ชีเหนียงกับฮูหยินห้าปรึกษากันไปปรึกษากันมา สุดท้ายก็ตัดสินใจจัดงานขึ้นที่เรือนลี่จิ่งเซวียนของเจินเจี่ยเอ๋อร์
ที่นั่นมีดอกไม้ต้นไม้มากมาย อีกทั้งยังไม่ห่างไกลเกินไปแล้วยังไม่เสียงดัง เป็นสถานที่ที่ดี ถึงแม้ว่าพวกนางสองคนจะเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่พวกนางล้วนแต่เป็นคนร่าเริง พาเจินเจี่ยเอ๋อร์เล่นอย่างสนุกสนาน
สืออีเหนียงยิ้มแล้วช่วยพวกนางเตรียมของบูชาในวันนั้น
เจินเจี่ยเอ๋อร์อยู่กับชีเหนียงและฮูหยินห้า ประเดี๋ยวก็ไปเลือกดอกไม้ที่ห้องหน่วนฝัง ประเดี๋ยวก็ไปเลือกเครื่องหอมที่เรือนของฮูหยินสอง สำหรับซื่อเหนียง นางมารับชีเหนียงที่จวนด้วยตัวเอง
“…เล่นกันอย่างสนุกสนาน แค่ไปโผล่หน้าที่เรือนของข้า หลังจากนั้นก็หายไปเลย” นางนั่งบนเก้าอี้ไท่ซือหน้าเตียงเตาไท่ฮูหยิน ยิ้มอย่างสุขุมอ่อนโยน “เห็นบรรยากาศคึกคักที่จวนของท่านถึงได้เข้าใจเจ้าค่ะ”
“นางชอบที่นี่ ข้าก็ดีใจ” ไท่ฮูหยินเห็นท่าทีที่อ่อนโยนของซื่อเหนียง ท่าทีของผู้รากมากดี ก็รู้สึกว่าบุตรสาวสกุลหลัวไม่เลวเลยทีเดียว “เจ้าไม่ต้องห่วง ให้นางเล่นอยู่ที่จวนของข้าสักสองสามวันก็ได้”
ซื่อเหนียงไม่ได้จะมารับชีเหนียงกลับไปจริงๆ และถึงแม้ว่าจะลากนางกลับไปนางก็หนีออกมาอยู่ดี แต่แค่กลัวว่าไท่ฮูหยินจะคิดว่าชีเหนียงไม่มีมารยาท ดังนั้นตนจึงมาที่นี่
หลังจากพูดคุยกันสองสามประโยค ไท่ฮูหยินก็ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ บอกให้พวกหนุ่มสาวไปสนุกกันเอง
สืออีเหนียงเชิญซื่อเหนียงไปนั่งที่เรือนของตัวเอง ชีเหนียงและฮูหยินห้าที่ได้ยินข่าวก็รีบไปที่นั่น
ซื่อเหนียงเห็นว่ามีหญ้าติดอยู่ที่ชายกระโปรงของชีเหนียง ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดจากตรงไหนก่อนดี
แต่ชีเหนียงกลับจับมือพี่สาวตัวเองแล้วพูดออดอ้อน “ลานใหญ่โตขนาดนั้น มีแค่ข้าและจูอานผิงสองคน น่าเบื่อจะตายเจ้าค่ะ”
ฮูหยินห้าก็ช่วยพูดอยู่ข้างๆ “พี่หญิงสี่เจ้าคะ พวกเราจะได้อยู่เป็นเพื่อนกันเจ้าค่ะ”
ซื่อเหนียงไม่ใช่คนไร้เหตุผล นางพูดกับชีเหนียงสองสามประโยค ก็ไม่พูดถึงเรื่องที่จะให้นางกลับไปอีก
ชีเหนียงและฮูหยินห้ายิ้มอย่างดีใจ ราวกับเด็กผู้หญิงก็ไม่ปาน ไม่มีความสุขุมของคนที่แต่งงานเป็นแม่คนแล้วเลยแม้แต่น้อย แต่มันกลับเหมาะสมกับอายุของพวกนาง
ซื่อเหนียงอยู่ทานข้าวเที่ยงที่จวนสกุลสวี ทานเสร็จนางก็จะกลับ สืออีเหนียงรู้ว่านางต้องกลับไปทานยา จึงส่งนางออกไปที่ประตูฉุยฮวา แต่ซื่อเหนียงกลับไม่ได้รีบขึ้นรถม้า
