สืออีเหนียงก็ไม่เกรงใจ ทานไปสองชิ้น ดื่มน้ำแกงไก่ไปสองสามอึกก็วางตะเกียบลง
“ท่านโหวกลับมาตอนนี้ เรื่องที่นั่นมีเบาะแสแล้วหรือเจ้าคะ” นางมองที่ไปสวีลิ่งอี๋ด้วยสายตาที่เป็นห่วง “ข้าได้ยินสาวใช้บอกว่า เจอหน้ากากที่ห้องของเยี่ยนหรง ท่านโหวมีอะไรจะถามข้าหรือไม่”
ไม่แก้ต่างแล้วก็ไม่แก้ตัว สืออีเหนียงพูดอย่างสงบด้วยท่าทีที่จริงใจและตรงไปตรงมา
สวีลิ่งอี๋ตกใจ
ตอนที่เขาออกไป แผ่นหลังที่ดูเหมือนจะอ่อนโยนแต่กลับเผยให้เห็นความเย็นชาและห่างเหินของสืออีเหนียง แต่ในชั่วพริบตา ภายใต้สถานการณ์ที่สืออีเหนียงรู้ว่าเจอหน้ากากที่ห้องของเยี่ยนหรง ความรู้สึกที่เย็นชาและห่างเหินที่มีต่อเขานั้นหายไปในทันที แต่กลับดูสนิทสนมขึ้นมา
ตนกลับไปกลับมาเช่นนี้ ไม่แปลกที่สวีลิ่งอี๋จะสับสน
สืออีเหนียงคิดว่าทั้งๆ ที่มันเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของบุตรชายเขาแต่เขาก็ยังเชื่อใจตน จากนั้นก็นึกถึงความสงสัยที่ตนมีต่อเขา นางจึงรู้สึกผิดในใจ
ผิดก็ควรแก้ไข ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้
ยิ่งไปกว่านั้นตนไม่ใช่คนใจแคบขนาดนั้น
นางครุ่นคิดแล้วเหลือบมองสวีลิ่งอี๋ จากนั้นก็หลับตาลงแล้วพูดอย่างคลุมเครือ “เมื่อครู่ข้าเห็นท่านโหวพูดกับข้าแต่กลับมองท่านแม่ ข้าจึงคิดว่าท่านโหวคิดว่าข้าเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ข้าจึงผิดหวัง…”
สวีลิ่งอี๋ได้ฟังแล้วก็ตกใจมากขึ้น
เขาคิดไม่ถึงว่าสืออีเหนียงจะบอกความไม่พอใจที่นางมีต่อเขาอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ แต่ความรู้สึกที่มากกว่าก็คือ หัวใจของเขาสั่นไหวเพียงเพราะสืออีเหนียงจริงใจกับเขาเช่นนี้
“เด็กโง่” สวีลิ่งอี๋พูดเสียงเบาลง น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนและหนักแน่นราวกับหินผา พลอยทำให้คนที่ได้ฟังรู้สึกอุ่นใจ “ตอนที่ข้ารู้ว่าจู่ๆ จุนเกอก็อยากจะออกไปข้างนอกแต่กลับถูกคนรังแก กลัวว่าจะมีคนฉวยโอกาสใส่ร้ายป้ายสีเจ้า จึงให้ท่านแม่คอยดูแลเจ้า” จากนั้นเมื่อนึกถึงท่าทีที่น่าเอ็นดูของสืออีเหนียงก็ยกยิ้มพลางลูบหัวนางเบาๆ แล้วถามว่า “แล้วเจ้ารู้ตั้งแต่เมื่อไรว่าข้าไม่ได้สงสัยเจ้า”
สืออีเหนียงลูบผมตัวเองแล้วเรียกเขา “ท่านโหว” จากนั้นก็พูดว่า “ข้าได้ยินสาวใช้บอกว่า ท่านเจอหน้ากากที่ห้องของเยี่ยนหรง แต่กลับให้คนค้นหาหลักฐานต่อ ข้าถึงได้รู้ว่าข้าเข้าใจท่านโหวผิดไป” นางหน้าแดง “หากท่านโหวสงสัยข้า ท่านโหวก็คงให้เยี่ยนหรงเป็นแพะรับบาปไปแล้ว แต่กระดาษดับไฟไม่ได้ เรื่องที่เยี่ยนหรงเป็นแพะรับบาปไม่นานก็คงจะถูกคนจับได้ ถึงตอนนั้นข้าก็คงจะถูกคนอื่นวิพากษ์วิจารณ์ เพราะว่าท่านโหวเชื่อว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับข้า เพราะว่าท่านไม่อยากให้ข้ามีมลทิน ดังนั้นตอนที่ได้ยินว่าเงาดำนั้นเข้าไปที่เรือนหลักจึงตัดสินใจคิ้นเรือนหลักทันที…”
นางเข้าใจความลำบากใจของเขา สวีลิ่งอี๋รู้สึกดีใจ
เขาดึงสืออีเหนียงเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขน “เจ้านะเจ้า ความรู้สึกช้าเสียจริง!”
