ตัวอักษรบนแท่นศิลาจารึกราวกับกำลังหมุนไปรอบๆ สืออีเหนียงเพ่งดูอยู่นานถึงได้รู้ว่ามันแกะสลักเนื้อหาครึ่งหนึ่งของหนังสือ ‘หัวใจพระสูตร’
“เจ้ามาที่แท่นศิลาจารึกครั้งแรกหรือ” จู่ๆ ก็มีเสียงบุรุษดังขึ้นมาจากข้างหลัง
ไม่ได้ยินเสียงป้าซ่งและคนอื่นๆ สืออีเหนียงตกใจเป็นอย่างมาก นางหมุนตัวไปมองพลางก้าวถอยหลังหนีสามสี่ก้าวทันที
“ตกใจแทบแย่!” นางมองไปที่สวีลิ่งอี๋ที่สวมเสื้อผ้าไหมสีฟ้าลายดอกแล้วถอนหายใจ “เหตุใดท่านโหวถึงเดินเบาราวกับแมวเล่าเจ้าคะ” นางมองไปรอบๆ อีกครั้ง ไม่เห็นบ่าวรับใช้คนนั้นแล้ว ป้าซ่งและหู่พั่วก็ยืนอยู่ข้างป่าไผ่ไกลๆ
อาจจะเพราะเห็นว่าคนที่มาคือสวีลิ่งอี๋ ดังนั้นพวกนางจึงไม่พูดอะไรใช่หรือไม่!
“ท่านโหวมาตั้งแต่เมื่อไรเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋เห็นท่าทีหวาดกลัวของนางก็ไม่เข้าใจ จึงถามด้วยความแปลกใจ “ในวัดนี้ไม่มีคนอื่นเสียหน่อย…”
สืออีเหนียงบ่น “ก็เพราะไม่มีคนอื่น จู่ๆ ก็มีเสียงผู้ชายดังขึ้นมา จะไม่ตกใจได้เช่นไรกัน”
สวีลิ่งอี๋เอ่ยขอโทษด้วยรอยยิ้ม
หลิวถงจือไม่บอกลาสวีลิ่งอี๋เสียที จึงทำให้เขามาช้ากว่าเวลาที่กำหนดเอาไว้ แต่เขาก็รีบวิ่งมาทันเห็นสืออีเหนียงยืนดูตัวอักษรบนแท่นศิลาจารึกอยู่ไกลๆ อีกทั้งยังยื่นนิ้วออกมาเขียนตามเป็นครั้งคราว
เห็นท่าทีจริงจังของสืออีเหนียง เขาจึงบอกให้ป้าซ่งและคนอื่นๆ ห้ามรบกวนนาง แล้วเดินเข้ามาเบาๆ
ตอนนี้เป็นเวลาช่วงบ่ายของฤดูใบไม้ร่วง แสงอาทิตย์ส่องแสงบนปิ่นหยกที่ประดับอยู่บนหัวของนาง ส่องแสงระยิบระยับทำให้ใบหน้าของนางราวกับหยกสีขาว คิ้วโก่งโค้งคู่งาม ดวงตาสดใส ราวกับกำลังดึงดูดเหล่าวิญญาณ ทำให้เขาหยุดมองไม่ได้
เห็นนางสวมเสื้อสีขาวลายดอก กระโปรงธรรมดาสีฟ้า เอียงหัวมองตัวอักษรบนแท่นศิลาจารึก ประเดี๋ยวก็ขมวดคิ้ว ประเดี๋ยวก็ยิ้ม ปากก็ยังท่อง ‘เกิดแก่เจ็บตาย ไม่มีการกลับชาติมาเกิด…’ ท่าทีน่ารักน่าเอ็นดูเป็นอย่างมาก เขาจึงยืนรอนางอยู่ข้างๆ ใครจะรู้ว่านางอ่านครึ่งหนึ่งของ ‘หัวใจพระสูตร’ จนจบ แล้วก็อ่านตั้งแต่ต้นอีกครั้ง ราวกับไม่เคยเห็นมาก่อน เขาจึงอดไม่ได้ที่จะถาม แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะทำให้นางตกใจ
