เฉียวเหลียนฝังกำลังบอกตนว่า หากไม่ข่มสกุลหยาง ตนจะถูกสุกลหยางดึงลงจากหลังม้าใช่หรือไม่!
สืออีเหนียงมองดูหยดน้ำในดวงตาของนาง ทันใดนั้นก็พลันนึกถึงท่าทีที่เย่อหยิ่งของเฉียวเหลียนฝังตอนที่ตัวเองพึ่งแต่งเข้ามาได้ไม่นาน
นางยกถ้วยชาขึ้นมาอย่างช้าๆ “เรื่องที่เฉียวอี๋เหนียงพูดข้ารู้อยู่แล้ว ไท่ฮูหยินยังรอให้ข้าไปปรึกษาเรื่องงานเลี้ยงวันที่สามเดือนสาม” พูดจาราวกับส่งแขก
เฉียวเหลียนฝังเห็นสืออีเหนียงยิ้มอย่างแผ่วเบา เรื่องที่ตัวเองควรพูดก็พูดไปแล้ว จึงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตา “ฮูหยินได้โปรดยกโทษที่ข้าเสียมารยาทด้วย” จากนั้นก็พูดว่า “ไม่รบกวนฮูหยินแล้วเจ้าค่ะ” ย่อเข่าคำนับแล้วขอตัวออกไป
สืออีเหนียงมองดูแผ่นหลังของนางแล้วถอนหายใจเบาๆ ทันใดนั้นก็มีสาวใช้เข้ามารายงาน “ฉินอี๋เหนียงมาเจ้าค่ะ!”
นางมองไปที่นาฬิกาไขลานเห็นว่ายังพอมีเวลาอยู่ จึงบอกให้สาวใช้เชิญฉินอี๋เหนียงเข้ามา
ฉินอี๋เหนียงนำเสื้อผ้าฤดูร้อนมาให้สวีซื่อเจี้ย “… ข้าทำชุดตามชุดเก่ามาชุดหนึ่ง แต่คุณชายน้อยห้ายังเด็ก กำลังอยู่ในวัยเจริญเติบโต ไม่รู้ว่ามีอะไรต้องเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ฮูหยินลองดูเถิด!” จากนั้นก็ยื่นถุงผ้าสีฟ้าให้สืออีเหนียง
ลี่ว์อวิ๋นเดินเข้าไปรับมา นำผ้าเก๋อปู้เนื้อละเอียดสีขาวออกมาให้สืออีเหนียงดู
รอยเข็มเย็บละเอียดประณีต กระเป๋ายังปักลายก้อนเมฆ ช่างพิถีพิถันเสียจริง
“ลำบากฉินอี๋เหนียงแล้ว” สืออีเหนียงพูดด้วยน้ำเสียงเกรงอกเกรงใจ “คุณชายน้อยห้าเลิกเรียนยามเที่ยงก็จะไปทานข้าวกับซื่อจื่อที่เรือนของไท่ฮูหยิน เสร็จแล้วก็นอนกลางวัน รอเขากลับมาข้าจะให้เขาลองสวมดู หากมีอะไรต้องเปลี่ยนแปลง ค่อยบอกอี๋เหนียงทีหลัง”
ฉินอี๋เหนียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เช่นนั้นข้ารอฟังคำแนะนำจากฮูหยินก่อนแล้วค่อยทำอีกชุดดีกว่า!”