“ให้ชีเหนียงอยู่ที่นี่สักสองสามวัน เจ้าก็เกลี้ยกล่อมนางกลับไปเถิด!” นางพูดเบาๆ “ที่นางออกมาครั้งนี้ ก็เพราะว่าโกรธแม่สามี”
สืออีเหนียงตกใจ
ตนไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับชีเหนียงสองต่อสองเลย
ซื่อเหนียงพยักหน้าเบาๆ “ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นแม่สามีของนาง นางต้องหาทางออกให้ได้”
“รู้แล้วเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงพูด “อีกสองวันข้าจะเกลี้ยกล่อมนางให้ยอมกลับไป”
ซื่อเหนียงถอนหายใจเบาๆ จากนั้นก็ขึ้นรถม้า
แต่ชีเหนียงกลับหลบหน้าสืออีเหนียงตลอด สืออีเหนียงคิดว่าเรื่องนี้จะใจร้อนไม่ได้ แทนที่จะปล่อยให้ชีเหนียงกลับไปด้วยความคับข้องใจ ไม่สู้ให้นางได้พักผ่อนให้อารมณ์ดีขึ้นเสียก่อน นางจึงบอกป้าซ่งบอกให้โรงครัวทำขนมเฉียวกั่วของเทศกาลชีซี แล้วก็บอกให้หู่พั่วนำโต๊ะสี่เหลี่ยมแกะสลักลายดอกเหมยออกมาจากห้องเก็บของให้พวกนางทำพิธีบูชา แล้วยังเลือกถ้วยกระเบื้องลายครามลวดลายน้ำทะเลออกมารองของบูชา นำติ่งจู๋สามขาสีทองออกมาเผาเครื่องหอม เมื่อถึงวันขึ้นหกค่ำเดือนเจ็ดก็สั่งให้คนย้ายไปที่เรือนลี่จิ่งเซวียน ทานข้าวเย็นที่เรือนของไท่ฮูหยินแล้วกลับมา มีชามยักษ์ที่เต็มไปด้วยน้ำสะอาดวางอยู่ใต้ชายคา ใช้สำหรับโยนเข็มยามเที่ยงในเทศกาลชีซีวันพรุ่งนี้
“ของเจ้าคืออันไหน” สวีลิ่งอี๋นึกถึงบรรยากาศที่เรือนของไท่ฮูหยินเมื่อครู่
ยังไม่ถึงเทศกาลชีซี แต่ตานหยางกับสวีลิ่งควนกลับเริ่มคิดถึงเทศกาลวันสารทจีนแล้ว แต่ไม่เห็นสืออีเหนียงทำอะไรสักอย่าง
“ข้ายังไม่ได้เตรียมเจ้าค่ะ!”
ความจริงแล้วนางไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้
เปิดน้ำในห้องโถงทั้งคืน โยนเข็มปักผ้าเล็กๆ ลงไป เพราะว่าความหนาแน่น ส่วนมากมันมักจะลอยอยู่บนผิวน้ำอยู่แล้ว
สวีลิ่งอี๋ไม่ถามอะไรอีก เขาเดินเข้าไปในห้องกับสืออีเหนียง
เช้าวันต่อมา หลังจากคารวะไท่ฮูหยินเรียบร้อยแล้ว นางก็ขอตัวออกไปกับชีเหนียงที่กำลังพูดคุยกับไท่ฮูหยินอย่างสนุกสนาน ออกไปที่ห้องโถงกับชีเหนียง ฮูหยินห้าและฮูหยินสอง
ท่านป้าผู้ดูแลสองสามคนยืนรออยู่ใต้ชายคา
พูดคุยเรื่องสำคัญแล้ว จากนั้นสืออีเหนียงก็ยิ้มแล้วบอกให้หู่พั่วไปนำกล่องขนมเฉียวกั่วมา “… คนละสองกล่อง น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ของขวัญสำหรับทุกคน” จากนั้นก็พูดว่า “ข้าจัดโต๊ะงานเลี้ยงไว้ข้างหลังโถงเตี่ยนชุนสองโต๊ะ ให้ป้าซ่งสนุกสนานกับทุกคน”