แต่สืออีเหนียงคิดว่าสวีลิ่งอี๋มีแขกแล้วยังนัดนางออกมาเจอในที่ห่างไกลเช่นนั้น อีกทั้งยังไล่ป้าซ่งและคนอื่นๆ ออกไปยืนไกลๆ นางจึงถามอย่างตรงไปตรงมา “ท่านโหวเรียกข้ามามีเรื่องสำคัญอันใดหรือไม่เจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็หยุดชะงัก จากนั้นก็พูดว่า “ไม่ได้มีเรื่องสำคัญอะไร”
เขาพูดช้ากว่าปกติ ในน้ำเสียงมีความลังเล ทำให้ฟังดูจริงจัง สืออีเหนียงทำสีหน้าเคร่งขรึม นางคอยฟังอย่างเงียบๆ
“เจ้าสนิทสนมกับไท่ฮูหยินสกุลกานไม่ใช่หรือ” สวีลิ่งอี๋พูดเบาๆ “ข้าได้ยินคนพูดว่า คนของสกุลจงฉินปั๋วและปั้นถังกงอยากจะร่วมมือกันทำกิจการขนส่งทางทะเล…”
สกุลกง? ปั้นถังกงที่ไม่ถูกกับสกุลเหวิน แล้วยังเป็นหนึ่งในสี่สกุลพ่อค้ารายใหญ่? สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ จากนั้นก็ได้ยินเสียงที่ชัดเจนของสวีลิ่งอี๋ดังขึ้นมาข้างหูอีกครั้ง
“ตอนนั้นสกุลกงพยายามใช้ทุกวิถีทางส่งบุตรสาวไปแต่งงานกับเจี้ยนอานสกุลเจี่ยง เดิมทีคิดว่าจะพึ่งพาต้นไม้ใหญ่บดบังแสงแดด ใครจะคิดว่าสกุลเจี่ยงสองชั่วอายุคนแล้วยังไม่มีบัณฑิตชั้นสูงแม้แต่คนเดียว แล้วยังอยู่ที่ฝูเจี้ยน อยู่ภายใต้อำนาจของจิ้งอานโหวสกุลโอว พวกเขาไม่มีอำนาจเหมือนตอนนั้นแล้ว” เขาค่อยๆ หันหลังเดินลงบันไดไป
สืออีเหนียงรีบเดินตามไป
“สกุลกงก็ทำอะไรโจ่งแจ้งไม่ได้ สองสามปีที่ผ่านมาพวกเขาลำบากเป็นอย่างมาก แต่เมื่อได้ยินว่าสกุลเจี่ยงและสกุลกานแต่งงานกัน พวกเขาจึงพยายามสร้างสัมพันธ์กับสกุลกาน”
ในขณะที่พูด สวีลิ่งอี๋ก็เดินโค้งเข้าไปทางถนนเล็กในป่าไผ่
“ทำกิจการขนส่งทางทะเลมีกำไรมาก แต่ก็มีความเสี่ยงสูง นอกจากนั้นยังต้องใช้ทักษะมากมาย สกุลกงไม่เคยข้องเกี่ยวกับกิจการประเภทนี้ เจ้าหาเวลาไปเตือนกานไท่ฮูหยินสักหน่อยเถิด บอกให้จงฉินปั๋วระวังเรื่องบางเรื่องเอาไว้ก็ดี”
ต้นไผ่สองข้างทางทั้งสูงทั้งหนาแน่น กิ่งไผ่เสียดสีกัน บางต้นใหญ่ราวกับชาม บางตันเรียวเล็กราวกับพู่กัน เบียดเสียดกันไปมา กิ่งและใบยืดแผ่ขยายออกมา ทำให้พวกมันดูมีชีวิตชีวา
แต่สืออีเหนียงกลับไม่มีอารมณ์ชื่นชมมัน
สวีลิ่งอี๋ไม่ใช่คนที่ได้ยินข่าวลืออะไรก็คล้อยตามไปหมด เขาไม่มีความใจร้อนและบ้าบิ่นเหมือนตอนเป็นหนุ่มๆ แล้ว เขานัดตนมาพูดเรื่องนี้อย่างจริงจังที่สถานที่เช่นนี้ ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะนิ่งสงบ แต่เกรงว่าเรื่องนี้มันคงจะเลวร้ายจริงๆ