ปากเอ่ยตำหนิ แต่น้ำเสียงกลับดูรักใคร่
สืออีเหนียงกอดเอวสวีลิ่งอี๋ด้วยความเขินอาย มุดหน้าเข้าไปในไหล่ของเขาแล้วยิ้ม
นึกถึงว่า ตั้งแต่ตนแต่งเข้ามาในสกุลสวี นางไม่เคยทำเรื่องโกหกหลอกลวงใคร แต่สวีลิ่งอี๋กลับเชื่อใจตัวเองเช่นนี้ แล้วยังง่ายดายเช่นนี้
เก็บไว้ในใจตั้งนาน แต่เพราะการพูดอย่างตรงไปตรงมาก่อนหน้านี้ นางจึงเก็บไว้ไม่อยู่ เปิดปากเอ่ยถามเบาๆ “เหตุใดท่านโหวถึงเชื่อว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าเล่าเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋กอดนางเบาๆ “สืออีเหนียงของเรา ถึงแม้ว่าจะอ่อนแอ แต่เนื้อแท้นั้นมีความรักในศักดิ์ศรี ไม่มีทางทำเรื่องสกปรกเช่นนี้แน่นอน!”
จู่ๆ สืออีเหนียงก็ตาพร่า
นางหลับตาลง
ในใจไม่มีความตกใจหรือซาบซึ้ง สิ่งที่อยู่ในใจมีแต่ความสับสนอลหม่าน
สวีลิ่งอี๋ไม่เข้าใจ เขาแค่รู้สึกว่าคนที่อยู่ในอ้อมแขนของตัวเองนั้นจู่ๆ ก็อ่อนยวบราวกับไร้กระดูก ราวกับว่าหากไม่มีเขากอดเอาไว้มันคงจะไหลเป็นน้ำ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะตบมือลงบนตัวของนางเบาๆ เพื่อปลอบโยน “ไม่เป็นอะไร เจ้ามีข้าอยู่!”