บรรดาท่านป้าก็พากันลุกขึ้นเอ่ยขอบพระคุณด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส บรรยากาศครื้นเครง
สืออีเหนียงยิ้มแล้วไปทานข้าวเที่ยงที่เรือนของไท่ฮูหยิน
ระหว่างทางก็เห็นสาวใช้และท่านป้าที่กำลังตากแดดอยู่
กลับมาที่เรือน นอกจากหู่พั่วที่ไปทานข้าวกับบรรดาป้ารับใช้ จู๋เซียง ลี่ว์อวิ๋น หงซิ่ว เยี่ยนหรงและคนอื่นๆ ก็กำลังโยนเข็มอยู่ด้วยกัน
เห็นสืออีเหนียงเดินเข้ามา ทุกคนก็แยกย้ายกันไปทันที
“เข็มของใครจม เข็มของใครลอย?” สืออีเหนียงถามพลางหัวเราะ
ทุกคนพลันถอนหายใจด้วยความโล่งอก สาวใช้น้อยที่ปกติไม่ค่อยได้เจอกับสืออีเหนียงก็หัวเราะแล้วพูดว่า “เข็มของพี่จู๋เซียงและพี่เยี่ยนหรงจม เข็มของพี่ลี่ว์อวิ๋นและพี่หงซิ่วลอยเจ้าค่ะ”
“อ๋อ!” สืออีเหนียงยิ้ม “เห็นอะไรแล้วบ้าง”
สาวใช้คนนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ของพี่ลี่ว์อวิ๋นราวกับดอกบัว ส่วนของพี่หงซิ่วราวกับดอกหางสุนัขเจ้าค่ะ”
หงซิ่วได้ยินเช่นนี้ก็หน้าแดง “ฮูหยินอย่าฟังนางพูดจาเหลวไหลเจ้าค่ะ ของข้าราวกับดอกหางสุนัขที่ไหนกัน มันคือดอกเทียนบ้านชัดๆ นางไม่เข้าใจแล้วยังพูดจาเหลวไหล”
ทุกคนต่างก็พากันหัวเราะ
บรรยากาศที่ครึกครื้นมักจะแพร่กระจายให้ผู้คน แต่สืออีเหนียงในตอนนี้กลับรู้สึกเสียดายเล็กน้อย นางเองก็ควรตักน้ำมาลองโยนเข็ม ดูว่าเข็มของตัวเองจะลอยน้ำหรือจมน้ำ แต่ว่านี่เป็นนิสัยปกติโดยทั่วไปของคนในยุคสมัยใหม่ พวกเขาล้วนไม่สนใจขนมธรรมเนียมประเพณีโบราณแบบนี้ตั้งนานแล้ว
นางยิ้มแล้วเข้าไปในห้อง ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นจะได้ไม่รู้สึกเกร็ง
เมื่อนอนกลางวันตื่นขึ้นมา บรรดาสาวใช้ก็ยังคงจมอยู่ในความสนุกสนานของการโยนเข็ม บรรยากาศในห้องครื้นเครงต่างจากปกติ
สืออีเหนียงปักดอกไม้ เห็นว่าเย็นมากแล้ว ก็ล้างหน้าล้างตาแล้วก็กำลังจะไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
มีบ่าวรับใช้ลานข้างนอกมาขอพบนาง
“ฮูหยินขอรับ ท่านโหวบอกว่า ประเดี๋ยวเขาจะไปเดินถนนซีต้ากับคุณชายห้าและคุณชายจู บอกว่าไม่ต้องรอทานข้าวกับพวกเขาขอรับ”
สืออีเหนียงพยักหน้า จากนั้นก็ไปรายงานไท่ฮูหยิน
“ปล่อยให้พวกเขาไปเที่ยวของพวกเขา ส่วนพวกเราก็สนุกกันเอง” ที่จริงแล้วไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็แอบไม่พอใจ จากนั้นก็พูดถึงเรื่องโยนเข็มของฮูหยินสองและเจินเจี่ยเอ๋อร์ในตอนเที่ยง “ของอี๋เจินจมแล้ว แต่ของเจินเจี่ยเอ๋อร์ลอย ราวกับปิ่นระย้า สวยงามเป็นอย่างมาก เสียดายที่เจ้าไม่อยู่”