นางตั้งหน้าตั้งตาฟังอย่างตั้งใจ
“ตอนนี้สกุลกงอยากจะรีบตีสนิทกับสกุลากาน ก็เพราะว่าอยากจะอ้างชื่อของจวนจงฉินปั๋ว ให้จงฉินปั๋วไม่ต้องกังวลว่าจะทำกิจการกับสกุลกงไม่สำเร็จ แค่จ่ายเงินลงทุนตามสัดส่วนโดยไม่ต้องจ่ายเงินทุนทั้งก้อน ยอมได้กำไรน้อยหน่อย แต่อย่าลงทุนมากเกินไป จะได้ไม่เสียหาย”
ถึงแม้ว่าจะมีเหตุผล แต่หากไม่มีเงินก็ไม่มีทางชนะคดี ถึงแม้ว่าสกุลกานจะเป็นสกุลขุนนาง แต่การฟ้องร้องคดีก็สามารถทำให้พวกเขาเสียหายได้เหมือนกัน มันไม่ได้ดูสดใสเหมือนเปลือกนอก จงฉินปั๋วอาจจะโลภจนเสียสติสัมปชัญญะ และตัดสินใจอะไรพลาดพลั้งก็เป็นไปได้ หากพวกเขาผิดพลาด เกรงว่าคงไม่มีวันได้ฟื้นกลับมาอีกต่อไป
กานไท่ฮูหยินยังอายุน้อยอยู่ นางยังต้องพึ่งพาจงฉินปั๋วดูแลนางไปจนแก่เฒ่า
สืออีเหนียงเป็นกังวล “พรุ่งนี้ข้าจะไปจวนสกุลกาน จะได้นำของขวัญเทศกาลไหว้พระจันทร์ไปมอบให้กานไท่ฮูหยินด้วย” แล้วก็นึกถึงความสัมพันธ์ของจงฉินปั๋วและกานไท่ฮูหยิน นางพูดอย่างเอือมระอา “ไม่รู้ว่าจงฉินปั๋วจะฟังคำแนะนำของกานไท่ฮูหยินหรือไม่…”
จะให้บอกว่าสวีลิ่งอี๋เป็นคนพูดเรื่องนี้ได้เช่นไรกัน!
นี่เป็นเรื่องของสกุลาน จงฉินปั๋วก็ยังเป็นท่านปั๋วที่พึ่งได้รับตำแหน่ง กำลังมีอำนาจ หากเขาคิดได้ก็คงจะดี แต่หากคิดไม่ได้ เกรงว่าจะโทษว่าสวีลิ่งอี๋ยุ่งเรื่องของคนอื่น ถึงขั้นมีความคิดที่จะคัดค้าน จะลงทุนก้อนใหญ่กับสกุลกงทำกิจการนี้ให้หย่งผิงโหวดู…
นางถามสวีลิ่งอี๋ “เรื่องนี้ มีใครรู้อีกหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ค่อยมีใครรู้” พวกเขาสองคนเดินช้าๆ เคียงกันบนถนนในป่าไผ่ “ข้าก็บังเอิญรู้มา”
สกุลโอวอยู่ที่ฝูเจี้ยน สวีลิ่งอี๋สังเกตการเคลื่อนไหวของสกุลโอวมาตลอด สืออีเหนียงพูดเบาๆ “รู้มาจากสกุลเจี่ยงหรือเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า
สืออีเหนียงเอ่ยถามเขา “แล้วพี่ชายของกานไท่ฮูหยินรู้หรือไม่เจ้าคะ”
พี่ชายของกานไท่ฮูหยิน ไม่ว่าเช่นไรก็ถือเป็นท่านลุงของจงฉินปั๋ว เป็นเรื่องสมควรที่เขาจะสนใจเรื่องของสกุลกาน
สวีลิ่งอี๋พูด “เรื่องพวกนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเกินหน้าที่ กานไท่ฮูหยินคงจะจัดการได้!”