สืออีเหนียงพยักหน้า
แต่ฉินอี๋เหนียงกลับไม่รีบออกไป พลันพูดถึงสวีซื่อเจี้ยขึ้นมา “…ผ้าไหมทอลาย ผ้าเก๋อปู้เนื้อละเอียดก็ล้วนแต่สวมใส่มาหมดแล้ว หากไม่ใช่เพราะว่าอยู่กับฮูหยิน คุณชายน้อยห้าจะได้สวมใส่เสื้อผ้าพวกนี้ได้เช่นไรกัน ทุกคนล้วนแต่บอกว่าคุณชายน้อยห้าเจอกับฮูหยิน ก็เพราะว่าเขาโชคดี แต่ข้าคิดว่า เขามีวาสนามากกว่าเจ้าค่ะ” สีหน้าพลันหมองหม่น “นึกถึงตอนนั้น ตอนที่ท่านโหวมีคุณชายน้อยสองแค่คนเดียว อากาศร้อน ก็หาแค่ผ้าทอใยกล้วยเนื้อละเอียดมาทำเสื้อผ้าฤดูร้อนให้เขา” ทันทีที่นางพูดประโยคนี้จบ จู่ๆ ก็หยุดพูดแล้วทำสีหน้าเสียใจ “ข้าไม่ได้หมายความว่าฮูหยินคนก่อนไม่ดีกับคุณชายน้อยสอง ข้าไม่มีอารมณ์คิดเรื่องพวกนั้นจริงๆ ตอนนั้นทุกคนล้วนแต่กังวลเรื่องของซื่อจื่อ!” นางพูดพร้อมกับสังเกตสีหน้าของสืออีเหนียง
ที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึงจริงๆ
สืออีเหนียงยิ้มแล้วยกถ้วยชาขึ้นมา
ฉินอี๋เหนียงเห็นเช่นนี้ก็มีสีหน้ากังวล รีบอธิบายเพิ่มว่า “คุณชายสองเสียชีวิตไปตอนเดือนหนึ่ง ฮูหยินคนก่อนก็แท้งตอนเดือนสอง ท่านโหวคนก่อนสูญเสียทั้งบุตรชายและหลานชายในเวลาเพียงสามเดือน เขาเสียใจเป็นอย่างมากจนกระทั่งล้มป่วย ไท่ฮูหยินกังวลอยู่ไม่น้อย บอกให้ข้าและปี้อวี้หยุดทานยา แต่เราดูแลร่างกายมานานกว่าครึ่งปีวันระดูก็ยังปรับไม่ได้ สกุลเหวินอยากจะสร้างสัมพันธ์กับราชวงศ์ผ่านสกุลสวี ส่งคนมาบอกไท่ฮูหยินตั้งหลายครั้ง บอกว่ายอมมอบบุตรภรรยาเอกแต่งเข้ามาเป็นอนุภรรยาของท่านโหว ตอนแรกไท่ฮูหยินยังลังเล แต่หลังจากฤดูใบไม้ร่วงผ่านพ้น อาการป่วยของท่านโหวคนก่อนก็ยิ่งทรุดลง ไท่ฮูหยินสนใจอะไรมากไม่ได้จึงตอบตกลง” นางพูดราวกับนึกถึงความลำบากในอดีตขึ้นมา ตาพลันแดงก่ำ “แต่ละคนมีวาสนาของตัวเอง เพราะเหตุนี้ปี้อวี้จึงไม่ตั้งครรภ์ ส่วนข้า หลังจากที่คลอดคุณชายน้อยสองออกมาแล้วก็ไม่ตั้งครรภ์อีกเลย…”
สืออีเหนียงแปลกใจ
ใบหน้าที่ตึงเครียดของฉินอี๋เหนียงค่อยๆ ผ่อนคลายลง
นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตา “ดูข้าสิ พูดจาเหลวไหลต่อหน้าฮูหยินอีกแล้ว ตอนนี้มีอนุภรรยาแต่งเข้ามาอีกคน ลูกหลานของท่านโหวก็จะเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ แต่ข้ากลับพูดถึงเรื่องในอดีต ทำให้ฮูหยินไม่สบายใจ” จากนั้นก็ย่อเข่าคำนับสืออีเหนียง “ฮูหยินเจ้าคะ เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อน รอให้คุณชายน้อยห้าลองสวมเสื้อผ้าดูก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที”
