ตอนที่เดินออกมาจากเรือนของสืออีเหนียง ข้างนอกก็ฝนตกปรอยๆ
เสียงเม็ดฝนตกกระทบลงบนใบไผ่ พลอยให้ความรู้สึกเย็นสบาย
สวีซื่อจุนถามป้าตู้ที่มาดูว่าเขานอนแล้วหรือยัง “ยังจำวันเกิดมารดาของข้าได้หรือไม่”
ป้าตู้ครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นนางก็ยิ้มแล้วพูดว่า “วันที่ยี่สิบหกเดือนห้า” พูดเหมือนไม่ค่อยแน่ใจ “หรือว่าวันที่ยี่สิบเจ็ดเดือนห้านะเจ้าคะ” นางอธิบาย “บ่าวอายุมากแล้ว จำไม่ค่อยได้เจ้าค่ะ เหตุใดจู่ๆ คุณชายน้อยสี่ถึงถามเช่นนี้เล่า”
“ไม่มีอะไร!” สวีซื่อจุนหลับตาลง ขนตาที่ยาวและหนาราวกับพัดเล็กๆ ที่งอเป็นพระจันทร์เสี้ยว น่าเอ็นดูเป็นอย่างมาก “ข้าแค่นึกขึ้นมาได้!”
ป้าตู้กอดสวีซื่อจุนด้วยความรักและเอ็นดู “รีบนอนเถิดเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ยังต้องเรียนแต่เช้า!”
“อืม!” สวีซื่อจุนตอบกลับอย่างรู้ความ จากนั้นก็นอนลง
ป้าตู้ห่มผ้าให้เขา พูดกับฉาเซียงที่เฝ้ายามสามสองสามประโยค จากนั้นก็ไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
ฉาเซียงปิดประตู แล้วก็นอนลงบนเก้าอี้กุ้ยเฟยที่อยู่ข้างๆ
ในห้องพลันเงียบสงัด
หยดน้ำบนชายคาหยดลงมาเบาๆ อย่างเป็นระเบียบ ทำให้สวีซื่อจุนนึกถึงใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มประจบประแจงของบรรดาท่านป้าผู้ดูแล
เมื่อก่อน สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นของท่านแม่ของเขา แต่ตอนนี้ กลับกลายเป็นของอีกคนหนึ่ง
คิดได้เช่นนี้ เขาก็รู้สึกเสียใจ
“ฉาเซียง” สวีซื่อจุนนอนไม่หลับ “มารดาของเจ้าเป็นคนเช่นไร”
คนที่นอนอยู่บนเตียงพลิกตัวไปมา ฉาเซียงไม่กล้าหลับตา
“มารดาของบ่าวหรือเจ้าคะ!” ฉาเซียงยิ้ม “เมื่อก่อนก็ทำงานอยู่ที่จวนเจ้าค่ะ เคยรับใช้ไท่ฮูหยิน แต่ว่า นางเป็นแค่สาวใช้ระดับสามก็แต่งงานออกจากจวน” นางนึกถึงท่าทีดีใจของมารดาตัวเองตอนที่รู้ว่านางจะได้มาทำงานที่เรือนของคุณชายน้อยสี่ ก็ยิ้มอย่างมีความสุข “เจอใครก็บอกว่าบ่าวมีอนาคต เก่งกว่านางเป็นร้อยเท่า บอกให้บ่าวรับใช้คุณชายน้อยสี่ให้ดี ต่อไปออกจวนไปแล้ว จะได้เป็นคนมีหน้ามีตาเจ้าค่ะ…”
สวีซื่อจุนฟังเพียงสองสามประโยคก็ใจลอย
มารดาของเขาไม่ใช่เช่นนั้น ท่านแม่ของเขาแค่นั่งยิ้มอยู่ตรงนั้น ก็สามารถทำให้บรรดาท่านป้าผู้ดูแลจับมือแล้วยืนตรงได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสาวใช้ระดับสาม ท่านแม่ของเขาไม่มีทางเจอใครแล้วทักทาย ล้วนแต่เป็นคนอื่นที่พูดทักทาย นางมักจะยิ้มแล้วรับฟัง แต่เมื่อนางอ้าปากพูด ทุกคนก็ต้องเงียบเสียงคอยตั้งใจฟังนางพูด…