สืออีเหนียงให้เวลากับตัวเองครู่หนึ่ง จากนั้นก็สงบสติอารมณ์ นางนั่งตัวตรงแล้วพูดเบาๆ “แล้วรู้หรือยังว่าใครรังแกจุนเกอเจ้าคะ”
พูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของสวีลิ่งอี๋เคร่งขรึมขึ้น
“ตอนนี้ยังหาไม่เจอ” เขาพูดเบาๆ “ข้าล็อกประตูเอาไว้ก่อน ให้บรรดาสาวใช้และป้ารับใช้ในเรือนดูกันเอง ดูว่ามีใครหายไปหรือไม่” พูดจบ เขาก็ขมวดคิ้ว “เจอว่าประมาณยามซวีคนที่ไม่อยู่ที่เรือนมีเยี่ยนหรงและฉินอี๋เหนียง”
“ฉินอี๋เหนียง!” สืออีเหนียงตกใจ เหมือนมีอะไรโผล่ขึ้นมาในหัว แล้วก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ทำให้นางจับมันไว้ไม่ทัน
“อืม!” สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเบาๆ “ชุ่ยเอ๋อร์ในเรือนของฉินอี๋เหนียงบอกว่า ฉินอี๋เหนียงไปหาอี้อี๋เหนียงที่เรือนของพี่สาม ข้าเรียกอี้อี๋เหนียงมาถาม อี้อี๋เหนียงก็พูดเหมือนกันกับชุ่ยเอ๋อร์ ต่อมาถามเยี่ยนหรง เยี่ยนหรงบอกว่านางไปหาเฉาอาน ให้เฉาอานส่งจดหมายไปให้ที่บ้าน หลินปัวไปถามเฉาอาน เฉาอานก็พูดหมือนเยี่ยนหรง แล้วยังมีจดหมายเป็นหลักฐาน”
สืออีเหนียงตั้งใจฟัง จากนั้นก็พูดว่า “ในเมื่อล้วนแต่ไม่อยู่ในลาน เช่นนั้นท่านป้าที่เฝ้าประตูน่าจะรู้ว่าพวกนางออกไปเมื่อไร แล้วกลับมาเมื่อไร ออกไปทางประตูหน้าหรือประตูหลัง…”
สวีลิ่งอี๋เห็นนางพูดเช่นนี้ ฟังแล้วก็สมเหตุสมผลทุกประโยค จึงยิ้มอย่างแผ่วเบาแล้วพูดว่า “เจ้าช่างรู้เยอะจริงๆ” จากนั้นก็พูดว่า “ถามแล้ว แต่ที่บังเอิญก็คือ พวกนางสองคนออกไปทางประตูหลังเหมือนกัน แต่ฉินอี๋เหนียงออกไปก่อน ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา เยี่ยนหรงก็ออกไป เพราะว่าพวกนางสองคนล้วนแต่บอกท่านป้าที่เฝ้าประตู ท่านป้าคนนั้นเห็นว่ามันยังไม่ดึก จึงไม่ได้ล็อกประตู แต่แค่ปิดเอาไว้เผื่อตอนที่พวกนางกลับมา หากเยี่ยนหรงไม่บอกให้นางล็อกประตู นางก็คงยังจะเล่นไพ่ต่อไป นางจะรู้ได้เช่นไรว่าพวกนางสองคนกลับมาเมื่อไร!”
“แล้วรองเท้าล่ะเจ้าคะ” สืออีเหนียงขมวดคิ้ว “เมื่อครู่ฝนตก ได้ยินฉาเซียงบอกว่า ตอนนั้นเงาดำนั้นโผล่ออกมา เช่นนั้นแสดงว่าต้องไม่สวมรองเท้าไม้ ข้างล่างก็ยังเป็นตะไคร่น้ำ เช่นไรก็ต้องมีโคลนหรือตะไคร่น้ำติดอยู่ที่รองเท้าบ้าง”
“ดูแล้ว” สวีลิ่งอี๋พูด “พวกนางสองคนล้วนแต่สวมรองเท้าไม้ออกไป แล้วอีกอย่าง ถึงแม้ว่าฐานรองเท้าของพวกนางจะเปียก แต่กลับสะอาดสะอ้าน ไม่มีโคลนหรืออะไรเลยแม้แต่น้อย”