ก็จริง! กานไท่ฮูหยินเป็นฮูหยินของท่านปั๋วคนก่อนมาตั้งหลายปี ถึงแม้ว่านางจะคิดอะไรไม่ออก แต่ก็ยังมีพี่ชายสกุลเดิมให้ปรึกษา ตนมักจะนึกถึงท่าทีที่โดดเดี่ยวของนาง จึงเผลอคิดว่านางไม่มีที่พึ่งพา
“ข้าคิดมากเกินไปเองเจ้าค่ะ” คิดเช่นนี้ สืออีเหนียงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
สวีลิ่งอี๋ได้ยินแล้วก็พยักหน้าเบาๆ แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก
ต้นไผ่รอบๆ ก็เบียดเสียดไปมาจนทำให้เกิดเสียง
พวกเขาสองคนเดินไปอย่างเงียบๆ
สืออีเหนียงอี๋นึกขึ้นได้ว่าไท่ฮูหยินและคนอื่นๆ ยังอยู่ที่เรือนปีก แต่นางไม่รู้ว่าถนนเส้นนี้ไปทางไหน นางจึงเดินช้าลงเพราะลังเล แต่กลับได้ยินสวีลิ่งอี๋ถามว่า “เมื่อครู่เห็นท่าทีของเจ้า ดูเหมือนว่าเจ้าจะมาที่แท่นศิลาจารึกครั้งแรก?” จากนั้นก็ไม่รอให้สืออีเหนียงตอบกลับ เขาก็พูดอีกว่า “มีคนบอกว่าแท่นศิลาจารึกนี้เป็นตัวอักษรสิงเฉ่าอันดับหนึ่ง แล้วยังถูกยกย่องให้เป็น‘ตัวอักษรที่แปลกประหลาด ราวกับเถาวัลย์ที่ห้อยอยู่ใต้ต้นสน’ ทำให้บรรดานักปราชญ์ที่มาวัดฮู่กั๋วต้องมาดูที่นี่ เจ้าคิดว่าเป็นเช่นไรบ้าง”
“ข้าไม่เคยเรียนอักษรหวัด จึงไม่ค่อยเข้าใจ” สืออีเหนียงยิ้ม “แต่ว่าตัวอักษรเขียนได้สวยงาม แล้วยังมีความแน่วแน่ เป็นผลงานชิ้นเอกที่หายาก” พูดจบ นางก็หยุดชะงัก “แต่ว่าใช้อักษรหวัดเขียน ‘หัวใจพระสูตร’ ข้าคิดว่ามันแปลกๆ”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะ
“ดังนั้นตอนที่ค้นพบแท่นศิลาจารึกนี้ มีข่าวลือว่าวัดฮู่กั๋วเป็นคนทำขึ้นมาเพื่อให้ได้รับความสนใจจากผู้คน”
ยุคสมัยไหนก็มีเรื่องจำพวกนี้!