ขณะที่นางกำลังพูด ฮูหยินห้าและชีเหนียงก็จับมือกันเดินเข้ามา จากนั้นก็เปลี่ยนไปพูดถึงบรรยากาศโยนเข็มที่เรือนของฮูหยินห้า และหยุดพูดเมื่อสาวใช้เข้ามารายงานว่าจัดอาหารเรียบร้อยแล้ว
พวกนางทานข้าวเย็นกันอย่างง่ายๆ จากนั้นก็ไปที่เรือนลี่จิ่งเซวียน
ยามเย็นมีลมพัดผ่าน พระจันทร์ครึ่งเสี้ยวลอยอยู่ทางทิศตะวันตก แสงดาวบนท้องฟ้าสว่างไสวราวกับทางช้างเผือก ท้องฟ้าและผืนดินต่างก็สะท้อนซึ่งกันและกัน ทำให้โลกใบนี้ดูสงบสุขและรุ่งเรือง
ทุกคนทานผลไม้ เล่าเรื่องตลก จนกระทั่งถึงเที่ยงคืนก็แข่งกันเย็บปักถักร้อยใต้แสงจันทร์ สืออีเหนียงชนะได้ที่หนึ่ง
ไท่ฮูหยินถอดกำไลข้อมือทองคำบนข้อมือตัวเองออกแล้วส่งให้สืออีเหนียง “นี่คือรางวัลของเจ้า”
ฮูหยินห้าและชีเหนียงแอบบ่นพึมพำอยู่ข้างๆ ว่าลำเอียง ไท่ฮูหยินไม่รู้จะทำเช่นไร จึงยิ้มแล้วถอดแหวนทองคำสองวงบนนิ้วป้าตู้ออกมา “ประเดี๋ยวเจ้าไปเลือกเอาที่หน้าโต๊ะกระจกข้าสักสองชิ้น” จากนั้นก็ยื่นให้ฮูหยินห้าและชีเหนียง พวกนางทั้งสองถึงได้สงบลง
ป้าตู้เองก็ร่วมสนุกด้วย “เช่นนั้นต้องให้บ่าวเป็นคนเลือกนะเจ้าคะ”
“ให้เจ้าเป็นคนเลือก ให้เจ้าเป็นคนเลือก!”
ทำเอาทุกคนหัวเราะ จนถึงยามโฉ่วถึงได้แยกย้ายกัน
สวีลิ่งอี๋พึ่งกลับมา
เขายื่นกล่องสี่เหลี่ยมสีแดงให้สืออีเหนียง
“อะไรหรือเจ้าคะ” สืออีเหนียงกำลังจะเปิดกล่อง แต่กลับถูกสวีลิ่งอี๋ห้ามเอาไว้ “พรุ่งนี้ค่อยเปิดดูด้วยกัน” จากนั้นก็นำกล่องไปวางไว้บนโต๊ะเตียงเตา
อาจจะเป็นของเล่นอะไรที่ซื้อมาจากถนนซีต้ากระมัง
ถึงแม้ว่าสืออีเหนียงจะอยากรู้ แต่นางก็ยอมเล่นกับเขาไปด้วย เช้าวันต่อมาถึงค่อยเปิดกล่องดู
ข้างในคือแมงมุมที่ทำรัง
สืออีเหนียงตกใจ
สวีลิ่งอี๋กำลังให้สาวใช้รับใช้ตัวเองแต่งตัว เขาถามนางด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ใยของซีจื่อ หนาแน่นหรือไม่”
สมัยโบราณนั้นเรียกแมงมุมว่าซีจื่อ
“หนาแน่นเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้มมุมปาก “ปีนี้คงจะโชคดีไม่น้อยเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า จากนั้นก็พูดว่า “ประเดี๋ยวข้าจะไปจวนซุ่นอ๋องกับจูอานผิง เกรงว่าคงจะกลับมาสาย เจ้าไม่ต้องรอข้าก็ได้”
เหตุใดจู่ๆ ก็อยากพาจูอานผิงไปหาซุ่นอ๋องกันเล่า
สืออีเหนียงประหลาดใจ
สวีลิ่งอี๋พูดส่งๆ “เมื่อคืนนี้ ไทเฮาเป็นลมอีกแล้ว ข้าเป็นสะพานให้จูอานผิงและซุ่นอ๋อง ต่อไปมีเรื่องอันใด ทุกคนจะได้ดูแลกัน”
“ท่านไม่ชอบให้คนในจวนทำกิจการกับกรมราชกิจภายในไม่ใช่หรือเจ้าคะ” สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นอย่างสงสัย
