริงกับท่านดีกว่า! ถึงแม้ว่าตอนนั้นฮูหยินยังไม่ได้ออกเรือน แต่ก็คงจะเคยได้ยินเรื่องนี้ หลังจากที่พี่หญิงของท่านเสียชีวิต ไทเฮาอยากให้บุตรสาวคนโตของเจี้ยนหนิงโหวแต่งงานกับท่านโหว แต่ท่านโหวเคยสัญญากับพี่หญิงของท่านเอาไว้ว่าจะแต่งงานกับคนในสกุลหลัว เขาจึงปฏิเสธไทเฮา เพราะเรื่องนี้ ไทเฮาไม่พอใจเป็นอย่างมาก คิดไม่ถึงว่า สุดท้ายไทเฮาก็ให้สกุลหยางแต่งเข้ามาในจวนสกุลสวีจนได้ ตั้งแต่โบราณ พระราชกฤษฎีกานั้นก็มีแค่ประทานงานอภิเษกสมรสของภรรยาเอก ไม่เคยมีแต่งตั้งอนุภรรยา ท่านต้องระวังตัวไว้นะเจ้าคะ ว่ากันว่าฮ่องเต้องค์ก่อนก็เคยมอบอนุภรรยาให้ขุนนางท่านหนึ่ง หลังจากที่ภรรยาเอกเสียชีวิตไป นางก็ถูกแต่งตั้งให้เป็นภรรยาเอก เป็นถึงฮูหยินอีกด้วย”