สืออีเหนียงหัวเราะ
สวีลิ่งอี๋ถามนาง “เจ้าลอกเลียนแบบลายมือของใครหรือ ตัวอักษรช่างอิสระเหลือเกิน”
ตอนนั้นที่สืออีเหนียงฝึกเขียนพู่กันก็เพราะว่าเป็นวิชาเสริม ต่อมานางเริ่มสนใจการเขียนพู่กันมากขึ้น จึงฝึกฝนมาตลอด แต่ในสายตาของคนที่เข้าใจการเขียนพู่กันจริงๆ ก็คงจะมีเอกลักษณ์แค่ความอิสระเท่านั้น
“ลอกลายมือของโอวหยางสวินเจ้าค่ะ” นางยิ้ม “ต่อมาก็ลอกของหลิวกงเฉวียน แต่ข้าชอบลอกของพ่อลูกหวังซีจือและหวังเซี่ยนตือมากที่สุด”
สวีลิ่งอี๋ตกใจ “ทำไมถึงไม่ลอกของเหยียนเจินชิง”
สืออีเหนียงเหงื่อตก
ฝึกเขียนพู่กันแบ่งออกเป็นใหญ่ กลาง เล็ก อักษรบรรจงเหยียนต้องลงน้ำหนักมือ ตวัดออก ลอกตัวอักษรของเขา สามารถเขียนตัวใหญ่ได้ ใครก็ตามที่สามารถเขียนตัวใหญ่ได้ ล้วนแต่เคยลอกลายมือของเขาทั้งสิ้น แต่ตอนนั้นนางคิดว่าตัวเองอาจจะไม่ได้ใช้ ดังนั้นจึงเรียนแค่นิดหน่อย ไม่ได้ลอกลายมือของเขาอย่างจริงจัง
นางตอบอย่างคลุมเครือว่า “ข้าคิดว่าอักษรบรรจงเล็กสวยกว่าเจ้าค่ะ!”
สตรีส่วนมากที่เขียนตัวใหญ่ไม่สวย ชอบเปลี่ยนไปเขียนอักษรบรรจงเล็ก
ความคิดนี้ผุดขึ้นมา สวีลิ่งอี๋นึกถึงเสื้อผ้าและเครื่องประดับที่ดูเหมือนจะธรรมดาแต่กลับประณีตทุกอย่างของสืออีเหนียง ก็ยิ้มอย่างแผ่วเบา
นางไม่ใช่เขียนไม่สวย แต่นางคงไม่ชอบเขียนกระมัง
“ข้าเรียนตัวอักษรของเหยียนเจินชิงมาก่อน” เขาพูด “ต่อมาลอกลายมือชูซุ่ยเหลียง จงเหยา จ้าวจื่ออัง หมี่เฟ่ยและเอ๋อร์หวัง แต่ข้าชอบลายมือของชูซุ่ยเหลียงมากที่สุด”
“ไม่แปลกที่ข้าคิดว่าตัวอักษรของท่านโหวหนักแน่น นุ่มนวลแล้วยังสง่างาม” สืออีเหนียงยิ้ม “ดูเหมือนว่าท่านโหวจะเชี่ยวชาญการเขียนตัวอักษรสิงเฉ่ามากใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“พอได้!” สวีลิ่งอี๋พูดอย่างถ่อมตน “ตอนเด็กๆ ข้าซุกซนเป็นอย่างมาก มักจะโดดเรียนบ่อยๆ ท่านพ่อจึงส่งข้าไปอยู่กับอาจารย์เติ้ง ให้เขาเล่าเรื่องการลอกตัวอักษรจากต้นฉบับให้ข้าฟัง ข้าถึงได้ค่อยๆ ยอมรับ จากนั้นก็ฝึกฝนเขียนพู่กันกับอาจารย์เติ้ง”
“อาจารย์เติ้ง?” สืออีเหนียงถามด้วยความสงสัย “อาจารย์เติ้้งจิ้งจือหรือเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า