คิดเช่นนี้ จู่ๆ เขาก็มีความคิดอยากจะเจอท่านแม่ของตัวเองขึ้นมา และความคิดนี้ก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ดื้อรั้นขึ้นเรื่อยๆ ตามกาลเวลา
จู่ๆ สวีซื่อจุนก็ลุกขึ้น สวมรองเท้าแล้วปีนขึ้นไปบนเตียงเตาหน้าต่าง
ฉาเซียงไม่ทันได้สวมเสื้อคลุม นางคว้าเสื้อคลุมแล้วรีบเดินตามไป
สวีซื่อจุนเปิดม่านมองออกไปข้างนอก
ดูเหมือนฝนจะหยุดตกแล้ว โคมไฟสีแดงส่องลงบนแผ่นหินสีฟ้าหลังฝนตก ทำให้เกิดแสงหลากสีที่น่าดึงดูด
“ฉาเซียง ข้าอยากไปหาท่านแม่!” ตอนนี้ ความคิดนี้มันช่างแข็งแกร่ง แข็งแกร่งจนทำให้เขานั่งไม่ติด
ฉาเซียงตกใจ “คุณชายน้อยสี่เจ้าคะ ตอนนี้ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้เราค่อยไปเถิดเจ้าค่ะ…”
ไม่รอให้นางพูดจบ สวีซื่อจุนก็ลงมาจากเตียงเตา วิ่งไปที่ราวแขวนข้างๆ แล้วดึงเสื้อคลุมสีฟ้ามาสวม
ฉาเซียงรีบเดินตามไป “คุณชายน้อยสี่เจ้าคะ หากไท่ฮูหยินรู้เข้า นางจะโมโหเอานะเจ้าคะ…”
สวีซื่อจุนหันหน้ามา เขามองไปที่ฉาเซียงด้วยสายตาที่เป็นประกายราวกับกระจก
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ฉาเซียงรู้สึกลำบากใจเป็นอย่างมาก
สวีซื่อจุนก้มหน้าลง “วันที่ยี่สิบเจ็ดเดือนห้าคือวันเกิดของท่านแม่ แต่ว่าทุกคนกลับจำไม่ได้…”
มีหยาดน้ำตาหยดลงมาที่เท้าของนาง
ฉาเซียงอดไม่ได้ที่จะเสียใจ
หลังจากนั้นก็มีเสียงกลองที่ดังขึ้นมา
นางกัดปากตัวเอง
ตอนนี้พึ่งจะยามซวี เรือนของฮูหยินสี่คนก่อนอยู่ข้างหลังเรือนของไท่ฮูหยิน ป้าวังและคนอื่นๆ อยู่ที่นั่น เรือนนี้ก็มีคนเฝ้ายามอยู่…น่าจะไม่เป็นอะไรกระมัง!
“คุณชายน้อยสี่เจ้าคะ เช่นนั้นเราต้องบอกปี้หลัวก่อนเจ้าค่ะ…”
สวีซื่อจุนเงยหน้าขึ้น ดวงตาที่คลอไปด้วยน้ำตาพลันสดใสขึ้น
เขาค่อยๆ ยิ้มอย่างดีใจ
*****
ฝนหยุดตกแล้ว แต่กลับมีลมแรง
ฉาเซียงจับมือสวีซื่อจุนเดินออกไป
ในลานเงียบสงัด ไฟในห้องของไท่ฮูหยินดับแล้ว
ฉาเซียงประหลาดใจ
ไท่ฮูหยินนอนเร็วขนาดนี้…
“คุณชายน้อยสี่ ท่านระวังทางด้วยเจ้าค่ะ” นางพูดเบาๆ จากนั้นก็เลี้ยวไปทางห้องปีกของเรือนหลัง เดินตรงไปยังเรือนหลังกับสวีซื่อจุน
อาจจะเป็นเพราะว่าฝนตกตอนเย็น ถึงแม้ว่าเรือนหลังที่บรรดาสาวใช้อาศัยอยู่จะจุดไฟสว่างไสว แต่ในลานกลับไม่มีคนเลยแม้แต่คนเดียว
ฉาเซียงยืนเรียกป้ารับใช้ที่เฝ้ายามอยู่ข้างหน้าต่างเบาๆ “ท่านป้าเจ้าคะ ข้าคือฉาเซียง สาวใช้ของคุณชายน้อยสี่ ลืมของไว้ที่เรือนของฮูหยินสี่ อยากจะออกไปเอาเจ้าค่ะ”
ป้ารับใช้คนนั้นก็เปิดประตูทันที
เสียงเปิดประตูดังออกไปไกล ทำเอาฉาเซียงใจเต้นแรง “ท่านป้าเบาๆ หน่อยเจ้าค่ะ หากป้าตู้รู้เข้าข้าคงจะถูกตำหนิ!”