สืออีเหนียงเกิดความสับสนในใจขึ้นนับพัน แต่มันยังไม่น่าตกใจเท่าคำพูดที่เปิดเผยความจริงของฉินอี๋เหนียง
รอยยิ้มของนางค่อยๆ เลือนหายไป สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ยามที่ฉินอี๋เหนียงเอ่ยขอตัวออกไป นางก็เพียงแค่พยักหน้าเบาๆ
ฉินอี๋เหนียงเช็ดน้ำตาของตัวเองแล้วเดินออกไปช้าๆ
สืออีเหนียงมองดูผ้าม่านที่สั่นไหวด้วยท่าทีที่เคร่งขรึม นางนิ่งเงียบอยู่นาน
ฉินอี๋เหนียงอยากจะบอกใบ้ตนผ่านเรื่องนี้เช่นนั้นหรือ
ทันใดนั้น ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบสงัด บรรยากาศพลันหดหู่ทำเอาหายใจไม่ออก
หู่พั่วอดไม่ได้ที่จะกัดปากตัวเอง ก่อนที่จะเดินเข้าไปพูดเบาๆ “ฮูหยินเจ้าคะ ท่านคิดว่าเราควรจะให้สกุลหยางคนนั้นทานยาดีหรือไม่เจ้าคะ…”
“อย่าแม้แต่จะคิดเชียว” สืออีเหนียงหันหน้าไปมองนางด้วยสายตาที่เย็นชาและเฉียบแหลมราวกับคมดาบ “สกุลหยางเป็นถึงหลานสาวของไทเฮา เป็นคนที่ฮ่องเต้พระราชทานให้ เกี่ยวข้องกับราชสำนัก จะทำอะไรตามอำเภอใจไม่ได้เด็ดขาด” พูดจบก็ยิ้มเยาะ ตอนแรกมีเฉียวเหลียนฝัง ตอนนี้มีฉินหลิวเป่า ไม่รู้ว่าประเดี๋ยวจะมีใครอีกหรือไม่ จากนั้นก็คิดว่า หู่พั่วเป็นมือขวาของตนมาตลอด หากไม่พูดกับนางให้ชัดเจน นางอาจจะถูกคนอื่นหลอกใช้เพราะเรื่องนี้ จึงพูดเบาๆ “จวนหลังนี้ท่านโหวคือนายท่าน หากท่านโหวโปรดปรานนาง ถึงแม้ว่าจะไม่มีลูก ก็สามารถไปอุ้มเด็กมาจากวัดแล้วเลี้ยงในนามของนางได้ แต่หากท่านโหวไม่โปรดปรานนาง ถึงแม้ว่าจะมีลูก ก็สามารถนำเด็กไปเลี้ยงที่ลานข้างนอก ไม่ให้นางยุ่งเกี่ยว เจ้าคือคนของข้า จะสับสนไม่ได้เด็ดขาด จะทำเรื่องที่ทำร้ายคนของตัวเองและทำให้ศัตรูพอใจไม่ได้เด็ดขาด”
หู่พั่วเข้าใจทันที นางพยักซ้ำๆ “ฮูหยินไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ บ่าวรู้เจ้าค่ะ ต่อไปหากไม่มีคำสั่งจากฮูหยิน บ่าวจะไม่ทำอะไรทั้งนั้น ไม่เพียงเท่านี้ แล้วยังจะห้ามสาวใช้และท่านป้าคนอื่น ไม่มีทางให้พวกนางก่อเรื่องให้กับฮูหยิน ทำให้คนอื่นจับจุดอ่อนของเราได้เจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพลันโล่งใจ พูดกับนางอีกสองสามประโยค เหวินอี๋เหนียงก็มาพอดี
นางยิ้มเยาะ จากนั้นก็บอกสาวใช้ว่า “เชิญนางเข้ามาเถิด!”