“เช่นนี้ก็หมายความว่า ทุกอย่างชี้ไปที่เยี่ยนหรงหรือเจ้าคะ” สีหน้าของสืออีเหนียงมืดมนลง
“ข้ารู้ หากเป็นเยี่ยนหรงจริงๆ เช่นนั้นเหตุใดนางถึงไม่นำหน้ากากไปทิ้งที่อื่น แล้วต้องนำกลับมาด้วย?” สีหน้าของสวีลิ่งอี๋เคร่งขรึม “ดังนั้นข้าจึงให้ทุกคนแยกย้ายกันไป เหลือแค่หลิวปัวและจ้าวอิ่งคอยกักตัวเยี่ยนหรงอยู่ที่เรือนปีก แล้วก็บอกให้น้องห้าไปดูที่จุดเกิดเหตุ ดูว่าจะหาอะไรเจอหรือไม่ ส่วนข้าก็กลับมาหาเจ้า”
กักตัวเยี่ยนหรงเอาไว้
เช่นนี้ คนคนนั้นก็จะได้ชะล่าใจ แล้วเผลอทำเบาะแสหลุดออกมา
*****
“เช่นนี้ก็หมายความว่า ท่านโหวให้หลินปัวกับจ้าวอิ่งกักตัวเยี่ยนหรงไว้หรือ” สีหน้าของเหวินอี๋เหนียงสับสน
ตงหงพยักหน้า นางพูดเบาๆ “ไม่เพียงแค่นั้นเจ้าค่ะ ท่านโหวก็กลับไปที่เรือนของไท่ฮูหยินแล้ว”
หากสวีซื่อจุนตกใจจนซื่อบื้อ เรื่องนี้ก็คงกลายเป็นความผิดของสืออีเหนียง แล้วหากสืออีเหนียงโมโหจนแท้ง เกรงว่าจวนหลังนี้ก็คงจะเป็นสวรรค์ของสวีซื่ออวี้เท่านั้น!
คิดได้เช่นนี้ เหวินอี๋เหนียงก็เม้มปากแน่น
หรือว่าตนต้องก้มหัวให้ฉินอี๋เหนียงเช่นนั้นหรือ
แล้วยังมีเจินเจี่ยเอ๋อร์ และชิวหง…
สีหน้าของเหวินอี๋เหนียงพลันเปลี่ยนไป
นางบอกตงหง “เจ้าไปหาเหรียญมาให้ข้า ข้าจะโยนดูหัวก้อย”
กลางค่ำกลางคืน กว่าคนที่เฝ้าประตูจะแยกย้ายกันออกไป อี๋เหนียงไม่อยากนอนเอาแรง แต่กลับอยากโยนเหรียญดูหัวก้อย
ตงหงแอบบ่นในใจ พร้อมกับออกไปหยิบเหรียญ
เหวินอี๋เหนียงพนมมือ ถือเหรียญไว้ในมือแล้วพึมพำว่า “หากออกหัว ข้าจะยอมพูด แต่หากออกก้อย เช่นนั้นก็หมายความว่าไม่ให้ข้าพูด” จากนั้นก็โยนเหรียญลงบนโต๊ะเตียงเตา
ออกก้อย!
“ครั้งนี้ไม่นับ อีกครั้ง!” พูดจบ จากนั้นก็หยิบเหรียญขึ้นมาโยนอีกครั้ง
ออกหัว!
นางยิ้มหน้าบาน
*****
ฉินอี๋เหนียงปิดปากหาว “ในที่สุดก็ไปเสียที!” จากนั้นก็เดินไปนั่งข้างเตียง “ข้าคิดว่าพรุ่งนี้ขอบตาทุกคนคงจะดำกันหมด”
ชุ่ยเอ๋อร์ไม่คิดว่าคำพูดนี้ตลก นางนั่งลงถอดรองเท้าให้ฉินอี๋เหนียง แต่ในใจกลับกำลังคิดเรื่องอื่น
“อี๋เหนียง” นางเป็นกังวล “เรื่องนี้คงจะจบแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ พวกเขาคงจะไม่เรียกท่านไปถามตัวต่อตัวแล้วใช่หรือไม่”
“แน่นอน” ฉินอี๋เหนียงยิ้ม “ในเมื่อเจอหน้ากากที่เยี่ยนหรง หากค้นหาต่อไป ก็คงจะหาไปถึงฮูหยิน ด้วยนิสัยของท่านโหวแล้ว เขาต้องพยายามหาเหตุผลยุติเรื่องนี้ลงแน่นอน”
“เช่นนั้นคุณชายสี่ล่ะเจ้าค่ะ…”
“ใครบอกให้เขาโชคร้ายเล่า!” ฉินอี๋เหนียงไม่ค่อยพอใจ “ช่วยไม่ได้!”