ป้ารับใช้คนนั้นเงยหน้าขึ้นก็เห็นสวีซื่อจุนที่ยืนอยู่ข้างหลังฉาเซียง นางจึงพูดเบาลง
“รู้แล้ว รู้แล้ว!” หยิบกุญแจที่อยู่ตรงเอวออกมาเปิดประตูหลังให้พวกเขา
ฉาเซียงยัดเงินสองตำลึงให้ป้ารับใช้คนนั้น “ท่านป้ารอพวกข้าประเดี๋ยว ประเดี๋ยวก็กลับมาเจ้าค่ะ”
ป้ารับใช้คนนั้นไม่กล้ารับเงินมา “แม่นางฉาเซียงรีบไปรีบกลับ ข้ารออยู่ที่นี่ก็ได้” นางยิ้ม
“นี่เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ของคุณชายน้อยสี่เจ้าค่ะ” ฉาเซียงยัดเงินสองตำลึงให้นางอีกครั้ง
ป้ารับใช้คนนั้นจึงรับมาอย่างพอใจ แล้วพูดอย่างขยันขันแข็ง “คุณชายน้อยสี่รีบไปเถิดเจ้าค่ะ ไม่มีใครรู้แน่นอน”
ฉาเซียงยิ้มแล้วเอ่ยขอบคุณเบาๆ จากนั้นก็ออกไปจากประตูหลังกับสวีซื่อจุน
มีต้นไม้ใหญ่อยู่เต็มสองข้างทาง เมื่อลมพัดผ่านกิ่งก้านก็เสียดสีส่งเสียงออกมาราวกับเสียงแมลง พลอยทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัว
สวีซื่อจุนขยับเข้าไปหาฉาเซียง
ฉาเซียงรีบโอบไหล่สวีซื่อจุน “ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ แค่เสียงลมพัด!” แต่น้ำเสียงของนางกลับสั่นเทา
“ข้า…ข้าไม่กลัว!” สวีซื่อจุนทำท่าทีราวกับที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง สายตานั้นจับจ้องไปยังโคมไฟสีแดงที่แกว่งไปมาท่ามกลางสายลมที่อยู่ไม่ไกล ที่นั่นคือเรือนของท่านแม่ ไปถึงที่นั่นแล้ว ท่านแม่ก็จะปกป้องเขา
ฉาเซียงพยักหน้า จากนั้นก็สาวเท้าเดินเร็วขึ้น
ทันใดนั้น ก็มีเงาดำโผล่ออกมาจากป่าข้างทาง
“ไอ๊หยา!!!” พวกเขาสองคนกอดกันพลางส่งเสียงร้อง
เงาดำนั้นก็ตกใจพวกเขาแล้วหันกลับไปอย่างรวดเร็ว
ใบหน้าที่ซีดขาว เบ้าตาสีดำ ในปากยังมีลิ้นสีแดงยาวๆ
ทันทีที่สวีซื่อจุนเหลือบไปเห็น ก็ล้มฟุบลงกับพื้นทันที
*****
สืออีเหนียงหลับไปแล้ว แต่สวีลิ่งอี๋กำลังเอนตัวอ่านหนังสืออยู่บนเตียง
ข้างนอกมีเสียงดังขึ้นมา
“เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ” นางเหยียดกายขึ้นมา
“เจ้าพักผ่อนเถิด” สวีลิ่งอี๋ขมวดคิ้ว เขาวางหนังสือลง “ข้าออกไปดู!”
สืออีเหนียงจึงนอนลงอีกครั้ง
ทันที่ทีสวีลิ่งอี๋สวมรองเท้า หู่พั่วก็เปิดม่านเข้ามา
สีหน้าของนางดูไม่ดี ย่อคำนับส่งๆ แล้วพูดเบาๆ “เมื่อครู่แม่นางเก๋อจิน สาวใช้ของไท่ฮูหยินมารายงานบอกว่าคุณชายน้อยสี่ตกใจ ให้ท่านโหวรีบไปดูเขาเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินดังนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไป “เขาเป็นอะไร”
“เกิดอะไรขึ้น” สืออีเหนียงตกใจ รีบลุกขึ้นมานั่ง
สวีลิ่งอี๋ก้มลงดึงรองเท้า จากนั้นก็ดึงเสื้อคลุมที่อยู่ข้างๆ มาคลุม
“มีท่านแม่อยู่ เจ้าพักผ่อนเถิด ข้าออกไปดูประเดี๋ยวก็กลับมา” พูดจบ เขาก็เดินออกไปทันที
สืออีเหนียงเรียกหู่พั่ว
หู่พั่วรีบเดินเข้าไปสวมรองเท้าให้สืออีเหนียง “เก๋อจินไม่ได้พูดอะไรเจ้าค่ะ บ่าวก็ไม่มีเวลาถามรายละเอียด” พูดจบนางก็ประคองสืออีเหนียงลุกขึ้น รับใช้นางสวมเสื้อกั๊กยาว
ต้องไปที่เรือนไท่ฮูหยินถึงจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
สืออีเหนียงและหู่พั่วออกไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
มีแสงไฟสว่างไสวทั้งนอกและในลาน พวกนางเดินเข้าไปก็เห็นท่านป้าที่เฝ้ายามเรือนไท่ฮูหยินคุกเข่าก้มหน้าตัวสั่นอยู่กลางลาน บรรดาสาวใช้และท่านป้าที่คอยรับใช้ล้วนยืนตัวสั่นเทาอยู่ใต้ชายคา
เมื่อได้ยินเสียง ก็มีสาวใช้ที่ไหวพริบดีเข้ามาประคองสืออีเหนียง สาวใช้อีกคนก็เปิดม่าน “ท่านโหว ไท่ฮูหยินเจ้าคะ ฮูหยินสี่มาแล้วเจ้าค่ะ!”