“เช่นนี้ ท่านโหวและฮ่องเต้ก็มีอาจารย์คนเดียวกันหรือเจ้าคะ!” สืออีเหนียงรู้สึกสนใจขึ้นมา “ดังนั้นท่านรู้จักซุ่นอ๋องและใต้เท้าโจวตั้งแต่เด็กแล้วหรือ”
“อืม!” สวีลิ่งอี๋ยิ้ม “เราอายุใกล้เคียงกัน เดิมทีซุ่นอ๋องอยู่กับอาจารย์เติ้งอยู่แล้ว แต่ว่าซื่อเจิงนั้นองค์หญิงใหญ่ฝูเฉิงเห็นว่าข้าเรียนหนังสือแล้วเขียนพู่กันเก่งขึ้น ถึงได้ส่งเขามาทีหลัง ตอนนั้นยังไม่รู้ความ ข้าสามคนก่อเรื่องกันอยู่ทุกวี่วัน บางครั้งก็ถูกอาจารย์เติ้งจับได้ ลงโทษให้พวกข้าคุกเข่า มีครั้งหนึ่งที่นางในของพระตำหนักของอู๋ฮองเฮานำของไปให้องค์ไท่จื่อ เห็นพวกข้าสามคนคุกเข่าตากแดดอยู่ตรงกลางลาน กลับไปก็ไปเล่าให้อู๋ฮองเฮาฟัง อู๋ฮองเฮาจึงบอกให้นางในคนนั้นแอบนำกางเกงผ้าฝ้ายรองเข่ามาให้พวกข้า…” ยามที่เขาเล่าเรื่องในอดีต มักจะมีร่องรอยความอาลัยอาวรณ์แฝงอยู่ในความสุขเสมอ
เพราะนึกถึงอู๋ฮองเฮาที่ฆ่าตัวตายไปเช่นนั้นหรือ
สืออีเหนียงลอบถอนหายใจ นางเก็บความสงสัยของตัวเองเอาไว้ในใจแล้วฟังสวีลิ่งอี๋เล่าเรื่องอย่างตั้งใจ
“พวกข้าสวมกางเกงผ้าฝ้ายรองเข่าก็ไม่เจ็บเข่าแล้ว แต่มันร้อนมาก ซุ่นอ๋องจึงยกเสื้อคลุมขึ้นมาพัด สุดท้ายก็ถูกอาจารย์เติ้งจับได้”
สืออีเหนียงนึกถึงรูปร่างของซุ่นอ๋อง ก็หลุดหัวเราะออกมา “เป็นเช่นไรต่อเจ้าคะ”
“เพราะว่ากางเกงผ้าฝ้ายรองเข่านั้นปักลายมังกร” สายตาของสวีลิ่งอี๋เป็นประกาย “อาจารย์เติ้งจึงบอกว่าเป็นคนของซุ่นอ๋อง เขาจึงไปฟ้องท่านอ๋องผู้เฒ่า…” สืออีเหนียงที่มีท่าทียิ้มแย้มแบบนี้ เขาพึ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก จึงหยิบเรื่องที่น่าสนใจในอดีตอื่นๆ มาเล่าให้นางฟัง “เขานอนอยู่บนเตียงนานกว่าสามเดือน หลังจากกลับมาแล้วก็มาคิดบัญชีกับพวกเรา บอกให้ขันทีดักข้าและซื่อเจิงหลังเลิกเรียน…”
มีบ่าวรับใช้ออกมาจากป่าไผ่ มองดูพวกเขาแล้วถูมือด้วยความกังวล
สวีลิ่งอี๋เหลือบไปมองเขา แต่ไม่ได้สนใจ กลับมาพูดเรื่องราวในวัยเด็กของตัวเองกับสืออีเหนียงต่อ “… ข้ากับขันทีก็ลงไม้ลงมือกัน ซื่อเจิงจึงไปฟ้องอู๋ฮองเฮา…”
สืออีเหนียงมองดูสวีลิ่งอี๋ที่ยังคงพูดอย่างใจเย็น นางก็ยิ้ม