“ฮูหยินเจ้าคะ” เหวินอี๋เหนียงยิ้มแล้วเดินเข้ามาคำนับนาง จากนั้นก็นำกล่องสีแดงที่ถือไว้ในมือวางไว้บนโต๊ะเตียงเตา “ท่านดูสิ หวีและแปรงนี้เป็นเช่นไรบ้าง”
สืออีเหนียงเดินเข้าไปเปิดกล่อง
หวีไม้ไผ่ หวีมู่จื้อ หวีงาช้าง หวีเขาควาย กระจกดอกหลิงฮวา มีครบทุกประเภท แล้วยังแกะสลักอย่างประณีตงดงาม สวยงามเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกระจกดอกหลิงฮวาบานนั้น ภาพวาดดอกไม้และนกบนพื้นหลังสีฟ้า มีสีสันสวยงาม กระจกก็ขัดเงาแวววับ
“ไม่เลว” สืออีเหนียงยิ้ม “ของคุณหนูใหญ่เช่นนั้นหรือ”
เหวินอี๋เหนียงยิ้มแล้วพยักหน้า “สั่งทำเป็นพิเศษมาจากฉังสูเจ้าค่ะ” จากนั้นก็หยิบกระจกดอกหลิงฮวาขึ้นมา “ข้าเห็นว่าฮูหยินใช้กระจกทองแดง แต่เถ้าแก่คนนั้นแนะนำกระจกลายครามบานนี้ ข้าไม่ค่อยแน่ใจ จึงนำมาให้ฮูหยินดู”
ที่ตนใช้กระจกทองแดงก็เพราะว่าสินเดิมเป็นกระจกทองแดง แน่นอนว่ากระจกลายครามสีสันสวยงามต้องสวยกว่ากระจกทองแดงอยู่แล้ว แล้วยังเหมาะกับคู่บ่าวสาวที่พึ่งแต่งงานใหม่ ยิ่งไปกว่านั้น เถ้าแก่เป็นคนแนะนำ ก็เพราะว่าตอนนี้กำลังเป็นที่นิยม
“กระจกลายครามเถิด!” สืออีเหนียงยิ้ม “ข้าเห็นว่ามันสวยดี”
เหวินอี๋เหนียงหัวเราะขึ้นมา เก็บข้าวของแล้วพูดว่า “ในเมื่อฮูหยินชอบ เช่นนั้นท่านก็เก็บไว้ใช้เถิดเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงตกใจ
เหวินอี๋เหนียงพูดอีกว่า “ข้าสั่งมาตั้งสามชุด สองชุดเป็นของคุณหนูใหญ่ ชุดนี้มอบให้ท่าน” และพูดอีกว่า “ถึงแม้ว่าจะเป็นของเล็กๆ น้อยๆ แต่หากนำออกมาใช้บ้างเป็นครั้งคราวก็ทำให้รู้สึกดีได้!”
นางกำลังพูดปลอบใจตัวเองเช่นนั้นหรือ
สายตาของสืออีเหนียงเต็มไปด้วยความสงสัย
เหวินอี๋เหนียงพูดว่า “ดูเหมือนว่าไท่ฮูหยินจะตื่นจากนอนกลางวันแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน พรุ่งนี้ผ้าไหมที่ข้าสั่งให้คุณหนูใหญ่ส่งมาถึงแล้ว ก็ต้องนำมาให้ฮูหยินดู ได้ยินมาว่าปีนี้ทางตอนใต้มีต้นอิงฮวาออกดอกสีแดง สวยงามมากเจ้าค่ะ…”
นางพึมพำแล้วลุกไป
สืออีเหนียงคิดว่าตัวเองก็จะออกไปข้างนอกอยู่แล้ว จึงออกไปพร้อมกับเหวินอี๋เหนียง
ระหว่างทาง เหวินอี๋เหนียงลอบมองสีหน้าของนางตั้งหลายครั้ง แล้วก็มีท่าทางลังเลที่จะพูด
มีคนพูดเตือนตนตั้งสองคนแล้ว มีเพิ่มอีกคนหนึ่งจะเป็นอะไรไป
สืออีเหนียงครุ่นคิด จากนั้นก็เปิดปากเอ่ยถาม “มีอะไรหรือ”
เหวินอี๋เหนียงลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่าท่านจัดเรือนใหม่ไว้ที่เรือนเก่าของคุณชายน้อยสอง?”
ข่าวเร็วจริงๆ!
“คิดดูแล้ว ที่นั่นเหมาะสมที่สุด!”