ยังพูดไม่จบ อวี้ป่านก็เดินเข้ามาต้อนรับ
“ฮูหยินสี่ เหตุใดถึงออกมาเองล่ะเจ้าคะ!” พูดพลางเชิญนางเข้าไปข้างใน
“จุนเกอเล่า?”
สวีลิ่งอี๋ยืนหน้าซีดอยู่กลางห้อง ฉาเซียงสาวใช้ของสวีซื่อจุนคุกเข่าร้องไห้อยู่ต่อหน้าสวีลิ่งอี๋
เมื่อได้ยินเสียงสืออีเหนียง ฉาเซียงก็ยิ่งตัวสั่น แต่สุดท้ายก็ยังคงทำท่าทีขี้ขลาดและไม่หันมามอง
สวีลิ่งอี๋ขมวดคิ้ว “เจ้ามาทำไมเล่า!” เขาพูด “เขานอนอยู่ในห้องของท่านแม่”
สืออีเหนียงไม่สนใจอะไร นางหันหลังเดินเข้าไปในห้องของไท่ฮูหยินทันที
ไท่ฮูหยินก้มหน้าเช็ดน้ำตาอยู่บนเตียงเตาข้างหน้าต่าง มีแค่ป้าตู้ที่คอยรับใช้อยู่ในห้อง
“ท่านแม่เจ้าคะ!” สืออีเหนียงรีบเดินเข้าไป ก็เห็นสวีซื่อจุนที่แอบอยู่บนเตียงเตา
เขาหน้าซีดเซียว กัดฟันไปมา บนใบหน้ายังเต็มไปด้วยความตกใจและหวาดกลัว
“เชิญหมอมาหรือยัง!”
“เจ้ามาแล้วหรือ!” ไท่ฮูหยินจับมือสืออีเหนียง “พ่อบ้านไป๋ไปเชิญหมอมาแล้ว”
ป้าตู้ยกเก้าอี้เข้ามา
สืออีเหนียงนั่งลงอย่างไม่เกรงใจ
“เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ”
“ฉาเซียงบอกว่า จู่ๆ จุนเกอก็จะไปหาท่านแม่ของเขา นางคิดว่ามันยังไม่ดึกมากนัก ที่นั่นยังมีป้าวังและคนอื่นๆ คอยดูแล…” นางเล่าเรื่องราวให้สืออีเหนียงฟัง “เมื่อท่านป้าที่เฝ้ายามเดินออกไปหา ก็เห็นจุนเกอและฉาเซียงล้มลงบนพื้น”
เห็นได้ชัดว่ามีคนแกล้งเป็นผีมาหลอกพวกเขา
สืออีเหนียงทำสีหน้าเคร่งขรึม
เวลาและสถานที่ยังคำนวณได้แม่นยำขนาดนี้ ใช่ว่าคนธรรมดาจะทำได้
นางมองไปที่ไท่ฮูหยินด้วยความสับสน
เห็นแค่ไท่ฮูหยินที่มีสีหน้าเสียใจ แต่ในสายตากลับมีความเย็นชา
“เช่นนั้นจุนเกอ…” สืออีเหนียงเป็นห่วงเขา
ไม่รู้ว่ายาสมัยโบราณจะรักษาอาการเช่นนี้ได้หรือไม่
ไท่ฮูหยินไม่ได้ตอบกลับมาตรงๆ เอ่ยเตือนสืออีเหนียง “เจ้ากำลังตั้งครรภ์ จะมาทรมานเช่นนี้ไม่ได้ รีบกลับไปพักผ่อนเถิด ที่นี่มีข้ากับท่านโหว ไม่ต้องเป็นห่วง!”
จุนเกอเป็นเช่นนี้ นางจะนอนหลับได้เช่นไร
สืออีเหนียงถอนหายใจเบาๆ “ข้ารอท่านหมอมาก่อน รอดูว่าท่านหมอว่าเช่นไรแล้วค่อยไปพักผ่อนดีกว่าเจ้าค่ะ”
“เจ้าเด็กคนนี้” ไท่ฮูหยินนั้นเข้าใจนางดี ตบมือสืออีเหนียงเบาๆ “เช่นนั้น ก็ไปพักผ่อนบนเตียงข้าเถิด!”
สืออีเหนียงกำลังจะเอ่ยปฏิเสธ สวีลิ่งอี๋ก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่นิ่งเฉย