“ข้าไม่ชอบทานในชามเหลือบมองในกระทะ” สวีลิ่งอี๋พูดอย่างครุ่นคิด “มนุษย์อยู่บนโลกใบนี้ ทานได้แค่สามมื้อ นอนได้แค่สามครั้งต่อวัน ต้องเข้าใจหลักการที่ว่าเมื่อน้ำเต็มมันก็จะล้นออกมา”
สืออีเหนียงพยักหน้า จากนั้นก็ส่งสวีลิ่งอี๋ออกไป
นางคิดว่าต้องไปคุยกับชีเหนียงได้แล้ว
แต่ใครจะรู้ นางยังไม่ทันได้ออกไปหาชีเหนียง แต่ชีเหนียงกลับมาหานางเอง
“น้องหญิงสิบเอ็ดเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง” นางพูดอย่างตรงไปตรงมา “ท่านแม่เอาแต่ด่าเรื่องที่ข้าไม่มีลูกอยู่ทุกวัน ข้าไม่มีลูกก็อกตัญญูมากพอแล้ว หากยังทำเรื่องที่อกตัญญูอีก ถึงแม้ว่าจะมีจูอานผิงคอยปกป้อง แต่น้ำลายของคนอื่นก็คงจะกระเด็นมาจนท่วมตัวข้า ข้ามาเยี่ยมญาติที่เยี่ยนจิง ก่อนวันที่สิบห้าเดือนแปดก็จะกลับไปแล้ว”
สืออีเหนียงยิ้ม “ข้าเป็นห่วงท่านเสียเปล่า”
ชีเหนียงเบิกตาใส่นาง “ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นเหมือนกับคนแก่ตั้งแต่เด็ก แต่ข้าก็เป็นพี่หญิงของเจ้า ข้าไม่ได้รู้น้อยไปกว่าเจ้า”
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ชีเหนียงเอ่ยบอกนาง “ข้าอยากไปลอยโคมไฟกับฮูหยินห้าในเทศกาลวันสารทจีน ถึงตอนนั้นเจ้าช่วยข้าพูดกับไท่ฮูหยินให้ข้าเถิด!”
สืออีเหนียงจงใจแกล้งนาง “เหตุใดต้องให้ข้าช่วยพูดให้ด้วยเล่า ทำไมพวกท่านไม่ช่วยพูดให้ข้าบ้าง ชวนข้าไปลอยโคมไฟด้วยคนสิ”
ชีเหนียงยิ้ม “หากเจ้าไปแล้วใครจะดูแลซินเจี่ยเอ๋อร์เล่า”
ที่แท้ก็อยากจะให้นางดูลูกให้!
สืออีเหนียงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จงใจพูดขึ้นว่า “ซินเจี่ยเอ๋อร์คือสมบัติในฝ่ามือของน้องสะใภ้ห้า คือดวงใจของนาง หากเกิดอะไรขึ้นข้าจะรับผิดชอบได้อย่างไร ไม่ได้!”
“ไอ๊หยา” ชีเหนียงก็รู้ว่าตัวเองทำเกินไป แต่เมื่อนึกว่าต่อไปตัวเองยังจะมีโอกาสเช่นนี้อีกหรือไม่ นางก็ขอร้องสืออีเหนียงอย่างไร้ยางอาย “ตานหยางไม่ไว้ใจใคร มีแค่เจ้าคนเดียวเท่านั้น!”
สืออีเหนียงแปลกใจ “ตานหยางบอกให้ท่านมาบอกข้าหรือ”
“ไม่ใช่!” ชีเหนียงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก พูดติดๆ ขัดๆ “พึ่งจะเจ็ดเดือนครึ่ง นางกลัวว่าซินเจี่ยเอ๋อร์อยู่คนเดียวแล้วจะกลัว นางจึงไม่อยากไป…ข้าจึงบอกว่าจะขอให้เจ้าไปช่วยดูแลซินเจี่ยเอ๋อร์ นางจึงยอมไป” พูดจบ นางก็พูดด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนจะบังคับแต่ก็ดูเหมือนจะอ้อนวอน “เจ้าเห็นแก่หน้าข้าได้หรือไม่”