เหวินอี๋เหนียงพูด “ข้าเห็นว่าฮูหยินอารามณ์ไม่ค่อยดี เพราะเรื่องนี้หรือ”
สืออีเหนียงไม่เข้าใจ
เหวินอี๋เหนียงพูด “เช่นไรนางก็เป็นหลานสาวของไทเฮา แล้วยังมีพระราชกฤษฎีกา ที่ให้อยู่ที่เรือนอื่นก็เพราะเป็นอนุภรรยา กระนั้นเรือนเก่าของคุณชายน้อยสองก็อยู่ไกล” นางหยุกชะงัก “หากฮูหยินลำบากใจ ไม่สู้แลกเรือนกับข้าเถิดเจ้าค่ะ ถึงแม้ว่าเรือนของข้าจะไม่ใหญ่อะไร แต่อย่างน้อยก็อยู่ทางทิศเหนือหันออกไปทางทิศใต้ เป็นเรือนแรกของลานทางทิศตะวันออก ถึงแม้ว่าสกุลหยางจะไม่พอใจ แต่ฮูหยินก็มีเหตุผลบอกกับพวกเขา”
สืออีเหนียงตกใจ พลันหยุดเดินแล้วจ้องมองเหวินอี๋เหนียง “เหวินอี๋เหนียง…”
เหวินอี๋เหนียงยิ้ม “คนจนมักจะกลัวความลำบาก คนอย่างเรามักจะกลัวคนอื่นดูถูก ที่ข้ายอมอดทนก็เพราะว่าคุณหนูใหญ่ ตอนนี้คุณหนูใหญ่มีคู่ครองที่ดีแล้ว ฮูหยินก็ดีกับข้า ข้าไม่อยากได้อะไรอีกแล้ว อยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน ชื่อเสียงจอมปลอมเหล่านั้นข้าก็ไม่ต้องการ ฮูหยินบอกพ่อบ้านไป๋เถิด ประเดี๋ยวก็จะถึงวันที่สิบสองเดือนสามแล้ว สองวันนี้ข้าก็จะเก็บข้าวของให้เรียบร้อย พรุ่งนี้ก็ย้ายออกไปได้แล้ว” นางมองสืออีเหนียงด้วยสายตาท่าทางที่จริงใจ
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะพิจารณาคำแนะนำของนาง
ตั้งแต่ประกาศพระราชกฤษฎีกาแต่งตั้งอนุภรรยา เรื่องนี้ก็เริ่มเบี่ยงเบนออกไปจากเส้นทางปกติ จะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต ก็ไม่มีใครรู้ ระมัดระวังเอาไว้ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร
“เช่นนั้นพวกเจ้าก็แลกกันเถิด!” นางพูดเบาๆ “รอให้พ่อบ้านไป๋ซ่อมแซมมันสักหน่อยแล้วเจ้าค่อยย้าย!”
เหวินอี๋เหนียงยิ้มแล้วตอบรับ “เจ้าค่ะ” ส่งสืออีเหนียงที่ประตูฉุยฮวา หลังจากที่ไม่เห็นเงาของนางแล้ว เหวินอี๋เหนียงก็กลับไปที่เรือนของตัวเอง
“ชิวหง รีบเก็บข้าวของเร็วเข้า” ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “เราจะย้ายไปอยู่ที่เรือนเก่าของคุณชายน้อยสอง!”
“ย้ายไปอยู่ข้างหลังเรือนฉินอี๋เหนียงหรือเจ้าคะ” ใบหน้าของชิวหงเต็มไปด้วยความตกใจ “อี๋เหนียง หรือว่าฮูหยิน…”
“ไม่ใช่!” เหวินอี๋เหนียงยิ้มแล้วนั่งลงบนเตียงเตา “ข้าเป็นคนเสนอเอง!” พูดจบก็ถอนหายใจ “ถือว่าเป็นการตอบแทนที่ฮูหยินดูแลคุณหนูใหญ่!” จากนั้นก็ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “แล้วก็หลบหนีออกไปจากความวุ่นวายนี้!”
ชิวหงเข้าใจสิ่งที่เหวินอี๋เหนียงพูดว่า ‘ตอบแทนฮูหยิน’ แต่นางไม่เข้าใจสิ่งที่เหวินอี๋เหนียงพูดว่า ‘ความวุ่นวาย’ นั้นคืออะไร
“ซื่อบื้อจริงๆ เลย” เหวินอี๋เหนียงยิ้มแล้วจิ้มหน้าผากนางเบาๆ “สกุลหยางคนนั้นยังไม่ได้แต่งเข้ามาก็ทำให้เฉียวอี๋เหนียงและฉินอี๋เหนียงอยู่ไม่เป็นสุข หากแต่งเข้ามาแล้ว ยังไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น เราไม่สู้รีบหลบหนีออกไปก่อน จะได้ไม่โดนน้ำโคลนกระเซ็นใส่ตัว”
ชิวหงได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้าซ้ำๆ จากนั้นก็รีบบอกอวี้เอ๋อร์และคนอื่นๆ ให้เก็บข้าวของ