ชุ่ยเอ๋อร์ยังคงไม่เชื่อ
“เจ้าพึ่งจะเข้ามาอยู่ในจวนไม่กี่ปี” ฉินอี๋เหนียงยิ้มอย่างเยาะเย้ย “รีบนอนเถิด! ต่อไปเจ้าก็จะรู้เอง”
ชุ่ยเอ๋อร์ตอบรับ จากนั้นก็รับใช้ฉินอี๋เหนียงนอนพักผ่อน
*****
เฉียวเหลียนฝังอยากจะนอนพักผ่อนตั้งนานแล้ว แต่ถูกรบกวนเช่นนี้ นางก็นอนไม่หลับ เช่นไรก็นอนไม่หลับแล้ว นางจึงกำลังพูดคุยเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้กับซิ่วหยวน “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้า ช่วงนี้ป้าซ่งกำลังฝึกสาวใช้ ถึงตอนนั้นเจ้าก็ไปเลือกมาสักคนหนึ่ง ให้เหมือนกับตอนที่เจ้ารับใช้ข้า”
ซิ่วหยวนน้ำตาคลอเบ้า นางพูด “อี๋เหนียงเจ้าคะ ไม่เช่นนั้น ให้ข้าอยู่ที่เรือนสกุลสวีเถิดเจ้าค่ะ อย่างน้อยท่านก็มีคนคอยดูแล!”
“ไม่จำเป็น” เฉียวเหลียนฝังพูดด้วยท่าทีที่หนักแน่น “เจ้าแต่งงานเข้าสกุลสวี จะเป็นหรือตาย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรา ไม่สู้ถือโอกาสนี้แต่งงานออกไปเสียจะดีกว่า”
ซิ่วหยวนไม่พูดอะไร เพียงพลิกตัวเบาๆ
*****
หยางอี๋เหนียงเองก็นอนไม่หลับ พลิกตัวไปมา
หากเรื่องนี้ชี้ไปเป้าที่สืออีเหนียงทั้งหมด แล้วสวีลิ่งอี๋จะทำเช่นไร
ทำร้ายซื่อจื่ออย่างโจ่งแจ้งแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของหน้าตาหรือเรื่องของจิตใจ ก็ควรที่จะได้รับการลงโทษที่รุนแรง! แต่ว่านางกำลังตั้งครรภ์…
ดูเหมือนว่า ท่านโหวคงจะต้องพยายามหาข้ออ้างที่ฟังดูดี
สงสารก็แต่ซื่อจื่อ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็สูญเสียแม่แท้ๆ ของตัวเองไปแล้ว
ถึงแม้ว่าในใจจะคิดเช่นนั้น แต่นางกลับคิดว่ามันผิดปกติ ราวกับว่ามีบางสิ่งที่ตัวเองมองข้ามไปแต่กลับมีความสำคัญเป็นอย่างมาก
*****
“ท่านโหวจะพักผ่อนก่อนหรือว่ารอฟังข่าวจากคุณชายห้าเจ้าคะ” สืออีเหนียงถามสวีลิ่งอี๋
“รอข่าวจากน้องห้าก่อนดีกว่า!” สวีลิ่งอี๋พูดเบาๆ “ฝนตกติดต่อกัน หากคืนนี้ไม่หาอะไร เกรงว่าพรุ่งนี้ตื่นมาก็คงจะถูกฝนชะล้างไปจนหมด” เขาพูดต่ออีกว่า “เจ้ารีบพักผ่อนเถิด อย่านอนดึกเป็นเพื่อนข้าเลย”
สืออีเหนียงเป็นห่วงลูกในท้องจึงตอบรับอย่างว่าง่าย จากนั้นก็มีสาวใช้เข้ามารายงาน “ท่านโหว ฮูหยินเจ้าคะ ตงหงสาวใช้ของเหวินอี๋เหนียงขอพบเจ้าค่ะ!”